รีวิว ทริปเที่ยวไปกินไปที่นครพนม(เน้นกินมากกว่าเที่ยว)

ขอออกตัวไว้ก่อนนะว่า นี่เป็นกระทู้แรกของเรา  ไม่เคยสมัครสมาชิก ตามอ่านกระทู้ในพันทิปอย่างเดียวมามานานมาก ตั้งแต่.....ช่างมันเถอะ พอดีว่าเพื่อนของเรา 2คน เป็น  ช.1 ญ.1 ซึ่งไม่ใช่แฟนกัน แต่เป็นเพื่อนสมัยเรียนที่รู้จักกันมา 20 ปีพอดี  จะมาเที่ยวจังหวัดนครพนม ซึ่งเป็นจังหวัดบ้านเกิดเราเอง

          เมื่อปีที่แล้ว ทั้ง 2 คนนี้ก็เคยมาแล้วทริปนึง 3วัน 2คืน ก็พาเที่ยวตามที่ต่างๆ ทั้งไหว้พระธาตุพนม พระธาตุประจำวันเกิด ล่องเรือชมวิวสองฝั่งโขง เดินถนนคนเดิน  พาไปเก็บรูปสถานที่สำคัญต่างๆ เหมือนในหลายๆ รีวิว ที่เพื่อนๆ ในพันทิปไปกันนั่นแหละ แต่ครั้งนี้เพื่อนเรา มันทรานส์ฟอร์มเมอร์จาก นักท่องเที่ยวเป็นสายแดร_กเต็มขั้น ภารกิจในครั้งนี้จึงสำคัญมาก ที่เราจะต้องเสาะหาร้านของกินต่างๆ ที่มีชื่อบ้าง ไม่มีชื่อบ้าง แต่ควรจะอร่อยในความคิดของเรา เพื่อขึ้นสายพานลำเลียง ไหลเข้าตัวเพื่อนให้ได้มากที่สุด

          เราใช้เวลาว่างร่วมเดือนเพื่อเลือกร้านที่เราคิดว่าโอ.เค. ในความคิดเรา  ในฐานะคนในพื้นที่ ซึ่งไม่สนใจว่าร้านนั้นจะดังหรือไม่ดัง ฮิตหรือไม่ฮิตในกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เคยมา หรือเคยรีวิว และเราก็ไม่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับร้านใดๆ ทั้งสิ้น แต่ที่เขียนกระทู้นี้ขึ้นมา เพราะอยากจะแนะนำเมนูดีๆ ร้านอร่อยๆ ที่คนนอกพื้นที่หรือนักท่องเที่ยวทั้งหลายที่กำลังจะมาหรือคิดจะมา  ได้มีทางเลือกนอกเหนือจากกระทู้ตามรอยต่างๆ ที่เคยๆ อ่านรีวิวกันมา ขอย้ำว่า เราไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับร้านไหนทั้งนั้นนะ และร้านที่เราพาเพื่อนไปกิน อันไหนเราชอบเราก็จะบอกตรงๆ ว่าดี  อันไหนไม่ชอบเราก็จะบอกตรงๆ ว่าไม่อร่อย และรูปที่ถ่ายก็ถ่ายจากกล้องมือถือ ซึ่งไม่มีการตกแต่งภาพ เล็งแสงเงาใดๆ ทั้งสิ้น  โอเค. นะ  ตามมาเลย

          ปีนี้เพื่อน เรามีกำหนดการมานครพนมในวันที่ 18-20 ก.ค. 59 รวมระยะเวลา 3วัน 2คืน มีเพียง 2 สถานที่ ที่เพื่อนเราต้องการไปคือ พระธาตุพนม กับศาลหลักเมือง นอกเหนือจากนั้นจะไปไหนก็ได้ ไม่ไปก็ได้ เพราะปีที่แล้วไปมาหมดทุกที่แล้ว ดังนั้น ทริปนี้บอกเลยว่าเป็นทริป “กิน” เต็มๆ ซึ่งเราทั้ง 3 คน เรียกได้ว่าเป็นสายแข็งกันทั้งสิ้น

          วันแรกของทริป เพือนเรานั่ง AA จากดอนเมือง มาถึงสนามบินนครพนม เวลา 09.40น. จากสนามบินนครพนมขับรถเข้าเมืองอีก 13 กม. แน่นอนล่ะ เพื่อไม่ให้เสียเวลา ตรงดิ่งไปเปิดมื้อแรก Start up ริมน้ำโขงกันเลย มาถึงนครพนม ก็ต้องปลาแม่น้ำโขงสิ เรามาที่ริมแม่น้ำโขงบ้านอาจสามารถ เส้นทางเดียวกันกับเส้นที่จะตรงไปสะพานมิตรภาพ 3  ซึ่งหมู่บ้านนี้อยู่เลียบแม่น้ำโขง และมีร้านอาหารริมน้ำโขงเกือบสิบร้าน และเป็นร้านขายอาหารปลา ปลาจุ่มกันทั้งนั้น  สำหรับวันนี้เราเลือกร้าน “เป๋นปลาเป็น” ที่เลือกร้านนี้เพราะมีคนแนะนำมา  ก็เลยลองพร้อมกันกับเพื่อนซะเลย

