เนื่องด้วยเมื่อปีที่แล้ว เราได้รับเชิญให้มาร่วมงานแต่งงานที่จะจัดแบบพิเศษสุดๆ และ Exclusive สุดๆของเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนานนนนมากกกก ที่บอกว่าพิเศษสุดๆนี่ เพราะงานแต่งงานครั้งนี้จะจัดริมทะเลคร้า (เดี๋ยวมาเล่าให้ฟังอีกกระทู้นึงนะคะ เพราะรายละเอียดงานแต่งนี่น่ารักน่าเล่าจริงๆ)

เพื่อนเราเป็นเชื้อสายจีน-อเมริกันค่ะ อยู่ที่อเมริกาตั้งแต่เกิดเลย เคยมาเที่ยวที่เมืองไทยเมื่อนานมาแล้ว ฮีเลยหลงรักทะเลไทยแบบถอนตัวไม่ขึ้น งานนี้เลยชวนเพื่อนรักทั่วสารทิศ มาเป็นสักขีพยานรักกันริมทะเลถึงขนอมกันเลยทีเดียว

แต่เนื่องจากเหล่าสักขีพยานมาจากหลายแห่งกันมาก เพื่อนเลิฟเลยอยากหาทัวร์ให้จัดทริปไปเที่ยวกันแบบ customized สุดฤทธิ์ คือ อยากจัดหลายแพคเกจ ให้เพื่อนๆ เลือกเที่ยวตามอัธยาศัย เราเลยแนะนำให้เพื่อนใช้ทัวร์ของพี่ที่รู้จักกัน เพื่อจะได้ customized ได้ตามชอบใจ เพราะเรามั่นใจว่าพี่เค้าต้องดูแลอย่างดีแน่ๆ จากประสบการณ์ที่เคยไปกับเค้ามาแล้ว (ปล. บอกก่อน งานนี้พวกเราเหล่าสักขีพยานทุกคน จ่ายตังค์ค่าแพคเกจทัวร์กันเองนะคะ เพราะเราอยากมาแสดงความยินดีกับเพื่อน ดังนั้นการเที่ยวถือเป็นของแถมที่พวกเราจัดการกันเองค่า) งานนี้กันต้องขอบคุณพี่ทัวร์มากกก เพราะให้ราคาสุดพิเศษเลย >>  www.kkasiatravel.com


เราออกจากดอนเมืองตอนเย็นค่ะ ขึ้นเครื่องนกแอร์ ก่อนขึ้นเครื่องก็แวะชารต์พลังด้วยกาแฟร้อนแก้วโปรดกันซะหน่อย





มาถึงที่สนามบินนครศรีธรรมราชตอนมืดพอดีค่ะ มีพี่ไกด์มารอรับพร้อมรถตู้ เราได้มาเริ่มพูดคุยกับคณะของบรรดาเหล่าสักขีพยานรัก เพื่อนต่างสัญชาติกันที่นี่ค่ะ เพราะบนเครื่องหลับยาวมาตลอดทาง 555 น่าดีใจจริงๆ เพื่อนเรามีคนรักเยอะมากๆ ได้ข่าวว่าร่วม 40 -50 คนได้เลย 

พี่ไกด์ดูแลดีมาก มีรถกะบะช่วยขนกระเป๋าแยกอีกคันด้วย พวกเราเลยนั่งกันสบายในรถตู้ ไม่งั้นเพลียแน่ เพราะจากสนามบินมาถึงที่พัก ที่ขนอม ร่วมชั่วโมงครึ่งเลยทีเดียว




เนื่องจากพวกเรามีกันเยอะมาก ทำให้คืนแรกของการพักที่พักไม่พอค่ะ เพราะมีแขกอื่นพักอยุ่ที่พักนี้ก่อนแล้ว ทางทัวร์เลยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มส่วนใหญ่จะพักที่ที่จะจัดงานคือ AAVA resort & spa มีส่วนน้อย รวมทั้งเราด้วยไปพักที่บ้านศิวิไลซ์ และคืนต่อไปเราก็จะย้ายมาพักรวมกันทั้งหมดที่ AAVA ค่ะ เพราะห้องจะว่างพอดี

มาถึงที่พักบ้านศิวิไลซ์ คือ ห้องติดทะเลเลยยยย ดาวเต็มฟ้า ได้ยินเสียงคลื่นตลอดเวลา ฟินมากค่ะ แทบไม่อยากย้ายที่พัก อยู่ต่อเลยได้มั๊ยยย 5555




เช็คอินเรียบร้อย พี่ไกด์ก็มารับไปหาของทานที่ตลาดคนเดินค่ะ เราไปทานข้ามต้มกันที่ร้านข้าวต้มรินดา รสชาติจัดจ้านได้ใจ กำลังแอบคิดว่าแล้วคนอื่นทานกันได้มั๊ยนี่ ปรากฏหมดเกลี้ยงโต๊ะทุกคนไม่มีเหลือ เสร็จแล้วก็ไปสำรวจตลาดกันซะหน่อย





ที่นี่ตลาดถนนคนเดินค่ะ เปิดเฉพาะคืนวันเสาร์ ตอนเรามาเดินนี่กำลังเริ่มเก็บของละ ถามแม่ค้าเค้าบอกเปิดบ่ายสามถึงสามทุ่มค่ะ


อันนี้หอยหน่อค่ะ เป็นหอยทะเลน้ำลึก แม่ค้าบอกว่าตัวมันจะคล้ายกับหอยแครง รสชาติหนึบหนับ สนนราคาแค่ 25 บาทเท่านั้น จัดมาหนึ่งกล่องไปทานที่ที่พักต่อ


