จขกท.มีโอกาส ไปบ้านแม่กลางหลวง ขาไปขับรถจากแยกจอมทองเข้าทางแยกดอยอินทนนท์
เจอโรงแรมเล็กๆเปิดใหม่ มีกาแฟขายเลยแวะชิมค่ะ


เนื่องจาก ถ่ายด้วยมือถือบางภาพก็จะมีแสงฟุ้งๆนิดๆแต่ชอบ 
โรงแรมนี้เป็นโรงแรมเล็กๆคงเป็นธุรกิจในครอบครัว โซนด้านหน้าทำเป็นร้านกาแฟและอาหารจานเดียวง่ายๆ
มีร้านค้าแฮนด์เมดเล็กๆที่เจ้าของร้านคงทำเอง แต่น่ารักมากอ่ะ


ป้ายน่ารักดี


ทางเดินเข้า


ร้านกาแฟ 


ชิมกาแฟก่อนนะคะ ส่วนตัวกาแฟไหม้ไปค่ะ อาจใช้น้ำร้อนเกินไป ครีม่าจางเร็วมาก 
ไม่ได้ชิมแบบเย็นค่ะเพราะมาแป๊ปเดียว


เลือกนั่งมุมที่เห็นร้านกาแฟค่ะ ที่นี่แบ่งเป็นบล๊อคเล็กๆ เพราะในส่วนร้านกาแฟ คงจุคนได้ไม่เยอะ 
อาหารก็ไม่ได้ชิมเพราะแวะครู่เดียวต้องไป บ้านแม่กลางหลวงต่อ


ส่วนที่น่ารักมากคือสนามเด็กเล่น เข้าตกแต่งกันกับ โซนด้านหน้านี้หมด ชอบ


ห้องกระจก ที่อยู่หลังม้า คือครัวค่ะ 


คงต้องลา พิงภูเขาด้วยถาพนี้ ไม่ได้ถามราคาห้องมา ถ้ามีโอกาสกลับมาอีกครั้งอาจจะลองชิมอาหารดู


ขับรถต่ออีกแป๊ปๆ  ก็ถึงแม่กลางหลวงแล้ว  
ต้นข้าวยังอ่อนอยู่ค่ะสูงแค่นี้เอง วันที่ไปอากาศยังไม่ค่อยเย็นแต่ครื้มฝนตลอด


นักท่องเที่ยวไปค่อยเยอะค่ะ เห็นแค่ สองสามคู่ เป็นต่างชาติ และคนจีน เห็นมีคนไทยอยู่กรุ๊ปนึง


เอาไว้ ต้นหนาวกลับมาคงเห็นเป็นสีทองซักครั้งมา สองครั้งเจอตอนโตแต่ยังไม่แก่ กะต้นเล็กๆ
อัพเดต เผื่อมีใครจะมาช่วงนี้ค่ะ