ดูบรรยากาศริมแม่น้ำโขงสิ ว่าฟินแค่ไหน


อาหารมาแล้ว เมนูที่เราเลือกคือปลาจุ่ม กับไก่ทอดตะไคร้ ส้มตำไข่เค็ม เมนูที่ร้านแนะนำคือ เมี่ยงปลา 


ประเดิมค่าใช้จ่ายร้านแรก 750 บาท ความเห็นส่วนตัว  ร้านนี้ภาพรวมอร่อย เมี่ยงปลากับไก่ตะไคร้อร่อย ปลาจุ่มสดมากเพราะจับจากกระชังริมตลิ่งกันสดๆ และไม่เหม็นคาวดินด้วยเพราะกระชังอยู่ในแม่น้ำโขงที่น้ำไหลตลอดเวลา แต่น้ำจิ้มปลาจุ่มยังไม่จี๊ดเท่าไหร่ ส่วนสาคูแคนตาลูปอร่อยแต่น้ำกะทิเติมเกลือหนักมือไปนิด ภาพรวมถือว่าดีให้คะแนน 4 ดาว

          อิ่มจัดเต็มกันหมาดๆ ก็ถึงเวลาออกเดินทาง พอเลี้ยวออกจากร้านเพื่อนย้อนเข้าเมืองไปได้สัก 2 กม. ก็จะเจอร้านกาแฟไอดิน อยู่ฝั่งตรงข้ามกับปั๊ม ปตท.ที่มีร้านกาแฟอเมซอนเลย ร้านนี้เมื่อปีที่แล้วก็พาเพื่อนมาแวะ เพื่อนเราติดใจสมูทตี้ร้านนี้ เพราะจัดเต็มสตอเบอร์รี่มากๆ เข้มข้นสุดๆ เพื่อนมันบอกไว้ตั้งแต่ต้นปีแล้วว่า ต้องพามากินสมูทตี้ร้านนี้อีก ส่วนเราเป็นขาประจำร้านนี้อยู่แล้ว กินคาปูชิโน่หรือน้ำผึ้งมะนาวร้านนี้ประจำ


สมูทตี้สตอเบอร์รี่ 2แก้วๆละ 40บาท น้ำผึ้งมะนาว 1แก้วราคา 45บาท รวม 125บาท สำหรับร้านนี้ รสชาติถูกใจ ให้ดีมาก 5 ดาว

          ออกจากร้านการแฟไอดิน ก็ตรงดิ่งไป อ.ธาตุพนม เพื่อนมันสการพระธาตุพนมกันเลย วันนี้คนเยอะมากๆ เพราะมีการทำพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ แล้วนำไปประดิษฐานกระจายตามพระธาตุประจำวันเกิดทั้ง 7แห่งในพื้นที่จ.นครพนม หลังจากไหว้พระธาตุพนมเสร็จแล้ว ก็ขับรถชมวิวรอบๆตัวอำเภอสักเล็กน้อย เพื่อย่อยมื้อแรก แวะถ่ายภาพริมน้ำโขงบริเวณ อ.ธาตุพนม และตึกเก่าสวยๆ ที่ยังพอเหลืออยู่


          ขากลับนครพนม ไม่ลืมที่จะแวะซื้อกาละแมที่ร้าน พรประเสริฐ ของขึ้นชื่อของอำเภอนี้ ขอบอกเลยว่า กาละแมที่นี่อร่อยที่สุดในโลกหรือเปล่าไม่รู้ แต่ที่รู้คืออร่อยมาก ทั้งรสชาติที่หอมหวานพอดีๆ ห่อด้วยใบตอง รสสัมผัสที่นุ่มเหนียวละมุนลิ้นมากๆ คนที่ไม่ค่อยกินของหวาน ถ้าได้กินกาละแมของที่นี่แล้วยังเอ่ยปากชมว่าหอมอร่อยหวานมันเลยทีเดียว มี 2 ขนาดให้เลือก  ถุงเล็ก 50บาท ถุงใหญ่ 100 บาท เลยซื้อถุงใหญ่กันคนละ 1 ถุง รวม 3ถุง 300บาท (ไม่ได้ถ่ายไว้ เลยยืมรูปชาวบ้านมาจากอากู๋)


          ร้านนี้ถ้ามาจาก อ.เมือง จะอยู่ฝั่งขวามือ(ฝั่งเดียวกันกับพระธาตุพนม แต่ถึงก่อน) ตรงข้ามกับปั๊มน้ำมัน ปตท. เสียดายอย่างเดียวที่กาละแมมีอายุแค่ 5วัน เพราะไม่ใส่สารกันบูด และวันนี้เป็นวันแรกที่เพื่อนเรามา อีก 3วันถึงจะกลับ กลัวว่าถ้าซื้อไปเป็นของฝาก กว่าจะถึงมือคนกิน มันจะไม่อร่อยซะแล้ว ส่วนที่ อ.เมืองนครพนม แต่ก่อนก็มีหลายร้านที่เอากาละแมยี่ห้อพรประเสริฐไปขาย  แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีใครเอาไปขายแล้ว เพราะทางร้านพรประเสริฐกำลังการผลิตต่ำ ไม่มีลูกน้อง เจ้าของร้านก็มีอายุกันแล้ว ก็เลยมีกำลังทำขายได้แค่หน้าร้าน  สำหรับร้านนี้ ให้เลย 5 ดาว