ตัวใหญ่มากๆ



เสร็จแล้วกลับมานอนค่ะ เพราะต้องเก็บแรงไว้ พรุ่งนี้เราเลือกทัวร์ แพคเกจที่จะไปเที่ยวตามที่ต่างๆในขนอม มาทั้งทีต้องเก็บให้ครบ (เสียงเพื่อนดังมาก งานแต่งชั้น คิดจะช่วยม้ายยย ไว้ก่อนเรย 555)


ตื่นมาปุ๊บ ไปวิ่งชมวิวหน้าห้องที่เราพักก่อนเลยค่ะ พระอาทิตย์กำลังขึ้นสวย วิ่งพอเหงื่อออกนิดๆ (จริงๆ ไปเดินชมวิวมากกว่า) แล้วก็กลับมาทานอาหารเช้าค่ะ ที่นี่จัดแบบบุฟเฟ่ต์นะคะ หน้าตาน่ารับประทานมาก









ตามทริปวันนี้ เราเริ่มด้วยการไปดูปลาโลมาสีชมพูก่อนเลยค่ะ เพราะเป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของขนอม แต่พี่ไกด์บอกว่า นอกจากปลาโลมาแล้ว ที่นี่ยังมีแหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจอีกเยอะ อย่างจุดที่จะไปเช้านี้ นอกจากปลาโลมา ยังมีหินพับผ้า หรือ Pancake rock และจุดสักการะหลวงพ่อเหยียบน้ำทะเลจืดด้วย

ระหว่างทางในรถ เราก็ถามพี่ไกด์ถึงรายละเอียดของอำเภอนี้ ตามประสาคนช่างอยากรู้อยากเห็น 555 

พี่ไกด์เล่าว่า ขนอมเป็นอำเภอเล็กๆค่ะ มีประชากรรวมแค่หมื่นกว่าคนเท่านั้นเอง เป็นอำเภอสุดท้ายของจ.นครศรีธรรมราช และติดกับจ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งที่ขนอมจะเน้นที่ท่องเที่ยวแบบธรรมชาติ เหมาะกับคนที่ต้องการการพักผ่อน แบบเล่นน้ำทะเล ใช้ชีวิตสโลวไลฟ์ กินอาหารทะเลสดๆ พี่ไกด์บอกว่าสมัยก่อนเมื่อนานมาแล้ว ท่าเรือเฟอร์รี่ที่ไปเกาะสมุยเคยอยู่ที่ขนอมค่ะ แต่ต่อมาย้ายไปที่ดอนสัก ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเพราะอะไรถึงย้ายไป (แต่จากขนอมไปท่าเรือดอนสัก ที่เป็นท่าเรือเฟอร์รี่ไปเกาะสมุยก็แค่ 30 กิโลเท่านั้นเองนะคะ) 

พี่ไกด์ชวนว่า ที่ขนอมจะมีการจัดงาน Ample Moon Party ด้วยนะคะ เป็นงานที่จัดเหมือน Full moon Party ที่เกาะพะงัน คือ พะงันจะฉลองปาร์ตี้คืนพระจันทร์เต็มดวง แต่ขนอมนี่เป็นปาร์ตี้พระจันทร์ครึ่งเสี้ยว เก๋มากกก งานนี้จะจัดที่หาดหน้าด่าน ขนอม มีดนตรีนักร้องมาแสดงด้วย  มีการขายบัตรและสามารถเอาบัตรไปแลกอาหารเครื่องดื่มได้ เราตั้งใจว่าเดี๋ยวต้องหาเวลามาให้ได้สักครั้งแน่ๆ ค่ะ


นั่งรถมาถึงแหลมประทับค่ะ พี่ไกด์เล่าว่าที่ชื่อแหลมประทับ เพราะพระเจ้าตากสินเคยมาประทับแรมที่นี่ก่อนที่จะเดินทางไปนครศรีธรรมราช เราจะขึ้นเรือไปดูปลาโลมากันที่นี่ค่ะ พี่ไกด์บอกพวกเราว่าปกติเราจะนั่งเรือสปีดโบทของ Siam fishing  แต่เนื่องจากวันนี้ลมแรง ถ้านั่งสปีดโบทจะทำให้คลื่นตีเรือโคลงไปมามาก เกรงว่าพวกเราจะเมาเรือ เลยให้นั่งเป็นเรือหางยาวแทน ลำนึงนั่งได้ 6-7 คนค่ะ เราชอบมากก ไม่เคยนั่งเรือหางยาวออกทะเล ได้บรรยากาศไปอีกแบบ





แวะเช่าหมวกปีกกว้างหลบแดดซะหน่อย ใบละ 10 บาทเท่านั้น


ขึ้นเรือแล้วววว


ระหว่างนั่งในเรือ พี่ไกด์ก็จะคอยอธิบายข้อมูลให้ค่ะ วันนี้ที่เราจะไปดูกัน ไม่ใช่ปลาโลมาธรรมดา แต่จะเป็นปลาโลมาสีชมพู ซึ่งเป็นโลมาอีกพันธุ์หนึ่ง แต่โลมาทั้งสองพันธุ์นี้จะอยู่รวมกันเป็นฝูง โลมาสีชมพูจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูเมื่อโตเต็มวัยแล้วเท่านั้นนะคะ ตอนที่ยังเล็กก็จะมีสีดำเหมือนโลมาทั่วไปค่ะ 
พี่คนเรือรีบบอกพวกเราว่า ปลาโลมาเป็นธรรมชาติ เราบังคับไม่ได้ ว่าจะให้เค้าขึ้นมาให้เราเห็นตรงไหน แต่มีที่พวกเราจะได้เห็นแน่ๆ ก็คือแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆระหว่างทางที่นั่งเรือไปค่ะ (กลัวเราผิดหวังถ้าไม่เห็นโลมา 555)



