รีวิว กระบี่หน้าฝน กินๆนอนๆ ไปกับสามสาว

เมื่อประมาณ 9 เดือนที่แล้ว ทางบางกอกแอร์เวย์ได้ออกโปรโมชั่นแลกไมล์ลด 70% ครอบครัวสามสาวก็เลยได้แลกตั๋วเครื่องบินไปกระบี่ไว้ แม้ระหว่างทาง ก็มีโปรให้ช้ำใจอยู่เป็นเนืองๆ

เดือนมีนาคมที่ผ่านมา เราก็ได้ไปเดินงาน ไทยเที่ยวไทย ที่ ศูนย์การประชุม สิริกิติ์ เพื่อหา โรงแรมดีๆ และรถเช่า จนมาสรุปที่ โรงแรมดุสิตธานี กระบี่ บีช รีสอร์ท หรือ ในอดีตคือโรงแรม เชอราตันกระบี่  ห้อง Deluxe sea facing room ที่ได้ ฟรีอัพเกรด มาจาก ห้อง deluxe garden room (ถ้าไม่ได้อัพคงเซ็งอีกรอบ เพราะ ดุสิตเองก็ออกโปร ลด50% Dusit Gold มาถึง สองครั้งก่อนไป) 

ในที่สุดวันเดินทางก็มาถึง กลางเดือนกรกฏาคมครอบครัวสามสาว เอารถไปจอดไว้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ แล้วก็เอากระเป๋าไปที่ baggage drop เพราะเช็คอินล่วงหน้ามาแต่คืนก่อนเดินทางแล้ว หลังจากนั้นก็ไปนั่งเล่น กินน้ำกินขนม ที่ Bangkok airways lounge  ไม่ได้บินกับ PG มา 3-4 เดือน พึ่งเห็นว่า เดี๋ยวนี้มี น้ำชาขาวใบเตย ในฝั่ง อีโคโนมี่ด้วย  



ได้เวลา boarding แล้วครับ วันนี้เป็น เครื่อง A320   เก้าอี้จัดแบบ 3-3    



ตอนที่แลกไมล์ น้องดอกพุดต้องให้เจ้าหน้าที่ของ บางกอกฯ จองให้เพราะยังเป็นเด็ก ทางเจ้าหน้าที่เลย request อาหารเด็กไว้ให้ด้วย
ดูน่าทานกว่าอาหารปกติเยอะเลย ฝรั่งที่นั่งข้างๆ confirm 
อาหารเด็ก นอกจากอาหารร้อนซึ่งเป็น ออมเลทกับไส้กรอกแล้ว ยังมี side dish ที่เป็นสลัดมันฝรั่ง ผลไม้ และขนมปังกับเนย
ที่แตกต่างจากสิ่งที่เคยคุ้นๆ ในกล่องอาหารเด็กก็คือ แทนที่จะเป็น Kit Kat กลับกลายเป็น นมเม็ดของโครงการหลวง
ไม่รู้ว่าเปลี่ยนมานานหรือยัง 



อาหารปกติเป็น ไข่ตุ๋น ราดด้วยไก่(บด)กระเทียม พริกไทย  นอกจากไม่น่ากินแล้วยังไม่อร่อยอีกด้วยครับ


ลงเครื่องก็ไปรับกระเป๋า และ รับรถจาก AVIS วันนี้ได้รถค่อนข้างใหม่ครับ เป็นรถ new Vios เลขไมล์เกือบๆ สองหมื่นไมล์ รถสภาพดีและสะอาดครับ

หลังจากนั้น พวกเราก็เดินทางไปโรงแรมดุสิต กระบี่ ที่อยู่ตรงหาดคลองม่วง ราวๆ 40-45 นาทีจากสนามบิน 


ระหว่างทาง เจอป้าย สุสานหอย 75 ล้านปี เลยแวะออกนอกเส้นทางไปสำรวจหน่อย


หลังจากชำระค่าเข้าชมแล้ว  ก็จะเจอป้ายเตือน มีทั้งภาษาไทย อังกฤษและจีน 
และประวัติของสถานที่ เป็นภาษาไทย สปอนเซอร์โดย “เบอร์ดี้ หนึ่งในใจคุณ”