          เสร็จจากไหว้พระธาตุพนมแล้ว เราถามเพื่อนว่าหิวหรือยัง ทุกคนยังส่ายหน้า เพราะถ้าหิว เราจะพาแวะไปกินข้าวปุ้นน้ำปลาร้า และข้าวปุ้นน้ำกะปิ ที่อ.เรณูนคร  ซึ่งห่างจาก อ.ธาตุพนม ประมาณ 20กม. แต่เมื่อทุกคนส่ายหน้า ก็เลยขอผ่านข้าวปุ้นเรณูไปก่อน  ไว้คราวหน้าถ้ามีอากาสค่อยว่ากันใหม่ พวกเราเลยมุ่งหน้ากลับเข้าเมืองนครพนม

          ระหว่างทาง แวะเก็บภาพวัดพระธาตุศรีโคตรบอง เมืองท่าแขก แขวงคำม่วน ประเทศลาว ซึ่งวัดอยู่ริมแม่น้ำโขง ตรงข้ามกับวัดหนองจันทร์ บ้านหนองจันทร์ อ.เมือง จ.นครพนม เราเดินไปจนสุดตลิ่งเพื่อเก็บรูปมาด้วยกล้องมือถือห่วยๆ


          พอถึง อ.เมืองนครพนม  พวกเราแวะกินของว่า ก่อนที่จะเข้าเช็คอินโรงแรม ที่ร้านบ้านพี่อุ๋ม ร้านนี้เป็นอาคารพาณิชย์ขนาด 1 คูหา ตกแต่งร้านสบายๆ น่านั่ง มีเครื่องปรับอากาศคลายร้อน ของกินในร้านก็จะเบาๆ เหมือนเป็นอาหารว่างสำหรับครอบครัวหรือเพื่อนๆ มานั่งเม้าท์มอยกัน จำพวก สลัดต่างๆ เช่น สลัดทูน่า สลัดหอยลาย สลัดผักผลไม้ แต่สิ่งที่แตกต่างจากร้านอื่นๆ คือ น้ำสลัดโฮมเมดที่เจ้าของร้านตีน้ำสลัดเอง มีอยู่ 3แบบให้เลือก คือ น้ำสลัดงาดำ น้ำสลัดงาขาว และน้ำสลัดเต้าหู้ น้ำสลัดที่เราเลือกกินบ่อยที่สุดคือน้ำสลัดเต้าหู้  ส่วนของว่างต่างๆ จะเป็นพวก บิ๊กโทสนั่นนี่ วาฟเฟิลนั่นนี่ เฟรนซ์โทสนั่นนี่ ช็อกโกแลตลาวา พวกเครื่องดื่มก็จะมี ชา กาแฟสด และที่เด็ดสุดในบรรดาเครื่องดื่มของร้านนี้คือสมูทตี้ ที่อัดผลไม้เต็ม รสชาติเข้มข้น ปั่นจนเนื้อสมูทตี้เนียนเหนียว รสสัมผัสดีมากๆ ซึ่งวันนี้เราสั่งสมูทตี้ 3แก้ว กับบิ๊กโทสมากิน รวมค่าใช้จ่าย 320บาท สำหรับร้านนี้ทั้งคุณภาพทั้งบรรยากาศ ให้เลย 5ดาว แบบไม่ลังเล


          หลังจากเช็คอินแล้ว พักผ่อนกันคนละงีบ ตกเย็น พวกเราไปตลาดโต้รุ่ง(โต้ถึง 3ทุ่มเองนะ) เราเจาะจงพาเพื่อนไปกินปากหม้อญวน (แบ๋งก๋วน) เจ้านึงในตลาดโต้รุ่ง จากสี่แยกไฟแดงร้านขายยาเดินตรงเข้าไป อยู่ช่วงกลางๆ ซ้ายมือ ร้านที่มักจะมีคนรุมเยอะๆ ยืนรอคิวซื้อปากหม้อกัน ร้านนั้นแหละ


          เราสั่งมา 3จาน 3แบบ เพราะมื้อนี้เป็นมื้อ 2 in1 คือกินปากหม้อเสร็จ จะไปกินอย่างอื่นต่อ เมนูที่เราสั่งมากินคือ ปากหม้อแบบออริจินอล 1จาน ปากหม้อใส่ไข่ 1จาน และข้าวเกรียบปากหม้อ 1จาน รวมเป็นเงิน 75บาท เท่านั้นเอง ถูกมากๆ แต่ก็ตัดกำลังไปครึ่งกระเพาะแล้ว ซึ่งจริงๆ แล้วที่นครพนมมีร้านขายปากหม้อญวน(แบ๋งก๋วน)แบบนี้เกือบๆ 10ร้านได้ และแต่ละร้านก็รสชาติใกล้เคียงกัน แต่โดยส่วนตัวแล้ว เราชอบร้านในโต้รุ่งเจ้านี้มากกว่าร้านอื่น สำหรับร้านนี้ให้คะแนน 5ดาว