จุดแรกคือหินพับผ้า หรือ pancake rock ค่ะ ลักษณะเป็นหินเรียงกันเป็นชั้นๆ สวยงามมากๆ พี่ไกด์บอกว่าในโลกมีแค่สองแห่ง คือที่นิวซีแลนด์กับที่ขนอมเท่านั้น เกิดจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก และน้ำทะเลกัดเซาะตามธรรมชาติเป็นเวลาหลายร้อยปี เราเห็นแล้วรู้สึกประทับใจมากๆเลย (นิวซีแลนด์ยังไม่เคยไป เอาเป็นว่าได้เห็นแล้วครั้งนึงในชีวิตที่ขนอมนี่แหล่ะ ) 




พี่คนเรือชี้ให้ดูแนวที่มีนกนางแอ่นมาทำรังตามธรรมชาติด้านในค่ะ


ถัดมาหน่อยเป็นเวทีพุ่มพวงค่ะ คนเรือบอกว่าถ้าคลื่นไม่แรง คนนิยมจอดเรือไปถ่ายรูปบนนั้นกัน ลักษณะเป็นหินแผ่นเรียบขนาดกว้าง เหมือนเวทีกลางทะเลเลย แต่วันที่เราไปคลื่นแรง ทำได้แค่ถ่ายรูปจากเรือ อดแวะค่ะ


มาถึงจุดชมปลาโลมาแล้วค่ะ เรือเริ่มจอดนิ่งๆ และพายวนไปมาค่ะ มีเรือไม่ค่อยมากเท่าไหร่ เฉพาะกลุ่มเราก็ 4-5 ลำ เรารอนิ่งๆ กันอยู่สักพัก ก็เริ่มเห็นเพื่อนในเรือลำอื่นๆ เริ่มยืนค่ะ เราเลยหันไปมองตาม เห็นปลาโลมากระโดดลอยตัวขึ้นมาสลับไปมาสองสามตัว 


ระหว่างที่กำลังดีใจ หันมาอีกด้านก็เห็นอีกหลายตัวเลย เยอะมากๆ เหมือนเป็นฝูงใหญ่เลยทีเดียว (ถ่ายรูปไม่ทัน เพราะมัวแต่ตื่นตาตื่นใจกับปลาโลมา T T) แต่ไม่เห็นโลมาสีชมพูนะคะ เราเห็นแต่โลมาสีดำ มารู้ทีหลังว่ามีเพื่อนที่ขึ้นเรืออีกลำนึง คนเรือพาแยกไป ได้เห็นปลาโลมาปากขวดเยอะมาก แต่เราว่าเท่าที่เราได้เห็นก็เยอะใช้ได้เลย ไม่น่าเชื่อว่าธรรมชาติของที่นี่ยังสมบูรณ์มากขนาดนี้ อยากเก็บให้คงไว้แบบนี้ไปอีกนานๆ ให้รุ่นลูกหลานเราได้เห็นด้วย

จุดต่อไปคือไปสักการะหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดค่ะ พี่ไกด์เล่าว่า เกาะนี้เดิมชื่อว่าเกาะนุ้ย แต่ต่อมาเรียกว่าเกาะหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด เพราะมีเรื่องเล่าว่า ระหว่างที่หลวงปู่ทวดนั่งเรือจากสงขลาจะไปอยุธยาโดยเรือสำเภา ระหว่างทางเกิดมีพายุ ทำให้เรือต้องแวะจอดพักจนน้ำจืดหมด เจ้าของเรือเลยไล่หลวงปู่ลงจากเรือ หลวงปู่จึงได้หย่อนเท้าลงในน้ำทะเล และให้คนเรือตักชิม ปรากฎว่าจุดที่หลวงปู่หย่อนขาลงไปกลายเป็นน้ำจืด คนเรือจึงขนน้ำจืดไปใช้ระหว่างการเดินทางต่อ
และตรงจุดนั้นในปัจจุบันลักษณะหินจะมีลักษณะรูปร่างเหมือนรอยเท้าคนขนาดใหญ่  ถ้าน้ำทะเลขึ้นก็จะกลายเป็นน้ำเค็ม แต่พอน้ำทะเลลด เฉพาะตรงจุดรอยเท้า ก็จะเป็นน้ำจืดค่ะ เกาะนี้เลยกลายเป็นที่หลบภัยของคนที่ออกทะเล เพราะมีน้ำจืดให้บริโภค 




จุดชมวิวด้านบนค่ะ



จุดนี้ค่ะที่เป็นจุดหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด พอดีน้ำขึ้น เราเลยไม่ได้เห็นหินที่เป็นรอยเท้าค่ะ (ว่าอยากจะชิมน้ำตรงรอยเท้าซะหน่อยว่าจืดจริงหรือเปล่า แต่พี่ไกด์ยืนยันว่าเคยชิมแล้ว เป็นน้ำจืดจริงๆ ในขณะที่น้ำบริเวณรอบๆ เป็นน้ำเค็มหมด)