สุสานหอย 75 ล้านปี ตั้งอยู่บริเวณชายทะเลบ้านแหลมโพธิ์ทางด้านตะวันอกเฉียงเหนือ
ของพื้นที่อุทยานแห่งชาติหาด นพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี มีซากดึกดำบรรพ์ของหอยน้ำจืดชนิดต่างๆ
ส่วนใหญ่เป็นหอยขม มีความยาวประมาณ 2 เซ็นติเมตร ซากหอยเหล่านี้ได้ทับถมกันโดยมีน้ำประสาน
ธาตุปูนจับตัวให้เป็นหินแข็งทับถมอยู่ใต้ชั้นหินลิกไนท์ และหินดินดาน นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ และ
เป็นหลักฐานทางโบราณคดีที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของโลก ช่วงแรกประมาณว่าสุสานหอย แห่งนี้เกิดขึ้นเมื่อ
ประมาณ 75 ล้านปีมาแล้ว มีความยาวประมาณ 1 กิโลเมตรและกว้างประมาณ 50 เมตร เป็นแผ่นหอยที่เกาะ
ตัวกันเป็นแผ่นหินสลับกับชั้นของลิกไนท์ กลายเป็นแผ่นหินที่เรียกว่า Shelly Limestone หนาประมาณ 40 ซม.
ต่อมาแผ่นหินได้ถูกยกตัวขึ้น จึงปรากฏเป็นแผ่นหินกว้างใหญ่อยู่ริมทะเล จากการคำนวนทางธรณีวิทยาพบว่า
ฟอสซิลเหล่านี้มีอายุประมาณ 40 ล้านปี ซึ่งสุสานหอยอายุหลายสิบล้านปีนี้มีเพียงแค่ 3 แห่งในโลกเท่านั้น คือ
ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศญี่ปุ่น และ ประเทศไทย
เมื่อเดินลงบันไดไปถึงบริเวณ ชายหาดก็จะเจอลานหินกว้างๆ อยู่ริมทะเล และมี เสาหลักซึ่งมีคำอธิบายถึงชนิดของหอยที่สุสานหอย



ลานที่สามสาวยืนอยู่ตรงนี้จะเป็นจุดที่ 2 และ จุดสำคัญที่มีชื่อเสียง ในนามของ “สุสานหอย”  บริเวณนี้จะเจอหอยขม
ตัวยาวไม่เกิน 2 ซม. ชั้นหอยหนาประมาณ 1-2 เมตร และ ใต้ชั้นหอยจะเป็นชั้นของลิกไนท์ ที่หนาประมาณ 10-15 ซม.


ซูมหอยแบบ ชัดๆ 


ทางซ้ายของลานกว้างนี้ ไชเลียบชายฝั่งไปประมาณ 1 กิโลเมตร จะเป็น จุดที่ 3 
หอยบริเวณนี้จะตัวใหญ่ ประมาณ 4-5 ซม.  เสียดายช่วงนี้น้ำขึ้น คลื่น ลม แรงมาก
ออกไปไม่ได้  ตามรูป น่าจะอยู่ เลยทิวต้นไม้ มุมขวา บนของรูปไปอีกพอสมควร



สำหรับจุดที่ 1 จะอยู่ไปทางขวาของลานกว้างในรูปแรก ไปอีกประมาณ 300 เมตร
จะเป็นหอยขมตัวเล็กขนาดไม่เกิน 2 ซม เช่นเดียวกับ จุดที่ 2


ระหว่างทางกลับไปที่ลานจอดรถ จะมีร้านขอยของฝากอยู่หลายร้าน 
แม่ค้าใจดี ช่วง โลว์ ลดสะบั้นหั่นแหลก 50 % ถูกหรือเปล่าไม่รู้ 
สาวพิมพ์เลยจัดไปซะ 1 ชุด เพราะแม่ค้าอุตส่าห์เผามุกปลอมโชว์แล้ว 1 เส้น 
พึ่งรู้ว่าถ้ามุกปลอม ไหม้ไฟได้เพราะเป็นพลาสติค มุกจริงไม่ไหม้ 




จากนั้นก็ได้เวลาไปโรงแรมกัน  จากสุสานหอย ไป โรงแรม ขับตาม GPS ใช้เวลาประมาณ 30 นาที
ผ่านไปทางอ่าวนาง แถมต้องผ่านสวนยาง ดีมากลางวันถ้ากลางคืนคงน่ากลัว 

ถึงโรงแรม ส่งสามสาวไปเช็คอิน แล้วเอารถไปจอด ลานจอด จะอยู่เลย ทางเข้าโรงแรมไปหน่อยนึง ประมาณ 50 เมตร
จะให้พนักงานเอาไปจอดให้ก็ได้นะครับ