          ยังไม่ทันจะย่อย เราก็ย้ายมาอีกร้านนึง ชื่อร้านโพธิ์ทอง อยู่ปลายถนนตลาดโต้รุ่งอีกฝั่งนึง ใกล้กับสี่แยกวิทยาลัยเทคนิคนครพนม ร้านนี้เปิดมาแล้วไม่ต่ำกว่า 30ปี และวันนี้เราตั้งใจมากินแจ่วฮ้อน ซึ่งแจ่วฮ้อนที่นี่เราว่าน้ำซุปเค้าอร่อยถูกปากเรามาก  น้ำจิ้มแจ่วฮ้อนก็มี 2แบบ คือน้ำจิ้มขม (เหยาะดีวัวผสมในน้ำจิ้มให้มีรสแอบขมนิดๆ) กับน้ำจิ้มหวาน เนื่องจาก 2ใน 3 คน ไม่กินเนื้อวัว เราจึงสั่งเป็นชุดแจ่วฮ้อนหมู และสั่งตับหวาน น้ำตกหมู ข้าวเหนียว มาร่วมด้วย เราจำไม่ได้ว่าแจ่วฮ้อนราคาชุดละเท่าไหร่ น่าจะ 220บาทมั้ง แต่สนนราคารวมตอนเช็คบิล ก็ 375บาทถ้วน  ถือว่าไม่แพง และอร่อยทั้ง 3เมนูที่สั่งมากิน ไม่ผิดหวังเลย เออ...สำหรับคนขี้ร้อน ร้านนี้มีแอร์ด้วยนะ สำหรับร้านนี้ให้เลย 4.5ดาว


จบทริปวันแรก เพื่อนเริ่มบ่นเหนื่อยกินแล้ว อ้าว...แต่นี่คือหลุดไป 2รายการจากแพลนนะเว้ยเฮ้ย
(เดี๋ยวกลับมาต่อนะ พอดีงานเข้า)


วันที่ 2 ของทริป
          มื้อเช้าจัดอาหารโรงแรมเบาๆ เป็นข้าวเปียกเส้น (ก๋วยจั๊บญวน) ของโรงแรม แต่กำชับเพื่อนไว้แล้วว่าอย่ากินเยอะ เพราะสายๆ เราจะไปรับ
ร้านแรกในวันนี้คือร้านบ้านเรือนรัก เป็นร้านขายอาหารเช้าเหมือนๆ กับร้านทั่วไปในจังหวัดนี้ เมนูก็ประเภท ไข่กระทะ ข้าวจี่ยัดไส้(ขนมปังฝรั่งเศสยัดไส้) แซนด์วิช โจ๊ก ข้าวต้ม ต้มเส้น และเครื่องดื่มชา กาแฟต่างๆ จริงๆแล้วร้านนี้เพิ่งเปิดมาได้แค่เดือนเดียวเองมั้ง เราเองก็ไม่เคยมากินก็เลยชวนเพื่อนมาลองของสักหน่อย  ร้านประเภทนี้มีอยู่หลายร้านเหมือนกัน รสชาติก็ไม่หนีกันสักเท่าไหร่ ตามแต่ใครจะสะดวกไปร้านไหน เช่น ร้านเรือนรับรอง(อยู่ใกล้ตลาดอินโดจีน) ร้านเลิศรส(อยู่ตลาด ป.เป็ดตรงข้ามโลตัส) ร้านมีชื่ออย่างพรเทพ(ตรงข้ามโรงแรมศรีเทพ) ก็แล้วแต่ใครจะชอบ

          พูดถึงร้านบ้านเรือนรักนี่ดีกว่า ร้านนี้เพิ่งเปิดกิจการ ลักษณะร้านเป็นบ้านไม้โบราณยกใต้ถุนสูง จัดสวนและโต๊ะเก้าอี้ทั้งบนบ้านและบริเวณสวน  ก็เลือกที่นั่งกันตามสบาย เนื่องจากกินต้มเส้นที่โรงแรมจัดให้มาแล้ว เมนูที่เลือกกินที่ร้านนี้คือ ไข่กระทะ กับข้าวจี่ยัดไส้ เช็คบิล 110บาท รสชาติอาหารก็ทั่วไปตามท้องเรื่องเหมือนร้านอื่นๆ แต่บรรยากาศดีเพราะร้านนี้อยู่ติดถนนเลียบริมแม่น้ำโขง ใครที่ชอบบรรยากาศก็ฟินกันไป สำหรับร้านนี้จะมาอีกก็ได้ ไม่มาอีกก็ได้เพราะร้านประเภทนี้ ไม่มีร้านไหนอร่อยโดดเด่นกว่าร้านไหน  เราให้ 3.5ดาว