พี่ไกด์เล่าให้เราฟังระหว่างนั่งเรือกลับว่า สมัยก่อนคนนิยมเดินทางทางเรือ อย่างที่ขนอมจะมีเจดีย์ปะการัง ซึ่งเกิดจากที่มีกษัตริย์เอาพระบรมสารีริกธาตุใส่หัวแล้วเทินมาในเรือ เดินทางมาจากประเทศอินเดีย มาค้าขายในแถบมลายู ผ่านสิงคโปร์ มะละกา และได้มาผ่านอาณาจักรตำพรลิง หรือปัจจุบันคือเมืองนครศรีธรรมราช พอมาแวะที่เมืองนี้เลยเอาพระบรมสารีริกธาตุไปซ่อนไว้ในทรายหน้าบรมธาตุ เมื่อศึกที่อินเดียสงบก็กลับมาขุดกลับไป ซึ่งตอนหลังได้มีการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุกลับมาประดิษฐานที่นี่ใหม่ พอผู้คนรู้ว่าจะมีการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุกลับมาประดิษฐานไว้ที่นครศรีธรรมราช เลยพากันนำแก้วแหวนเงินทองมาทางเรือ เพื่อจะนำมาสร้างพระธาตุ แต่พอมาถึง และได้เห็นว่าที่นครศรีธรรมราชมีพระมหาธาตุแล้ว เลยเอาแก้วแหวนเงินทองที่นำมา มาสร้างเจดีย์ปะการัง (Coral Pagoda) ไว้ที่ขนอม และบางส่วนก็นำไปสร้างเจดีย์เล็กๆ ล้อมรอบพระมหาธาตุ เรียกว่า เจดีย์รายค่ะ

กลับมาที่ท่าเรือเรียบร้อย ได้กลิ่นหอมชวนหิวเลย พี่ไกด์ให้ชาวบ้านแถวนั้นนึ่งกุ้งเอาไว้ให้ค่ะ เป็นกุ้งไข่ กุ้งทะเลเล็ก ชาวบ้านแถวนั้นไปลอยอวนสามชั้น เพื่อให้ช่องอวนถี่ กุ้งจะได้ติด แล้วลากขึ้นมา  เรียกว่าสดมากๆ เนื้อหวานฉ่ำทีเดียว เราเลยไปคุยกับพี่ที่จับกุ้งขาย พี่คนขายเล่าว่าลากอวนกุ้งแบบนี้ บางวันส่งได้เป็นหมื่นบาทเลยนะคะ เพราะทะเลแถบนี้สมบูรณ์อยู่มาก คุยกันสนุกสนาน พี่คนขายเลยเอากุ้งมาโชว์ให้ดูอีกหลายพันธุ์


ต้มพร้อมทานค่ะ 555


อันนี้กุ้งแชบ๊วยค่ะ ตัวใหญ่มว้ากก


ส่วนอันนี้กุ้งปล้องค่ะ ตัวเป็นลายสีดำเป็นปล้องๆ พี่เค้าบอกว่ากุ้งแบบนี้คนนิยมเอาไปทำอาหารค่ะ


ชิมกุ้งกันคนละสองสามตัวเสร็จ เราเตรียมกลับไปเช็คอินเข้าที่พักที่ AAVA resort ค่ะ คืนนี้ต้องย้ายมานอนที่รีสอร์ทที่จะจัดงานแล้วค่ะ


AAVA resort เป็นรีสอรท์ที่ค่อนข้างส่วนตัวค่ะ มีสปา และบริการสอนโยคะด้วย มาถึงเค้าก็เอาน้ำกับผ้าเย็นมาให้ น้ำเป็นน้ำสมุนไพรค่ะ เหนื่อยๆมานี่ชื่นใจเลย เราเลยถามว่าเป็นน้ำอะไร พนักงานบอกว่าเป็นน้ำขิง ตะไคร้ ผสมมะนาวค่ะ



เราเดินสำรวจรอบๆที่พัก เค้าวาง layout ของห้องพักได้เป็นสัดส่วนทีเดียว เราได้ห้องนี้ค่ะ room 13 Lucky number 






มาดูด้านในกันซะหน่อย ว้าวเลยค่ะ ดูทันสมัย และก็สวยด้วย








เช็คอินเรียบร้อย พี่ไกด์มาเรียกให้ไปตลาดในอำเภอค่ะ เราจะไปหาของอร่อยทานกัน แบบฟรีสไตล์ คือสไตล์ใครก็สไตล์คนนั้น มาถึงตลาดเราก็เลยจัดขนมจีนน้ำยาใต้กับไก่ทอดค่ะ แต่กลัวว่าจะรสเผ็ดเกิน เราเลยให้ป้าคนขายช่วยผสมน้ำพริกหวานๆ ให้ด้วย หันไปมองเพื่อนต่างสัญชาติ เป็นห่วงกลัวจะทานไม่ได้กัน เหยยย ทานกันเกลี้ยงอย่างรวดเร็วไม่เหลือเลยค่า คนไทยอย่างเราแพ้ไปเลย



อิ่มกันเรียบร้อยขึ้นรถเที่ยวกันต่อเลยค่ะ (ตกลงเธอมางานแต่งหรือมาเที่ยวกันแน่!!) ที่หมายต่อไป คือ ถ้ำเขาวังทองค่ะ


ที่ถ้ำเขาวังทองจะมีเจ้าหน้าที่เป็นไกด์พาเดินเข้าไปในถ้ำ และอธิบายจุดต่างๆ ด้วยนะคะ เราต้องเดินขึ้นบันไดไป 147 ขั้นค่ะ ขาสั่นมากค่ะ ณ จุดนี้ 




แวะพักก่อนเข้าถ้ำค่ะ


เจ้าหน้าที่เตรียมไฟให้คนละดวง สำหรับถือเข้าไปค่ะ ทางเดินในถ้ำ ต้องลอดต้องมุดบ้างเป็นบางช่วงนะคะ บางช่วงนี้แทบจะคลานเข้าไปเลย และพื้นก็ค่อนข้างลื่น ต้องเดินอย่างระมัดระวังมากๆ ค่ะ 