วิวมองออกจาก lobby ไปชายหาด






เนื่องจากยังไม่ได้ทานอาหารกลางวัน และมี voucher F&B ที่ซื้อเอาไว้ตอนงาน (1000 จ่าย 750 บาท) มา3 ใบ
เลยขอมาทานอาหารเที่ยงที่ห้องอาหาร Mangosteen’s ที่เป็นห้องเดียวกับห้องอาหารเช้า ก่อนที่จะขึ้นห้อง 
(หารู้ไม่ว่ามื้อเดียวเกือบหมดเลย)
ที่นี่มีห้องอาหารหลักๆ 3 ห้องนะครับ
Mangosteen’s เปิดทั้งวัน ช่วงเช้าจะมาทานอาหารเช้ากันที่ห้องนี้
Gecko’s เป็นห้องอาหาร Italian
และ Malati เป็นห้องอาหารไทยและอินเดียน






เปิดเมนูมา อึ้งๆกับราคาอาหาร 
แซลมอนจานนี้ของดอกพุด จำไม่ผิด 6xx



ข้าวผัดไก่ของน้องพลอย จานละ 300 หรือ 350 ครับ ไม่แน่ใจ


ผัดไทห่อไข่ของคุณพิมพ์


อันนี้ cheese burger 380 บาท





หมดนี่ 5 รายการ รวมน้ำออร่าขวดใหญ่ 1 ขวด 150 บาท ยอดออกมาที่ 2160 บาทครับ รสชาติดีนะครับ
แต่ราคาโหดไปหน่อย


หลังจากอิ่ม ก็ไปรับ key card จากที่ฟร้อนแล้วก็เข้าไปห้องพักกันครับ ที่นี่เราสามารถโทรมาขอรถกอล์ฟได้นะครับถ้าไม่อยากเดิน



ทริปนี้ เราได้อยู่ตึก F ครับ ห้อง 355 และ 356 ตึก อยู่ตรงข้าม สนามเทนนิสกับ DIFT พอดีเลย 
ที่นี่ห้อง ไม่มี seaview นะครับ มีแต่ sea facing เพราะ วิวหาดถูกบังด้วยแนวต้นไม้








ดูเหมือนโรงแรมนี้ใช้สัญลักษณ์เป็นปู ไปไหนก็เจอป้ายน้องปู


ห้องที่เราจองมาวันนี้เป็น ห้อง deluxe sea facing 2 ห้องครับ เป็น ห้อง connecting room
ห้องนึงเป็นเตียง king size 1 เตียง กับห้องเด็กๆ เป็น twin 2 เตียง นอกนั้นที่เหลือเหมือนกันหมดทุกอย่าง






ส่วน shower กับ bath tub จะแยกโซนออกจากกันครับ




ห้องน้ำสามารถเปิดออกมาได้ครับ ทำให้เห็นวิวห้องนอน แต่ตัวประตูที่เลื่อนเปิดปิด เป็นไม้ทึบนะครับ
ไปกับเพื่อนได้ครับ 


อ่างล้างหน้า มีไดร์เป่าผมให้นะครับในห้อง สงสัยตอนจองแจ้งว่าเป็น ห้องเด็กๆ ทางโรงแรมเลย เอาไดร์เล็กสีชมพูวางให้


Amenity ครับ มีแปรงสีฟัน หมวกอาบน้ำ cotton bud และ body lotion ส่วนแชมพู ครีมนวดผมและสบู่เหลว จะถูกวางไว้ใน
บริเวณ shower ครับ เป็นของ Nature Touch เหมือนที่ ดุสิตธานี แห่งอื่นๆ


Slipper และผ้าขัดรองเท้า


ในตู้เสื้อผ้าจะมีตู้เซฟและ bathrobe ไว้ให้ นอกจากนี้ยังมีร่มห้องละคันอีกด้วย
ที่นี่ทางเดินระหว่างตึกจะไม่มีหลังคา เวลาฝนตกถ้าไม่กางร่มก็ต้องเรียกรถกอล์ฟ  ช่วงอาหารเช้ารถมาไม่ทันครับ คนเรียกเยอะ