          สำหรับไฮไลท์ของวันที่สองนี้ เราจะข้ามไปฝั่งท่าแขก ประเทศลาว ไปทำไมน่ะเหรอ? ไปเที่ยวถ้ำ...เปล่า ไปเที่ยวภูเขา...เปล่า ไปไหว้พระธาตุศรีโคตรบองใช่ม๊า เพราะวันนี้วันอาสาฬหบูชา...เปล่า แล้วไปทำไม..ไปกินสิ! สายแข็งมา ก็ต้องหาอะไรที่มันหลากหลายหน่อย อิอิ  เรากำลังจะข้ามไปกินอาหารญี่ปุ่น ฟังไม่ผิดหรอก เราจะข้ามไปกินอาหารญี่ปุ่นที่ประเทศลาว เมืองท่าแขก  แล้วที่นครพนมไม่มีร้านอาหารญี่ปุ่นเหรอ? บอกเลยว่าไม่มี เห็นมีแต่ซูชิ 5บาท ตามตลาดนัด 555
          
          เริ่มจากทำเรื่องขอใบผ่านแดนชั่วคราวที่ ตม.นครพนม เลยลองถามเจ้าหน้าที่ ตม.ดูว่า รู้จักร้านอาหารญี่ปุ่นที่ฝั่งโน้นมั้ย เพราะจนท.ข้ามไปก็บ่อยอยู่  คำตอบที่ได้คือ ไม่รู้จัก ไม่เคยรู้ด้วยว่ามีร้านอาหารญี่ปุ่นที่ท่าแขก แต่...แต่เจ้าหน้าที่ท่านนี้ใจดีเว่อร์  ช่วยเราถามหาร้านอาหารญี่ปุ่นที่ฝั่งลาว ด้วยการโทรหาเจ้าหน้าที่ที่รู้จักกันฝั่งโน้น  ว่ามีร้านอาหารญี่ปุ่นที่ฝั่งโน้นมั้ย ซึ่งต้องใช้เวลาเกือบ 10นาที โทรไป 4-5หมายเลข กว่าจะรู้ข้อมูลว่ามีร้านอาหารญี่ปุ่นนี้อยู่จริง ความพิเศษของร้านนี้อยู่ที่ เจ้าของร้านเป็นชาวญี่ปุ่นจริงๆ แต่เลือกมาใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองท่าแขก แขวงคำม่วน ประเทศลาว และเปิดร้านอาหารญี่ปุ่นที่บ้านของตัวเอง พี่เจ้าหน้าที่ ตม.สอบถามได้ความว่า ร้านนี้ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านจอมทอง ทางไปวัดจอมทอง เราต้องขอขอบพระคุณพี่เจ้าหน้าที่ตม.ท่านนี้เป็นอย่างสูง(มาก) ที่ช่วยเราค้นหาร้านอาหารญี่ปุ่นจนเจอ ว่าอยู่พิกัดไหน ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ธุระอะไรของพี่เค้าเลย

          รวบรัดตัดตอน เราข้ามแม่น้ำโขงมาขึ้นฝั่งท่าแขก แล้วต่อรถสกายแล็ป(สามล้อเครื่อง) 3คน 150บาท ไปประมาณไม่ถึง 10นาที ก็มาถึงหน้าร้าน มองดูป้าย เออ ใฃ่เลย ร้านนี้แหละ เจ้าของเดินออกมารับถึงหน้าบ้าน  เมนูวันนี้ที่เราสั่งคือ พิซซ่าญี่ปุ่น ทาโกะยากิ เทมากิซูชิ เกี๊ยวซ่าญี่ปุ่น แล้วก็ไข่ออนเซ็น รสชาติดี จัดแต่งจานสวยงามสไตล์ญี่ปุ่น มีประดับตกแต่งด้วยใบไม้ดอกไม้ที่ปลูกในสวนข้างบ้านอย่างสวยงาม แต่ด้วยกล้องมือถือห่วยๆ และเรารีบกลัวกินไม่ทัน เลยถ่ายไม่สวย บรรยากาศในร้านแกก็ทำเป็นธารน้ำ เลี้ยงปลา ชิลสุด และใช้เวลานานในการประกอบอาหารนานที่สุดในบรรดาทุกร้านในทริปนี้  เพราะตั้งแต่จานแรกที่ออกมาจนถึงจานสุดท้าย ใช้เวลาร่วม 3ชั่วโมง ทั้งๆที่มีเราเป็นลูกค้าเพียงแค่โต๊ะเดียว เบ็ดเสร็จค่าใช้จ่ายในมื้อนี้ 185,000กีบ หรือประมาณ 800บาท ถ้าใครจะมาร้านนี้บอกก่อนว่าต้องใจเย็นเป็นน้ำแข็ง  สำหรับร้านนี้เราให้ 4ดาว


          ขากลับ เราแวะหลบแดดร้อนมากินกาแฟสดที่ โรงแรมอินทิรา โรงแรมสวยหน้าลานน้ำพุ เราสั่งคาปูชิโน่ กาแฟจืดจางมากมาย ผ่านๆไป รีบดูดจะได้หมดๆ ให้ 2ดาว จากโรงแรม เราใช้วิธีเดินกลับมาที่ท่าเรือเพื่อข้ามฝั่งกลับนครพนม ระหว่างทางเห็นร้านกาแฟที่หน้าตาดูดีกว่า รร.อินทิรา เดี๋ยวไว้โอกาสหน้าจะแวะเข้าไปลอง


          กลับมาถึงฝั่งไทย ด้วยความเหนื่อยล้าจากพลังแสงอาทิตย์อันเจิดจ้า ยังๆๆ ยังไม่กลับไปพักโรงแรม มาถึงนครพนมนมแล้ว ยังไม่ผ่านส้มตำปลาเผาสักมื้อเลย  จากท่าเทียบเรือ เราตรงไปยังร้านส้มตำ ชื่อร้านส้มตำบองเต ไปยังไงอธิบายไม่ถูก ใครอยากลองก็ search อากู๋เอาละกันนะ จัดมื้อหนักซ้อนมื้อหนักไปเลย ด้วยส้มตำไข่เค็ม ตำข้าวโพด แหนมซี่โครงหมู่ย่าง ไส้กรอกอิสาน ข้าวเหนียว ปลาเผาหมดเลยอดเลย รวมค่าอาหารมื้อนี้ 280บาท ให้ 4.5ดาว


          ด้วยความร้อนระอุของสภาพอากาศและการเดินทางข้ามประเทศ รวมถึงท้องอิ่มซ้ำซ้อน หนังตาทุกคนจึงตก ก็เลยกลับโรงแรมไปงีบเบาๆ ตกเย็นยังมีอีก 2 รายการใหญ่รออยู่

          หลังจากต่างคนต่างหลับ เจอกันอีกครั้งก็ทุ่มนึงพอดี ทีแรกเราว่าจะพาเพื่อนไปกินสเต็ก ในร้านสเต็กบรรยากาศดี มีธารน้ำตกและบ่อเลี้ยงปลาคร๊าฟ แต่พอไปถึงร้านดันปิด เนื่องจากว่าวันนี้ตรงกับวันพระพอดี ซึ่งนครพนม ในทุกวันพระจะเป็นวันงดฆ่าสัตว์ ดังนั้นโรงฆ่าสัตว์จึงปิด ส่งผลให้ร้านสเต็กไม่มีเนื้อสดขาย เลยต้องหยุดตามไปด้วย แต่เรามีร้านสำรอง ซึ่งเมื่อปีที่แล้วเคยมาแล้ว แต่ไม่เป็นไร มาอีกก็ได้  เราเลือกมาทานมื้อค่ำที่ร้านนวลอนงค์ ซึ่งอยู่ชานเมือง ใกล้ๆ กับบ้านเอื้ออาทรนครพนม ร้านนี้เมนูเด่นคือลาบไก่งวง หมกพื้นท้องปลา แกงอ่อมต่างๆ แต่วันนี้เราเลือก ต้มส้มปลาโจก แหนมซี่โครงหมูย่าง และหมกพื้นท้องปลา Recommended เลยนะ ถ้าใครมากินร้านนี้ ขอแนะนำให้สั่งหมกพื้นท้องปลา เค้าจะเลือกพุงปลามาปรุงอาหารตามสูตรของร้าน แต่ลักษณะของเครื่องผัดและส่วนผสมมันไม่ได้ใช้พริกแกงแบบห่อหมก แต่ทำไมเรียกว่าห่อหมกก็ไม่รู้ ไม่ว่าเพื่อนกลุ่มไหนมาเที่ยวนครพนม หากมาร้านนี้ ได้ลองกินหมกพื้นท้องปลา ชอบกันทุกคน แต่...ร้านนี้มีรูปเดียวนะ อิอิ กลัวกินไม่ทัน ร้านนี้เราให้ 4.5ดาว


          พออื่มท้อง จากสายแดร๊ก ก็กลายร่างเป็นสายบุญ ก็วันนี้ตรงกับวันอาสาฬหบูชาพอดี ก็เลยชวนกันไปเวียนเทียนเอาบุญเสียหน่อย วันนี้เราพาเพื่อนมาเวียนเทียนที่วัดกลาง เป็นวัดที่อยู่ในตัวเมือง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง ทั้งอากาศ ทั้งบรรยากาศดี๊ดี เวียนเทียนเสร็จอิ่มบุญ หาอะไรกินต่อล่ะทีนี้


          เพื่อนเราถามหาร้านน้ำแข็งไสสไตล์เกาหลี (ก็ปิงซูนั่นแหละ) ที่นครพนมก็มีนะ ที่เรารู้มีอยู่ 2 ร้าน คือร้านนมชมพู กับร้าน น.นม เราเลือกมาที่ร้าน น.นม เพราะใกล้โรงแรมกว่า นี่ขนาดว่าเพิ่งจะอิ่มท้องจากมื้อเย็นนะ จัดเต็มกับบิงซูแคนตาลูป (ตอนแรกสั่งเมล่อน แต่เมล่อนหมด) ขนมปังนึ่งสังขยา และสมูทตี้ 2แก้ว นมเย็นเพิ่มวิปปิ้ง 1แก้ว ตัวบิงซูรสชาติใช้ได้ ไม่หวานมาก แต่ที่อยากให้ปรับปรุงคือความนุ่มของตัวน้ำแข็งใส ควรจะนุ่มเนียนกว่านี้ อันนี้รสสัมผัสยังรู้สึกว่ามันน่าจะนุ่มละเอียดได้มากกว่านี้ แต่ถ้าร้านนมชมพู ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นยังไง ไว้ว่างๆ จะไปลองละกันนะ  ส่วนสมูทตี้ก็อร่อยตามท้องเรื่อง แต่ให้ร้านกาแฟไอดิน กับร้านบ้านพี่อุ๋มอร่อยกว่า สำหรับร้านนี้ภาพรวมเราให้ 4ดาว