พี่เจ้าหน้าที่เล่าเรื่องถ้ำเขาวังทองให้พวกเราฟังว่า ถ้ำเขาวังทอง เป็นถ้ำหินปูนผสมแร่เหล็กที่มีหินงอกหินย้อยรูปร่างสวยงามค่ะ ที่นี่เลยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของอำเภอขนอม บริเวณปากถ้ำตรงจุดนั่งพักนี้จะเป็นจุดชมวิวที่เห็นทิวทัศน์ของตำบลควนทองค่ะ ภายในถ้ำมีลักษณะเป็นโถงถ้ำขนาดใหญ่ขนาดเล็กสลับกันไป ห้องโถงในถ้ำที่ใหญ่ที่สุดจะมีขนาดประมาณ 2 ไร่ เลยทีเดียว และตามพื้น  ผนัง และเพดานถ้ำ จะมีหินงอก หินย้อย เสาหิน รูปร่างต่างๆ มีทั้งรูปไดโนเสาร์ เจ้าแม่กวนอิม เจดีย์ เยอะแยะเลยค่ะ
ว่าแล้ว ก็ได้เวลาเข้าถ้ำกันแล้วค่ะ




อันนี้เป็นห้องโถงใหญ่ค่ะ


มีแร่ธาตุสีทองตามผนังเต็มไปหมดเลย


หินงอกหินย้อยที่เหมือนไดโนเสาร์


อันนี้เป็นค้างคาวลูกหนูค่ะ มาเกาะเรียงอยู่ตามเส้นลวดที่กั้นนักท่องเที่ยวไม่ให้เข้าไปสัมผัสหินงอกหินย้อย เยอะมากๆ จุดนี้เจ้าหน้าที่ให้ปิดไฟนะคะ เพราะเดี๋ยวค้างคาวจะตกใจบินออกมากัน แต่สามารถใช้แฟลชจากกล้องได้ค่ะ


เดินครบหนึ่งรอบ ออกมานอกถ้ำนี่เหงื่อท่วมทีเดียว แต่ถือว่าคุ้มเหนื่อย เพราะด้านในสวยมากๆ เลยค่ะ
เดินลงมาปุ๊บ พี่ไกด์รีบบอกโปรแกรมต่อไปทันที จุดหมายต่อไปน้ำตกเสม็ดชุนค่ะ


ที่ขนอมจะมีน้ำตกหลายแห่งนะคะ แต่ที่น้ำตกเสม็ดชุนจะมีเขื่อนเล็กๆ อยู่ด้านบนด้วย สำหรับส่งเป็นน้ำประปาให้กับแหล่งชุมชนค่ะ
ทางเดินขึ้นน้ำตกค่ะ ระหว่างทางจะมีต้นมะพร้าวอยู่ด้านข้างตลอดทางเลย มีต้องปีนป่ายบ้างเป็นบางช่วงนะคะ แต่เดินได้สบาย ไม่ลำบากค่ะ และเมื่อเข้ามาในเขตน้ำตกจะเห็นแนวท่อประปาด้วยค่ะ 



มาถึงตรงนี้เห็นวิวน้ำตกชัดเจน เราขอหยุดพักตรงจุดนี้ค่ะ เริ่มเหนื่อยแล้ว นั่งแช่น้ำเย็นๆดีกว่า เพื่อนๆต่างสัญชาติฟิตมาก ขอเดินต่อค่ะ จะขึ้นไปด้านบนที่เป็นเขื่อน เราเลยโบกมือ บายย See youuu 5555



ออกจากน้ำตกปุ๊บ พี่ไกด์ก็จะพาไปทานข้าวเย็นกันต่อเลยค่ะ ระหว่างทางผ่านสะพานตลาดปลา เลยขอแวะเก็บรูปนิดนึง พอดีกับที่หลายๆ คนหิวน้ำพอดี เลยแวะซื้อน้ำกันซะหน่อย
วิวจากสะพานตรงตลาดค่ะ แสงกำลังสวยเลย 




แอบแวะเดินเข้าไปดูในตลาดซะหน่อย



มีปลาฉลามขายด้วยค่ะ คนขายบอกว่าเป็นปลาฉลามทราย มีคนกินด้วยเหรอเนี่ยย !!


ส่วนเจ้านี่ปลาจ้งม้งค่ะ แม่ค้าบอกเนื้อคล้ายปลากระเบน แต่ไม่มีจุดบนตัว


กินน้ำกันเรียบร้อย พวกเราไปสมทบกับเพื่อนๆอีกกลุ่มที่แยกไปเที่ยวที่อื่นกันที่ร้านอาหารเลยค่ะ พี่ไกด์บอกว่ามื้อนี้มีทีเด็ดด้วยค่า 
เราไปทานที่ร้านนี้กันค่ะชื่อ ร้านครัวต้นหยี  อาหารตามในรูปเลย รสชาติจัดจ้าน อร่อยถูกปากจริงๆ 






นี่เลยค่ะ มาแล้วทีเด็ดของพี่ไกด์ ปูค่ะ เนื้อแน่นมากกก พร้อมกุ้งเนื้อหวานฉ่ำสดๆ อีกหลายกิโล คือ ทานมื้อนี้เสร็จแล้ว คงหายอยากอาหารทะเลไปอีกนานเลย 555





อิ่มท้องตึง ก็กลับที่พักค่ะ พรุ่งนี้มีโปรแกรมอีกหลายที่ เพราะงานแต่งงานจะมีอีกวัน พวกเรายังมีเวลาว่างเหลือ ถือว่าได้มาเที่ยวกับเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันนานไปในคราวเดียวกัน อิอิ


ตื่นเช้า ก็มาจัดการอาหารเช้าที่ห้องอาหารก่อน อาหารเช้าที่นี่เป็น a la carte ค่ะ แต่สั่งได้ไม่ยั้ง เค้าบอกอร่อยทุกอย่าง พี่ก็สั่งมาชิมทุกอย่างเรยย 555 อิ่มปุ๊บพี่ไกด์ก็มารอพร้อมที่ล้อบบี้เลยค่า