ชากาแฟ ที่นี่ใช้ชา ของ TWG มีทั้ง greentea และ black tea ครับ
สำหรับกาแฟที่นี่ใช้ของ Bon Café ครับ เป็นกาแฟสด ใช้กับ French press
น้ำเปล่ามีวางให้ห้องละ 3 ขวดฟรี แต่ขอเพิ่มได้ครับ น้ำแข็งไปกดแถวๆ ลิฟท์เลย มีเครื่องทำน้ำแข็งอัตโนมัติ


อย่างที่บอกไว้ ห้องนี้เป็น sea facing ครับ มันมีแนวต้นไม้บัง ชายหาด เลยเห็นแต่
บึง กับสนาม บางทีจะเห็นคุณวรนุช ว่ายน้ำเล่นอยู่ในบึง


วิวจากหน้าห้องครับจะเห็นสนามเทนนิสอยู่ฝั่งตรงข้ามตึก



ดุสิตจะมีสระว่ายน้ำอยู่สองสระ สระนึงอยู่ใกลห้องอาหาร Malati และอีกห้อง อยู่ฝั่งห้องอาหาร Gecko’s
สระนี้เป็นสระตรงห้องอาหาร Malati จะเห็นวิวทะเลแบบ infinity pool เลย



สระอีกแห่งจะอยู่ตรงห้องอาหาร Gecko’s สระนี้จะเล็กกว่าสระแรก



ที่โรงแรมมีพื้นที่สีเขียวเยอะมากครับ สามารถเดินเล่นถ่ายรูปรอบๆ โรงแรมได้เลย
และหนึ่งในเหตุผลที่ครอบครัวสามสาวเลือกโรงแรมนี้คือเป็นหนึ่งในโรงแรมที่ลงไปเล่น
ที่ชายหาดได้โดยไม่ต้องข้ามถนน แค่เลยแนวต้นไม้ก็เป็นชายหาดแล้ว







หาดคลองม่วงนี้ยังคงมีความเป็นธรรมชาติอยู่เยอะครับ
มีปูลม มีหอยเสียบเต็มชายหาดไปหมด นอกจากนี้ยังมีปลาเล็กๆ ว่ายเป็นฝูงเข้ามาริมชายหาดด้วย


มีชาวเลมาวางอวนดักปลาอยู่ริมทะเล


สามสาวมีกิจกรรมยามว่างคือหาหอยเสียบริมชายหาด



เสร็จแล้วก็ปล่อยคืนกลับธรรมชาติ แต่ พนักงานบอกเอาไปผัดกระเพราอร่อยนะคะ




เย็นวันแรกฝนตกหนัก ครอบครัวสามสาว แถมผมยังเป็นหวัดงอมแงม เลยไม่อยากออกไปข้างนอก เลยเรียกรถกอล์ฟมาส่ง
ที่ห้องอาหาร Gecko’s ที่เป็นอาหารอิตาเลียน อยู่ภายในบริเวณโรงแรมนั้นเอง


ห้องอาหารนี้ผู้จัดการน่ารักครับ เดินมาทักทายคุยด้วย ตลอด แถมเจอกันอีก 2 วัน ที่ห้องอาหาร Mangosteen’s
ตอนเช้าอีกด้วย



มีฝรั่งมาทาน candle light dinner ด้วยครับ  จะเห็นว่ามีโต๊ะทางโรงแรมจุดเทียนไว้รอบๆ


ขนมปังฟรีครับ 


Margherita pizza


Lasagna 


Minestrone soup 


Caesar salad ไซส์เด็ก แต่สำหรับผู้ใหญ่ เด็กๆบ้านนี้ไม่ยอมกินผัก



มื้อนี้ราคาไม่แรงเหมือนเมื่อกลางวันครับ รวมน้ำแล้ว ประมาณพันนึง


เราเริ่มเช้าวันที่สอง ที่ห้องอาหาร Mantosteen’s
เป็นอาหารเช้าแบบบุฟเฟ่ครับ

Cold cut 


ผลไม้ต่างๆ 


โยเกิร์ต และ นมเปรี้ยว


ขนมปัง เพสทรี้ และ ขนมไทย พวกทองหยิบ ฯลฯ



Station ไข่




นอกจากนี้ยังมี station ก๋วยเตี๋ยวอีกด้วย อันนี้อยากทานซุปร้อนๆ ไม่อยากทานเนื้อเลยขอแต่เส้นกับซุปครับ