          จบภารกิจวันที่สอง แยกย้ายกลับโรงแรม


วันสุดท้าย วันที่ 3 
          เนื่องจากว่าสองวันแรกจะเต็มที่กับการกินไปหน่อย ประกอบกับเมื่อคืนต่างคนต่างนอนดึกเพราะคนนึงนั่งสรุปค่าใช้จ่าย อีกคนนอนดูซีรี่ส์เกาหลีจนเกือบเช้า ภารกิจสายแดร๊กจึงสตาร์ทช้า เริ่ม 10.00น. มื้อแรกวันนี้คือกินเฝอ ขออธิบายสั้นๆ ว่าเฝอ ก็คือก๋วยเตี๋ยว
          สั้นไปเนอะ เฝอ ถ้าออกเสียงตามเจ้าของภาษาคือภาษาเวียดนาม จะออกเสียงว่า “เฝ่อ” แต่คนไทยออกเสียงว่าเฝออย่างที่เราๆเรียกกัน เฝอก็คือก๋วยเตี๋ยวสไตล์เวียดนาม (ขอเลี่ยงไม่ใช้คำว่าก๋วยเตี๋ยวสูตรเวียดนามนะ เพราะมันไม่มีสูตรตายตัว สูตรของใครของมัน) หลายๆคนมันจะเข้าใจว่าเฝอคือก๋วยเตี๋ยวเวียดนามที่มีเส้นเฉพาะคือเส้นเฝอ ความจริงไม่ใช่ มันก็คือก๋วยเตี๋ยวนั่นแหละ แต่แล้วแต่ใครจะสั่งว่าจะกินเส้นอะไร ก็มีเส้นเล็ก เส้นใหญ่ บะหมี่ เส้นหมี่ เหมือนก๋วยเตี๋ยวทั่วไปนั่นล่ะ แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือเครื่องเคียงที่เค้ากินแกล้มกับเฝอ ซึ่งประกอบด้วย กะปิ พริกสดสีเขียวย่างไฟ ซอสพริก ผักสด เช่น ถั่วงอก ผักกาดหอม โหรพา เป็นต้น ร้านขายเฝอที่นี่ ถ้านับดีๆ น่าจะเกิน 10 ร้าน แต่วันนี้เราเลือกมากินที่ร้านแต๋วก๋วยเตี๋ยว อยู่บนถนนศรีเทพ หลังวัดโอกาส (หลังตลาดอินโดจีน) ที่เราเลือกมาร้านนี้เพราะใกล้โรงแรม และเราคิดว่าร้านนี้ติด Top5 เรื่องของรสชาติ น้ำซุปเค้าเคี่ยวจากกระดูกหมู กระดูกวัวจริงๆ ไม่ได้ต้มซุปจากเครื่องปรุงสำเร็จรูปที่เป็นพวกผงๆก้อนๆ จึงทำให้น้ำซุปหอมและหวานน้ำต้มกระดูกธรรมชาติ หน้าตาก็ตามภาพนี่แหละ สำหรับราคาก๋วยเตี๋ยวเนื้อชามละ 50บาท ก๋วยเตี๋ยวหมูชามละ 40บาท สำหรับร้านนี้เราให้ 4.5 ดาว

          ระหว่างรอแม่ค้าทำเฝอ เราก็เดินข้ามไปฝั่งตรงข้ามชื่อร้านอิ่มพุง สั่งปาเตมากินรอไปพลางๆ ปาเตคืออะไร? คนที่นี่และคนลาวเรียกสั้นๆ ง่ายๆ เข้าใจตรงกันว่าข้าวจี่ ปาเตคืออาหารชนิดหนึ่ง จะจัดเป็นอาหารว่างหรืออาหารหลักก็ได้ โดยการนำขนมปังฝรั่งเศส(ข้าวจี่) มาปิ้งหรืออบให้ผิวข้างนอกกรอบๆ ผ่าครึ่งตามยาว แล้วยัดไส้ด้วยตับบด แตงกวาหั่นเส้น แครอทหั่นเส้น หมูยอหั่นเส้น โรยด้วยผักชี(แฮฟเว่น) ทานได้เลย อร่อยเลยล่ะ ขายอันละ 30บาท กินคนเดียวหมดคือจุก เห็นที่ กทม.ก็มีขายนะ ออกทีวีด้วย อันนึงเกือบร้อย ถ้าใครมาก็ขอแนะนำให้ลองกินดู