จุดหมายแรกของวันนี้ ไปอ่าวท้องหยีค่ะ อยู่ทางใต้สุดของขนอม ระหว่างทางที่รถวิ่งเข้ามา มีป้ายติดข้างทางว่าอย่ายิงหมู หมูมีเจ้าของ เราก็งงว่าหมูอะไร ทำไมมาวิ่งในป่า พี่ไกด์บอกแถวนี้เค้าเลี้ยงหมูป่ากันค่ะ เจอกำลังมาเดินกันอยู่พอดี เราเลยถ่ายรูปมาได้แว้บนึง


อ่าวท้องหยีสงบเงียบและเป็นส่วนตัวมาก พี่ไกด์บอกว่าบริเวณอ่าวนี้น้ำไม่ลึกมาก คนเลยชอบมาเล่นน้ำกันค่ะ 




ช่วงที่เราไปมีคนมาถ่าย Pre-wedding พอดี แอบเก็บภาพมาด้วย


เดินเล่นสักพักเริ่มร้อนค่ะ พี่ไกด์บอกว่าจะพาไปถ่ายรูปที่รีสอรท์แห่งหนึ่ง มีวิวสวย (คงเพราะเห็นเราถือกล้องถ่ายรูปแน่ๆ) 

รีสอรท์นี้ชื่อว่า ราชาคีรีค่ะ เป็นรีสอรท์ค่อนข้างใหญ่ ตกแต่งสไตล์บาหลี ที่นี่ไม่มีชายหาดให้ลงเล่นน้ำทะเลนะคะ แต่มีวิวที่พักเรียงไปตามเขาติดทะเลสวยมาก และทางรีสอรท์ยังสร้างสะพานยื่นลงไปในทะเลให้แขกได้เดินเล่นด้วย เราเลยไม่พลาดที่จะเก็บรูปค่ะ ^^








พี่ไกด์บอกเราว่าวันนี้ฟรีสไตล์ อยากไปไหน เลือกมา เค้าจะพาตระเวนเที่ยวในขนอม เราหันไปถามเพื่อนๆ ต่างสัญชาติ ทุกคนลงความเห็นว่าที่ไหนก็ได้ เอาแบบวิวสวยๆ จะได้เก็บภาพกัน จุดหมายต่อไปของเรา เลยไปที่ครัวตังเกค่ะ

อ๊ะ มาร้านอาหารแต่ไม่ได้แวะทานข้าวนะคะ เพราะที่ครัวตังเก นอกจากจะเป็นร้านอาหารแล้ว ยังมีที่พักชื่อ ANA Villa ด้วยค่ะ ที่นี่ไม่ติดทะเลค่ะ แต่เป็นป่าโกงกาง ป่าชายเลน เราคิดว่าช่วงเย็นอากาศน่าจะเย็นมาก (แต่ยุงคงเยอะมากเช่นกัน) บางส่วนของที่พักมีการตกแต่งด้วยหญ้าเทียมด้วยนะคะ ดูเก๋ไม่เบาเลย 





อันนี้เป็นส่วนของร้านอาหาร ครัวตังเกค่ะ




ต่อมาเราไปดูอ่าวท้องชิงค่ะ ที่นี่มีรีสอรท์เดียว เงียบสงบมากก สัญญาณโทรศัพท์เรายังหายเลย รีสอรท์ที่นี่ชื่อว่า The Nin ค่ะ พนักงานบอกว่าเป็นเจ้าของเดียวกับ แพห้าร้อยไร่ที่สุราษฎร์ (จุดขายคือ ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์เหมือนกัน หึหึ) 





บ้านพักของรีสอรท์นี้แบ่งเป็นสองส่วนค่ะ ส่วนหน้าหาดจะหลังใหญ่หน่อย ออกแบบเป็นรูปเรือ แปลกตาดี ด้านหลังถัดเข้ามาด้านใน จะเป็นหลังเล็กๆ ค่ะ




เริ่มหิวแล้ว พี่ไกด์บอกพวกเราว่าอย่าเพิ่งเบื่ออาหารทะเลนะ เพราะจะพาไปกินก๋วยเตี๋ยวทะเลขึ้นชื่อ ร้านสารวัตรใหญ่ค่ะ ร้านนี้อยู่ดอนสักนะคะ (ที่เล่าไปก่อนหน้าว่าขนอมอยู่ติดกับดอนสัก ห่างกันแค่ 30 กว่ากิโลเท่านั้นเอง) ก๋วยเตี๋ยวร้านนี้เป็นก๋วยเตี๋ยวต้มยำธรรมดาทั่วไปค่ะ แต่แตกต่างที่ใส่เครื่องทะเลแบบจัดเต็มมาก คือมีทั้ง กั้ง กุ้ง หอย ปู ครบสุดๆ แล้วยังทานง่ายด้วย เพราะทางร้านแกะเปลือกกั้ง กุ้ง ปูมาให้เรียบร้อยเลย ชอบตรงนี้ล่ะค่ะ 555


อิ่มปุ๊บเตรียมไปต่อ จุดหมายต่อไปของพวกเรา คือเกาะแรตค่ะ


เกาะแรตเป็นเกาะขนาดเล็ก  มีชุมชนเล็กๆ อาศัยอยู่ ชาวบ้านบนเกาะส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพทำกะปิ และประมงค่ะ พี่ไกด์ปล่อยให้พวกเราได้เดินเล่นรอบเกาะ ใช้เวลาแค่ 15 นาทีเท่านั้น เราสังเกตเห็นว่าตอนนี้มีหลายๆ บ้านของที่นี่เริ่มทำเป็นที่พักแบบโฮมสเตย์ด้วยนะคะ ชาวบ้านบนเกาะใจดีมากๆ เลยค่ะ พอเราแวะถ่ายรูปด้านหน้า ก็จะชักชวนให้เราเข้าไปถ่ายรูปด้านใน เพราะที่พักโฮมสเตย์ส่วนใหญ่จะมีจุดชมวิวที่สามารถเห็นวิวทะเลได้แบบ 360 องศาเลยทีเดียว