สำหรับคนไม่กิน ชา กาแฟ ที่นี่ สามารถขอ โกโก้ร้อนได้นะครับ ไม่ชาร์จเพิ่ม
เคยขอที่ดุสิตพัทยา บอกต้องเสียเงินเพิ่มครับ ที่หัวหินกับเชียงรายก็ไม่เสียนะครับ  






เด็กๆ ชอบ pancake มาก กินทุกวัน เพราะ รูปการ์ตูนนี่แหละ มีพนักงานคนนึงทำเก่งมากครับ
เด็กๆ บอกมีฝรั่งมาถ่ายวีดีโอเลย
       

อีกวันเปลี่ยนคนทำ กระต่ายออกมาเหมือน ชินจังเลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า



หลังจากทานอาหารซักพักก็ได้เวลา ออกกำลังหน่อย 
DFIT อยู่เยื้องๆตึกเลยมาไม่ลำบาก เดิน 2 นาทีถึง 
เปิด 24 ชั่วโมงครับ แต่ดึกๆจะไม่มีพนักงานใช้ keycard แตะเปิดห้องเอา







ทริปนี้เป็นทริปกินๆ นอนๆจริงๆ เพราะไปหน้าฝน กระบี่ฝนตกเกือบทั้งวันเลย 
ว่าแล้วหลังจากออกกำลังที่ DFIT ก็ยกหูโทรศัพท์โทรไป โซฟิเทล กระบี่ โภคีธรา ซะหน่อย
เลยวันเกิดมาหลายเดือนแล้ว ยังไม่ได้ไปใช้สิทธิ์เอา birthday cake ของ บัตร Accor Plus เลย
จองโต๊ะห้องอาหาร ไทย/อินเดียน White Lotus ไว้ทุ่มนึง น้องพนักงานถามว่ามีเค็กให้เลือก สองแบบ คือ cheese cake
หรือ chocolate cake ขนาด 1 ปอนด์ เลยเลือก cheese cake ไว้ น่ารักมาก จัดให้ได้ทั้งที่โทรมาจองล่วงหน้าแค่ 6-7 ชั่วโมงเอง
เพราะตามกฎเค้าให้จองล่วงหน้าตั้ง 24 ชั่วโมง

พอเด็กๆกลับมาจากว่ายน้ำก็เกือบๆ บ่ายสอง เลยชวนกันออกไปหาอะไรทาน (อีกแล้ว) พนักงานโรงแรมแนะนำร้านวังทรายซีฟู้ด ที่อยู่ตรงแถวๆ อ่าวนาง ระยะทางขับรถซัก 20-25 นาที จากโรงแรมได้ ขับเลย Holiday Inn มาซักไม่กี่ร้อยเมตรจะเจอ ร้านอยู่ตรงทางขวามือ ตรงหัวโค้งพอดีครับ



ทางเข้าครับถ้าขับรถมาจาก Dusit ผ่าน Holiday Inn ทางซ้าย จะเจอซุ่มอยู่ทางขวามือ
ก่อนถึงสะพานแดงๆ นิดเดียวนะครับ ถ้าข้ามสะพานคือเลย



มาทะเลก็ต้องจัดอาหารทะเล ซักหน่อย อาหารทะเลขาดหลายอย่างเหมือนกันครับ อยากลองหอยชักตีนก็ไม่มี เสียดาย
พนักงานว่าคลื่นแรง เรือออกไม่ได้กัน  แต่นักท่องเที่ยวไม่ยักกลัว ตอนนั่งทานอาหารมีเรือนักท่องเที่ยวออกไป
ตลอด น่ากลัวมาก บางช่วงโต้คลื่นซะหัวเรือเชิดเลย เห็นว่าล่มกันหลายๆลำ 



ร้านนี้ใหญ่พอควรครับ ดูเหมือนนักท่องเที่ยวที่รอขึ้นเรือจะมารอบริเวณนี้ด้วย มีที่จอดรถกว้างขวาง มีร้านกาแฟในบริเวณด้วย


ปลากระพงทอดราดน้ำปลาครับ เมนูนี้เด็กๆไปร้านไหนก็ต้องสั่ง 


ปูม้าผัดมะนาว เมนูนี้อร่อย ถ้าชอบเผ็ดครับ ปูม้าสดมาก เนื้อแน่นหวาน 


ต้มข่าทะเลยอดมะพร้าว แปลกๆ ที่บ้านไม่ชอบกันเพราะมันหวานมาก แถมใส่ขมิ้นอีก
ไม่ผ่านครับ แต่อาหารทะเลที่ใส่มาสดมากครับ