          กินเสร็จก็พาเพื่อนไปไหว้ศาลหลักเมือง ถ่ายรูปนิดหน่อย (ซึ่งทริปเมื่อปีที่แล้วก็มาแล้วแต่อยากมาอีก) ไปสะพานมิตรภาพแห่งที่ 3 เอาวิวนิดหน่อย (ก็เคยมาแล้วเมื่อปีก่อน)


          ขากลับเข้าตัวเมือง แวะร้านกาแฟไอดินอีกครั้งตามคำเรียกร้อง เพื่อนเราก็จัดสมูทตี้อีกครั้งไปสิ ส่วนเราก็น้ำผึ้งมะนาว เปรี้ยวๆหวานๆ หอมๆ กินแก้ร้อนสดชื่นสุดๆ ฟินมากๆกับเมนูน้ำเมนูนี้อยากให้ลอง
          ทีนี้ก็ไปกันต่อที่ของฝาก แหงล่ะ หมูยอ หมูยอหนัง หมูยอแผ่น กาละแม ก็แวะอยู่ 2-3 ร้าน เรื่องหมูยอเราไม่แนะนำเจาะจงว่าร้านไหนนะ แต่เราใช้วิธีคือ วันแรกที่เพื่อนมาถึง ก็ซื้อชิมร้านละอัน ก็จำเอาไว้ว่าชอบของร้านไหน พอวันกลับ ก็พาไปซื้อร้านที่เลือกไว้ เพราะเราไม่อยากตัดสินว่าร้านไหนอร่อยกว่าร้านไหน เพราะคนเราชอบรสชาติที่ต่างกัน ซึ่งถ้าใครมานครพนม อยากจะซื้อหมูยอที่ถูกใจ ก็ใช้วิธีของเราได้นะเออ
วันที่เพื่อนจะเดินทางกลับ จขกท.ถูกโทรตาม มีงานแทรกแทบจะตลอดเว เลยทำให้ทริปวันสุดท้ายกระท่อนกระแท่นไปหน่อย แถมมีอุบัติเหตุขับรถเหม่อลอยไปชนมอเตอร์ไซค์เบาๆ จ่ายค่าตกใจไป 500บาท ดีที่คู่กรณีไม่เป็นอะไร 

          ตัดกลับมาเรื่องกินกันต่อ หลังจากเคลียร์งานแล้ว ก็บ่ายโมงนิดๆ มาถึงนครพนมแล้วอะไรที่ยังไม่กินล่ะ ก็...อาหารเวียดนามไง อิอิ เมื่อปีกลายเลือกร้านที่คนกินเยอะๆ (ไม่บอกชื่อ) แต่ไม่ค่อยเป๊กเท่าไหร่ มาปีนี้เราเลือกร้านสวีทโฮม เพราะรู้สึกว่าถูกปากเรากว่าร้านอื่นๆ ถึงจะเป็นร้านเล็กๆ เล็กมากจนบางทีขับรถเลยร้าน 555 แต่ร้านนี้ก็เป็นร้านเก่าแก่ อยู่มานาน สั่งเลยเส่ะ รออะไร แหนมเนือง เปาะเปี๊ยะทอด(เมี่ยงทอด) เปาะเปี๊ยะสด(เมี่ยงดิบ) บั่นหอย รวม 4 รายการ นอกจากนี้ยังมีขนมจีนสไตล์เวียดนาม(บุ๋นบี่)ด้วยนะ แต่เราไม่สั่งกลัวกินไม่หมด อาหารมาเสริฟ ก็รูปร่างหน้าตามตามนี้แหละ ฟินกันไปเบาๆ แค่ 300บาท ร้านนี้ให้ 4.5ดาว


          ใกล้เวลาเดินทางกลับแล้ว เหลืออีก 2 ชม. น่าเสียดาย ที่มีอีกหลายรายการที่ต้องข้ามไป ไว้คราวหน้าละกัน เวลาที่เหลือเราพาเพื่อนไปเก็บรูปที่บริเวณริมแม่น้ำโขง ถนนเลียบเขื่อน แวะดูอนุสรณ์สถานโฮจิมิน ที่บ้านนาจอก ซึ่งเพิ่งเปิดอย่างเป็นทางการได้ไม่กี่เดือน ข้างในก็ยังไม่มีอะไรมาก อาคารบางหลังก็เป็นอาคารเปล่าๆ อยู่ ซึ่งอนาคตจะใส่อะไรเข้าไปก็ไม่รู้ แต่ก็ดูสวยงามตามท้องเรื่องเหมือนในรูปนี่แหละ ซึ่งเราขอไม่อธิบายอะไรเวิ่นเว้อนะ เพราะทริปนี้ทริปกิน กระทู้อื่นๆ ให้ข้อมูลและรายละเอียดสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ไว้เยอะแล้ว


          ได้เวลาเดินทางกลับ เครื่องออก 16.30น.โดยประมาณ แล้วพบกันใหม่วันออกพรรษา ในงานประเพณีไหลเรือไฟ จ.นครพนม ในวันที่ 16 ตุลาคม 2559 นี้ (เครดิตใต้ภาพนะแจ๊ะ) บาย


ที่มา Pantip
Cr. สมาชิกหมายเลข 3321984