ทางเดินรอบเกาะค่ะ





เดินมาสักพักเห็นป้าคนนึงกำลังตำกะปิอยู่ค่ะ เลยเดินเข้าไปขอถ่ายรูปด้านใน เจอพี่เจ้าของคนนึงใจดีมาก หาน้ำมาให้พวกเราทาน แล้วก็เล่าเรื่องเกาะแรตนี้ให้ฟังค่ะ


พี่คนนี้เป็นลูกชายของผู้ใหญ่เพ้ง ชื่อของโฮมสเตย์ผู้ใหญ่เพ้งค่ะ พี่เล่าว่าเดิมเกาะแรตนี้ไม่มีสะพานเชื่อมกับทางฝั่ง การเดินทางต้องใช้เรืออย่างเดียว เวลาที่มีพายุมาจะลำบากมาก ชาวบ้านเลยทำเรื่องทูลขอไปทางในหลวง ในหลวงก็โปรดเกล้าให้สร้างสะพานข้ามเกาะ และมีเจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์เสด็จมาเปิดสะพาน นับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อชาวบ้านมากๆ เลยค่ะ 

นอกจากนี้พี่ยังพาเดินชมห้องพักที่ปรับจากบ้านมาเป็นโฮมสเตย์ด้วยนะคะ ห้องน่ารักทีเดียว เราแอบถามราคา พี่เค้าบอกว่าคืนละ 700 บาทรวมอาหาร 2 มื้อ (ราคาน่ามาพักมากๆ) และยังบอกว่าถ้าจะมา มีรถไปรับที่ท่าเรือดอนสักด้วยนะคะ โห สะดวกสุดๆ









เราลาจากพี่เค้าพร้อมสอยกะปิมา 1 กล่องค่ะ พี่ไกด์เริ่มเร่งละ บอกเดี๋ยวมีเวลาน้อยที่สุดท้าย เพราะจะได้พักผ่อนเต็มที่ พี่ไกด์จะพาไปสปาฟิชค่ะ ที่ต้นธารรีสอรท์แอนด์สปา ไปนั่งแช่เท้าให้ปลาตอดเท้าเล่น 555


ไปถึงต้องซื้อบัตรก่อนค่ะ บัตรราคา 150 บาท สามารถใช้เข้าไปนั่งแช่เท้า และเดินเล่นให้อาหารแกะ และนกได้ และยังได้คูปองส่วนลดกาแฟมาอีก 10 บาทด้วยค่ะ


เพิ่งรู้ว่าเพื่อนๆ เราชอบแช่เท้ามาก คือหน้าทุกคนดูฟินสุดๆ ตอนแช่เท้าให้ปลาตอด แหม จิบกาแฟไปด้วยนี่มันสุขจริงๆ ยกเว้นเรานะคะ จั้กจี้ค่ะ 555





เราเลยไปเดินเล่นให้อาหารแกะค่ะ เจ้าตัวนี้ไม่แน่ใจว่าแกะหรือตัวอะไร คือ เชื่องมาก กินเฉพาะแครอท เราเลยซื้อแครอทเลี้ยงหนึ่งถุง



ถัดมาหน่อยเป็นกรงนกแก้วค่ะ เป็นกรงขนาดใหญ่ เราสามารถเดินเข้าไปด้านในได้ นกแก้วก็เหมือนถูกฝึกมาดี อ้าวว มองกล้องงง ชีสสส


มีกระต่ายอยู่ในกรงนกด้วยค่ะ 


ได้เวลากลับแล้ว เย็นวันนี้เราทานอาหารในโรงแรม เสร็จแล้วเราเลยเช่ามอเตอร์ไซค์ออกมากับเพื่อนๆ ที่ตลาด มากินโรตีบังชาค่ะ เค้าบอกว่าดังมากร้านนี้ จัดไปอย่าให้เสียค่ะ อิอิ



ก่อนนอน เราโทรหาพี่ไกด์เพื่อนัดหมายวันพรุ่งนี้ค่ะ เพราะถามเพื่อนๆ ทุกคนบอกจะเล่นน้ำที่พักกันหมดเลย พวกนางเหนื่อยไม่อยากออกไปไหนแล้ว แต่สาวไทยกลัวดำอย่างเรา ขอไปเที่ยวเก็บถ่ายรูปข้างนอกดีกว่า เลยโทรบอกพี่ไกด์ขอทริปเฉพาะกิจ เอาแบบพิเศษหน่อย เพราะมีเราแค่คนเดียว 5555


เช้ามาพี่ไกด์มารับแต่เช้ามืดเลยค่ะ ไปตักบาตรกันก่อนเลยตาม request เรา เราแวะซื้อของที่ตลาดแล้วไปตักบาตรในเขตชุมชน สังเกตุส่วนใหญ่บริเวณนี้จะเป็นชาวพม่าที่มาทำงานเรือประมงค่ะ


ตักบาตรเรียบร้อย พี่ไกด์บอกจะพาไปถ่ายรูปที่นึงก่อน เพราะแสงยังสวย พี่ไกด์ขับรถพาไปที่ชายหาดในโรงไฟฟ้าค่ะ        ที่ขนอมมีโรงไฟฟ้าของเอกชนอยู่ด้วย (เดิมเคยเป็นของรัฐวิสาหกิจ) บริเวณนี้สมัยก่อนเรียกว่าทะเลลุงช้ำค่ะ เพราะเจ้าของเดิมชื่อว่าลุงช้ำ และถูกเวนคืนที่มาสร้างโรงไฟฟ้าค่ะ วิวที่นี่สวยมาก เรามาทันแสงสุดท้ายพอดี