ค่าเสียหายจำไม่ผิดพันต้นๆครับ ไม่ได้เอาบิลมา ทานเสร็จกะว่าจะเดินเล่นซักหน่อย ปรากฏว่า 
แค่เดินข้ามสะพานที่เลยร้านไป ฝนก็ลงเม็ด เลยตัดสินใจกลับไป นอนเล่นดูทีวีที่โรงแรมเหมือนเดิม 


ใกล้ๆทุ่มก็ขับรถไปโซฟีเทล ที่อยู่เลยไปประมาณ 2.3 กม.  ช่วงนี้มีการซ่อมถนนนะครับ
ค่อนข้างเละเลยครับ


ไปถึงพนักงานที่ฟร้อนก็พาไปที่ห้องอาหารเลยครับ  อย่างที่แจ้งไว้ตอนต้น ห้อง White Lotus นี้เสิร์ฟอาหาร ไทยและอินเดียนครับ
อีกห้องนึงที่เสิร์ฟอาหารเย็นก็จะเป็นห้องอาหารอิตาเลียนชื่อห้อง Ristorante Venezia ครับ  สำหรับห้อง White Lotus จะมีที่นั่งสองแบบครับ แบบแรกจะเป็นโต๊ะปกติ และอีกแบบเป็นหลุมๆ เหมือนร้านอาหารญี่ปุ่น 


คุณพิมพ์บอกพับดอกบัวไม่สวยเลยจัดให้ใหม่ 


หลังจากรับออร์เดอร์อาหารแล้วพนักงานก็เอาข้าวตังหน้าตั้งมาวางให้ทานเล่นครับ ฟรีครับ  


คุณแม่สั่ง cocktail มาแก้วนึง ชื่อ Mimosa ครับ เป็นน้ำส้มผสมกับแชมเปญ  นานๆ ทีเอาซักหน่อย
 

คุณพ่อป่วยครับหลังจากโดนฝนมาหลายเพลา หวัดกิน แถมหมอให้งดคาเฟอีน พนักงานเลยแนะนำ jasmine tea ครับ
มาพร้อมคุกกี้ก้อนนึงกลมๆ กลิ่นเหมือนกินขนมกลีบดำดวน แต่ออกหวานกว่า และแน่นกว่าหน่อย




สำหรับอาหารคาว พนักงานแนะนำ chicken tikka masala ครับ แจ้งระดับความเผ็ด ได้นะครับ
ผมบอกว่าเผ็ดน้อยก็ยังเผ็ดพอควรสำหรับคนกินส้มตำพริกสองเม็ดครับ คนทำเป็นเป็น Indian chef นะครับ 
อร่อยทีเดียว ทานกับ garlic naan จริงๆทานสองคนสบายๆครับ เมนูนี้ แต่ผมทานเดี่ยว เล่นเอาแน่นไปเหมือนกัน



ที่เหลือเป็นอาหารไทยครับ เพราะสามสาวไม่ถนัดอาหารอินเดียเอาซะเลย
เมนูแรกเป็น ไก่ห่อใบเตย จริงๆ มันเยอะกว่าสี่ชิ้นนะครับ เหมือนมัน
เป็นมุมกล้อง เพราะเหลือ 4 ชิ้นกลับไปทานต่อ ตอนเช้าครับ พนักงานที่ดุสิตเอาไปอุ่นให้อีกทีนึง
เมนูนี้ไม่ชอบเพราะดูเหมือนใช้เนื้อส่วนสะโพกทำครับ ผมชอบหน้าอกมากกว่า


ไก่ผัดเม็ดมะม่วง  อันนี้น้องพลอยเหมาครับ เพราะมาไม่เยอะ แต่ยังเหลือผักเหมือนเคย


ต้มข่าไก่ ที่นี่อาหารไทย ทำออกรสแบบให้ฝรั่งทานนะครับ รสไม่จัด


และข้าวอบสัปปะรด ดูเหมือนจะขาดหมูหยองไป แต่อร่อยครับ


ข้าวที่นี่ขอได้เลยนะครับ ไม่ชาร์จเพิ่ม น้ำเปล่าเหมือนกันครับ 
แต่น้ำพนักงานไม่ได้แจ้งว่ามีน้ำเปล่า เลยสั่ง mineral water มาขวดนึง  มารู้ตอนทานของหวาน

ถึงเวลาสำคัญ พนักงานเอา birthday cake มาเสิร์ฟ เดินร้อง happy birthday มากันหมดเลย 
วันนี้มี สอง birthday เลยครับ ออกมาติดๆกัน


เค็กอร่อยครับ เป็น cheese cake ก้อนสีชมพูๆสี่เหลี่ยมเป็น marshmallow กลมๆตรงเทียนเป็น white chocolate truffle ข้างในครับ
ข้างนอกเป็น chocolate สีชมพู  เป็น birthday cake จาก Accor ที่ดูดีที่สุดตั้งแต่เป็นสมาชิกมา 

หลังส่วนลด 50% สำหรับอาหาร 15% สำหรับเครื่องดื่ม ค่าเสียหายวันนี้ 1668.40 บาท เป็นค่าเครื่องดื่มไปเกือบครึ่ง
ได้ส่วนลดไป 1102.50 บาท ครับ ไม่เลวนักครับ


หลังจากนั้นก็มาถ่ายรูปเล่นกันที่ lobby ของโรงแรม มีน้องพนักงานที่ฟร้อนมายืนคุยด้วย
มาแนะนำที่เที่ยวและร้านอาหาร  ช่วงนี้หน้า low season พนักงานเลยไม่ค่อยยุ่งเท่าไหร่


ตัดมาวันสุดท้ายเลยนะครับ เพราะวันที่สาม ไม่มีอะไรตื่นเต้น กลางวันทานข้าวร้านข้างโรงแรม แพงแถมไม่อร่อยด้วย ร้องไห้ ตอนเย็นทาน Burger King
มีแค่ตื่นเต้นก็ตอนกลับจากอ่าวนาง ขับตาม GPS หลงเข้าไปถนนอะไรไม่รู้ ท่ามกลางป่ายางอันมึดสนิท เงียบกันทั้งรถ ไม่รู้ว่ากลัวผีหรือคน เพี้ยนเพลีย

เช้าวันที่สี่ วันนี้เป็นวันสุดท้าย ตอนทานอาหารเช้ามีพนักงานมาชวนไปออกกำลังชกมวยไทยตอนบ่ายสอง
แต่ครอบครัวสามสาว ต้องเช็คเอ้าท์ และไปถึงสนามบินประมาณ  3 โมง เพื่อ คืนรถ เม่าเหม่อ
สรุป อด


หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ สักพักก็ออกจากโรงแรม ตรงไปยัง หาดคลองแห้ง หรือ ในปัจจุบันเรียกว่าหาด
นพรัตน์ธารา ที่เล็งเอาไว้ตั้งแต่ตอนไปกินร้านวังทราย  ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที 
จากที่จอดรถตรงครัวธาราเราสามารถเดินบนทรายไปถึงเกาะที่วงสีแดงๆไว้เลยครับ ประมาณ 10 นาที 
เตรียมร่มหรือหมวกมาด้วยนะครับ ไม่มีที่ร่มหลบแดดเลย






จากนั้นก็ถึงเวลากินอาหารมื้อสุดท้ายที่กระบี่ครับ ครอบครับสามสาวก็ออกเดินทาง
ต่อไปยังท่าเรือเจ้าฟ้า  แต่ไม่ลืมสิ่งสำคัญครับ เราต้องแวะซื้อของฝาก มีคนแนะนำ
ว่าให้ไปร้านจี้ออ ซึ่งเป็นทางผ่านก็ไปท่าเรือ


ถึงท่าเรือมีเรือจอดรอหลายลำเลยครับ เลือกเอาตามใจชอบ กลางวันวันนี้เราจะไปทานอาหารร้านมะหญิงที่เกาะกลางกัน
พี่คนขับเรือ เหมาไปกลับร้านอาหาร 200 บาทครับ ระหว่างทานอาหารกลางวันแกก็กลับไปนอนบ้าน น้องๆ ที่ร้านอาหารบอกคนขับเรือก็มาจากเกาะกลางทั้งนั้น พนักงานที่โซฟีเทลบอกนั่งเรือแป๊บเดียว จริงๆสิบนาทีได้ แต่ถ้าเหมารอบเกาะเค้าคิด 500 บาทครับ