ถ่ายรูปนิดหน่อย ก็เตรียมไปที่ต่อไปเลยค่ะ เพราะพี่เค้าบอกว่าต้องรีบไปเดี๋ยวไม่ทัน อยากให้เราได้ภาพสวย ที่นี่เลยค่ะ แพปลาศักดิ์รุ่งโรจน์ 

ที่ต้องรีบมาเพราะเรือกำลังลงค่ะ ปลาใหญ่ทั้งนั้น ได้เจอกับพี่พงศ์เจ้าของแพปลา แกก็ใจดีมาคุยด้วย และยังเรียกให้คนงานเอาปลามาให้ดูด้วยค่ะ




พี่พงศ์เล่าว่าปลาจากที่นี่เป็นปลาที่จับโดยเรือฝั่งไทย จะไม่มีการใส่น้ำยา จับได้ปุ๊บจะฟรีสแข็งด้วยน้ำแข็ง (ก่อนออกเรือเค้าจะเอาน้ำแข็งกว่า 20 กิโลใส่ไว้ในห้องเย็นภายในเรือ) เอาปลา, ปลาหมึกที่จับได้ แยกประเภทคร่าวๆ แล้วฟรีซใส่เป็นถาดๆ แช่เก็บไว้ในห้องเย็นใต้เรือ เพื่อให้ปลาสด แต่ถ้าเป็นปลาที่จับจากที่อื่นจะใส่ถังแช่น้ำยาเพื่อให้ปลาสดค่ะ ซึ่งกินมากๆ ก็จะไม่ดีกับสุขภาพ เราเลยถามว่าแล้วจะแยกยังไง ว่าปลาไหนถูกแช่น้ำยา หรือไม่แช่ พี่พงศ์บอกว่าแยกไม่ออกเลยค่ะ เพราะดูแล้วจะสดเหมือนกัน (อ้าว !! แย่ละ) แต่พี่พงศ์บอกว่าปลาส่วนใหญ่ที่ขนอมจะส่งเข้ากรุงเทพไปขายตลาดปลาที่แม่กลองนะคะ ทีหลังจะซื้อปลาสดๆ จะพุ่งตรงไปแม่กลองเลย 555



พี่พงศ์อธิบายเรื่องการจับปลาให้ฟังด้วยค่ะ ว่าวิธีการจับก็ใช้เรือสองลำลากอวนคู่กันไป พอสิบกว่าวันก็เอาปลามาถ่ายใส่เรืออื่นวิ่งมาส่งที่ฝั่ง เพื่อส่งไปขายก่อน


คนนี้เป็น Engineer ประจำเรือค่ะ เท่มั๊ยคะ


อันนี้ตัวใหญ่เป็นปลาเต๋าเต้ย หรือปลาจรเม็ดขาวที่คนจีนนิยมค่ะ พี่พงศ์บอกว่าเทียบเกรดได้กับปลาหิมะเลยทีเดียว ราคากิโลเป็นหลักพันเชียวนะคะ เอามาเทียบกับปลาจรเม็ดธรรมดาให้ดูค่ะ


ปลาอีโต้ค่ะ


โห ปลาหมึกตัวใหญ่มากก พี่พงศ์บอกว่าปลาหมึกพวกนี้ส่งออกทั้งหมดนะคะ คนไทยอดค่ะ เศร้าจัง



ก่อนกลับเราเห็นเรือจอดอยู่เยอะมาก เลยถามพี่พงศ์ว่าทำไมเรือถึงไม่ออกไปจับปลา พี่พงศ์เล่าว่าเพราะตอนนี้มีกฎหมายออกมาให้เรือที่ออกประมงทุกลำต้องมีใบอนุญาต และเรือหลายลำก็ไม่มี เลยไม่สามารถออกทะเลได้ ส่วนจะขอใบอนุญาตเพิ่ม ทางการก็ไม่ออกให้แล้ว เพราะมีการรณรงค์เรื่องการจับปลา ว่าถ้าจับมากเกินไปปลาอาจจะหมดทะเลได้ค่ะ

ร่ำลาพี่พงศ์เรียบร้อย พี่ไกด์พาเราไปจุดหมายต่อไปค่ะ ที่หาดนากำค่ะ ที่นี่ก็เป็นหาดเงียบๆอีกแห่งนะคะ ที่ขนอมนี่มีชายหาดสวยสงบอีกหลายแห่งเลย เราแวะที่นี่แป๊บเดียวค่ะ เพราะต้องไปเตรียมร่วมงานแต่งงานตอนเย็นแล้ว 



ระหว่างทางกลับที่พักผ่านร้านอาหาร Summer Beach เมื่อวันก่อนเราผ่านตอนเย็น เห็นว่าเปิดไฟสวยอยู่ริมทะเล เลยขอแวะถ่ายรูปนิดนึงค่ะ
ปรากฏว่าร้านปิดค่ะ เปิดเฉพาะวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ แต่ไม่ยอมแพ้ค่ะ เราเดินวนหาทางเข้า มีบันไดจากชายหาดขึ้นไปบนร้านได้ค่ะ 5555 (ไม่ยอมแพ้เรย)





เก็บรูปนิดหน่อยก็กลับที่พัก ที่ร้านนี้ห่างจากที่พักนิดเดียวเท่านั้น ได้เวลาไปแต่งสวยร่วมงานแต่งเพื่อนเลิฟแล้วค่ะ งานแต่งจะน่ารักขนาดไหน เราขอเล่าในกระทู้หน้านะคะ กลัวยาวเกิ๊นนน 5555  
(ตามไปอ่านกระทู้งานแต่งริมทะเลในฝันกันได้นะค้า >> http://pantip.com/topic/34678054)


ขอบคุณข้อมูลจาก Pantip
Cr. patnun