เพื่อนร่วมทาง


ก่อนถึงเกาะเห็นเรือ yacht จอดอยู่ลำนึงกลางอ่าว 


นั่งเรือได้ประมาณ 10 นาที พี่คนเรือก็พามาถึงร้านอาหาร บ้านมะหญิง ครับ น่าจะเป็นธุรกิจครอบครัว 


อาหารทะเลสดแน่นอน จับกันมาจากกระชังข้างๆ ดอกพุดแทบไม่กล้ากินปลาทอด


พวกนี้เลี้ยงโชว์ลูกค้าครับ เสือพ่นน้ำ


ปลาหมอทะเล ยักษ์ใหญ่ประจำร้าน น่าจะยาวเป็นเมตร  พอไปนั่งซักพัก น้องๆที่ร้านก็มาโชว์ให้อาหารปลา 
ฮุปเหยื่อทีน้ำกระจาย นอกจากนี้ยังมีช่อนทะเลขี้อาย อีกตัวครับ 




จานนี้เป็นเมนูแนะนำ ปูดำผัดออริกาโน่ครับ สำหรับคนไม่กินเผ็ด ห้ามสั่งเลยครับ
ไม่ใช่เผ็ดแบบพริก แต่เป็นพริกไท เหมือนกับว่าเทเป็นขีดๆ ลงไปเลย เผ็ดร้อน
แต่อร่อยครับ จานนี้ สองตัว 0.4 กิโล กิโลละ780 บาท ถูกกว่ากินคลองโคน แถมตัวใหญ่กว่า


คุณแม่พิมพ์อยากลองสะตอผัดกะปิ แต่ไม่ทานสะตอ และ ทานกุ้งไม่ได้แพ้ น้องเลยจัด ปลาหมึกผัดกะปิมาให้ 240 บาท


วันนี้ไม่มีปลากระพง เก๋าก็มีแต่ 1 กิโลขึ้น เห็นช้อนกันสดๆ น้องเค้าเลยบอกว่าเอามาทำสองอย่างแล้วกันครับ
ส่วนนึงเอามาลองทำ ปลาเก๋าราดซอสมะขาม และอีกส่วนมาทอดราดน้ำปลาให้เด็กๆ 
สองจานนี้ 816 บาทครับ (ปลา 1.2 กิโล ที่ 680 บาท ต่อกิโล) 



มื้อนี้ค่าเสียหาย รวมข้าวโถนึงกับน้ำเหล่าน้ำแข็ง 1578 บาท ครับ   ร้านนี้ข้าวแพง โถละ 130 บาท 
แต่ยังไม่เท่าร้านอาหารญี่ปุ่นในตำนาน



หลังจากทานอาหารเสร็จก็นั่งเรือกลับท่าเรือครับ ขากลับนี้ฝนเริ่มตกแรงขึ้น เลยตัดสินใจ ขับไปคืนรถที่สนามบิน
แล้วเข้าไปรอที่เกทครับ ห้องรับรองของบางกอกแอร์เวย์ที่กระบี่เล็กมาก วันนี้ไฟล์ทเกือบเต็ม เลยไม่มีที่ว่างในห้องเลย 
ต้องเอาขนมไปนั่งกินหน้าเกทครับ 



สี่โมงก็ได้เวลาเดินไปขึ้นเครื่องแล้วครับ วันนี้กลับกับคุณ Bangkok เป็นเครื่อง Airbus A319



อาหารเด็ก น่ากินอีกแล้ว ซีฟู๊ดก็น่ากิน แต่อาหารปกติ เป็น sandwich แกงเผ็ดเป็ดย่างเย็นๆ กัดคำเดียวโยนทิ้งครับ
ความเห็นส่วนตัวนะครับ หลังๆ ผมว่า อาหาร การบินไทยดีกว่าครับ  wrap ของ Alfredo อร่อยนะครับผมยังขอซ้ำเลย






ขอจบรีวิวนี้กับพร้อมคำไว้อาลัยอาหารของบางกอกแอร์เวย์ไว้แค่นี้ครับ ขอบคุณที่ติดตามอ่านครับ
เพื่อนๆ สามารถ ตาม ทริปและรีวิว ของครอบครัวสามสาวได้ที่ http://www.facebook.com/SamSaawPatiew นะครับ

Note:  รูปในรีวิวนี้ถ่ายโดยกล้อง Canon G9x เป็นส่วนมากนะครับ จะมีบางส่วนใช้ IPhone 5s ถ่ายเช่นพวก ไลน์อาหารเช้า


ที่มา Pantip
Cr. panda_nat