ที่มา Pantip
Cr. รักทะเล
สวัสดีคะ กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของเราเลยคะ เราอยากมาเล่าเรื่องราวการเดินทางเที่ยววังน้ำเขียวของเรากับแฟนคะ เราวางแผนการเที่ยวทริกนี้ก็ประมาณ 2 สป.คะ ตอนแรกเราตั้งใจจะไปเที่ยวจันทบุรีกันคะ ตามรีวิวของท่านหนึ่งในพันทิปนี่แหละคะ แต่พอดีที่พักเต้มหมดเลย เราสองคนเลยเปลี่ยนแผนคะ แฟนเราเขาเสนออยากไปเที่ยววังน้ำเขียวคะ พวกเราก็เลยหาข้อมูลดูคะ เราขอแทนแฟนเราว่าดีนะคะ ดีเขาก็ส่งรูปหาที่พักมาคะ เป็นบ้นาพักสวนลุงไกรคะ เราเลยตกลงพักกันที่นี่คะ เราจองไว้ 1 คืนคะ แต่เราเดินทางล่วงหน้า 1 วันคะ กะว่าจะไปหาเอาข้างหน้าเอาคืนแรก 555 เราออกเดินทางวันที่ 16 ก.ค. 59 คะ แฟนเราขับรถมารับเราที่บ้านถึงบ้านเราก็ประมาณเกือบๆ 4 โมงเย็นคะ พอดีว่าเรากับแฟนอยู่คนละจังหวัดกันคะ แล้วเราก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปวังน้ำเขียวกันคะ เราเดินทางเส้นสระบุรี-นครราชศรีมาคะ แม่เราบอกว่าเส้นนี้จะใกล้กว่าเส้นปราจีนคะ เราก็ขับรถกันไปเรื่อยๆคะ วันนี้รถไม่ค่อยติดเท่าไหร่คะ วิ่งได้เรื่อยๆ พอเราออกจากทางด่วน เราก็แวะซื้อเสบียงกันเลยทันทีคะ 555 มีความหิวมากกกกก ซื้อใน 7-11 เสร็จ พอเราออกมาจากปั๊ม เราก็เจอแม็คคะ ดีจะชอบกินเบอร์เกอร์มากกกกกก เราเลยแวะอีกคะ 5555 หลังจากนั้นก็ขับรถยาวๆเลยคะ เราก็นั่งคุยกันมาตลอดทาง ระหว่างขับรถเรา 2 คนก็มองเห็นรถบิ๊กไบท์คะ เดีเขาก็เริ่มคุยว่าอยากมาออกทริปแบบนี้ เราก็ว่าดีนะ คุยกันไปเรื่อยคะ มองป้ายอีกที เฮ้ย เราเลยคะ ป้ายไปนครราชศร๊มา 555 เราสองคนมองหน้ากัน เอาไงดีๆ ตอนแรกจะยูเทรินรถกลับคะ แต่เราก็นึกได้ว่าแม่เราบอกมาถ้าเจอป้ายแรกยังไม่ต้องไปมันอ้อม เราเลยตัดสินใจคะ ไม่ยูเทริน ให้ดีขับต่อไป แล้วเราสองคนก็เห็นป้ายที่สองคะ แต่คราวนี้เราไม่สมร.เลยได้นะคะ เพราะทางมันบังคับให้ไปคะ 5555 เราก็ขับต่อไปเรื่อยๆคะ รถเริ่มติด ฟ้าเริ่มมืดลงคะ เราเข้านครราชศรีมาตอนประมาณเกือบๆทุ่มคะ เราสองคนก็เปิดจีพีเอสคะ ขับไปๆ ดีก็เริ่มบอกให้มองหาที่พักคะ เขาเริ่มเหนื่อยแล้ว เราก็พากันมองหาคะ มีแวะขับเข้าไปดูอยู่ที่หนึ่ง ป้ายบอกเข้าไป 700 ม. ขับเข้าไปเห็นแล้วแบบเอิ่มมมมม ไม่ไหวคะ น่ากลัวสุดๆ เราเลยขับกันไปต่ออีจีก็บอกให้เราเลี้ยวคะ แต่เราก็เลี้ยวไม่ทัน เราเลยไปยูเทริน แล้วเลี้ยวตามที่อีจีบอกคะ เราขับเข้าสู่ถนนทางหลวงชนบทหมายเลย 3060 คะ พอขับเข้ามาเท่านั้นแหละ เอิ่ม...ชนบทจริงๆคะ ไปทางไม่มี รถวิ่งน้อยมากคะ 5555 ขับไปก็มองหาที่พักไปคะ มีป้ายที่พักเยอะมากคะ แต่ แต่เราไม่ยักกะเห็นที่พักคะ แต่ละป้ายบอกให้เลี้ยวนู้นนี่นั้น ขับเข้าไป 1 กิโลบ้าง 2 กิโลบ้างคะ แต่เราสองคนไม่ไปหรอกนะคะ มันน่ากลัวคะ แต่ละทางเลี้ยว เป็นทางเข้าเล็กๆแบบทางลูกลังคะ เราก็ขับไปคะ คราวนี้แวะปั๊มคะ กะว่าจะถามพนักงาน 7-11 พอเราถามเขาก็ตอบมาคะ เราสองคนก็มองหาคะ แล้วเราก็เจอทางเกือบเป็นทางแยกคะ เป็นทางโค้งใหญ่ๆแล้วก็มีทางให้ตรงไป แล้วอีจีก็เงียบคะ ไม่บอกทาง เราจอดรถกันคะ เพื่อดูทาง ดีก็เริ่มบอกให้เราล็อกรถคะ เพราะตอนนั้นก็ค่อนข้างเปลี่ยวและมืดมากคะ สุดท้ายเราเลือกที่จะเลี้ยวคะ เราก็ขับไป ดีก็บอกว่าจะพักตรงนี้ ชื่ออะไรสักอย่าง ดีอ่านป้ายเจอ แต่เลยมาหน่อย ดีเลยเลี้ยวรถกลับคะ พอเลี้ยวกลับดีก็มองหาทางเลี้ยวเข้าตามป้าย แต่ แต่เราสองคนไม่เจอทางเลี้ยวคะ เราเลยจะเลี้ยวกลับทางเดิม ตอนที่ดีจะเลี้ยวกลับตรงนั้นเป็นบ้านร้างคะ โคตรน่ากลัวคะ แต่เราก็ไม่ได้พูดอะไร ดีก็เลี้ยวรถขับไปต่อแบบเงี่ยบๆ เราสองคนตัดสินใจขับรถไปเรื่อยๆคะ มองหาที่พักข้างทาง แต่แทบไม่มีเลยคะ แล้วกว่าจะถึงวังน้ำเขียวก็อีกหลายสิบโลคะ มีครั้งหนึ่งที่ดีเลือกที่พักแล้วขับรถเข้าซอยไปก็หาที่พักไม่เจอ ได้ขับออกมาบ้าง รึพอเจอขับเข้าไปก็ที่พักปิดแล้วบ้าง เราขอสารภาพเลยว่าเราเริ่มกลัวแหละ แต่ก็ได้แค่เงียบแล้วนั่งคุยเป็นเพื่อนดีเขาต่อไปคะ คราวนี้ดีเข้าเจอป้ายบ้านพักไร่ทอแสงคะ ป้ายบอก1.4โลคะ เราสองคนก็ขับเข้าไป ดีขับไป เราเสริตหาข้อมูลของที่พักคะ อีจีก็บอกทางไปคะ พอถึงหน้าที่พักประตู้ปิดคะ แล้วข้างทางที่เราเข้ามามีแต่ป่าอ้อยเต็มไปหมด จะเลี้ยวออกก็ไม่ได้คะ ถอยได้อย่างเดียว เรานี่รีบกดโทรหาเจ้าของที่พักบ้านไร่ทอแสงเลยคะ เราก็คุยกับพี่เขา สรุปว่าที่พักนี่เป็นที่พักส่วนบุคคลคะ วันนี้ปิดเพราะพี่เขาไม่อยู่ เรานี่ใจตกไปอยู่ตาตุ่มแล้วคะ เราก็เลยพยายามคุยกับพี่เขาคะ พี่เขาก็ใจดีคะ โทรไปบอกลูกน้องให้มาเปิดประตู้ให้เรา พวกเราสองคนรอคะ รอได้อย่างเดียว มองไปรอบข้างก็โคตรกลัวเลยคะ รอสักพักเห็นยังไม่มาเราเลยโทรไปหาพี่เขาอีกรอบ พี่เขาใจดีมากเลยคะ เขาเปิดบ้านให้เราพักคะ เขาก็คุยว่าปกติที่นี่จะเปิดให้พักเป็นช่วงๆคะ ที่จริงวันนี้ที่นี่ไม่มีแขกคะ เพราะพี่เขาไม่อยู่ เขาเห็นว่ามันดึกมากแล้ว แล้วพวกเราก็เป็นคนต่างถิ่น พี่เขาไม่อยากให้เดินทางต่อคะ เราเลยคุยเรื่องราคาคะ พี่เขาก็บอกว่าเขาไม่รู้จะคิดเท่าไหร่ เพราะปกติคิดเป็นหลังต้องมากัน 10 คนขึ้นไปคะ พี่เขาก็เสนอราคามา 1500 บ.คะ แต่ก็นะเราก็อึกๆอักเล็กน้อยคะ พี่เขาก็พูดว่าแบบคุยกันได้ครับ งั้น 1000 บ. โอเคไหม เราเลยถามดีคะ ดีก็โอเค พอดีกับจังหวะที่มีคนมาเปิดประตู้ให้คะ เราก็ยังคุยกับพี่เข้าต่อ พี่เขาก็บอกว่าพี่เขาจะให้คนทำข้าวต้มมาให้ตอนเช้า บ้านพักจะมี 4 ห้อง ให้เราเลือกพักได้เลย บอกเลยว่าเรารู้สึกเกรงใจพี่เขามาก เขาเป็นห่วงพวกเรา เขาก็บอกว่าเราต้องได้อะไรบ้าง แล้วก็บอกเราวาถ้าขาดเหลืออะไรให้บอกลูกน้องพี่เขา รึโทรมาบอกเข้าก็ได้ โห....ตอนนั้นเราสองคนนี่แบบตื่นตันมากคะ เหมือนพี่เขาเป็นเทวดามาโปรด 555 ต้องขอบคุณพี่เขาจริงๆ ยิ่งพอเราเห็นที่พัก เราสองคนนี่แบบ ตาโตมากกกกกกกหลังจากนั้นเราก็เข้าบ้านพักคะ ก็มีพี่ผช.มาเปิดประตู้ให้คะ แล้วก็บอกพวกเราว่ามีอะไรเรียกพี่เขาได้คะ เราเห็นแล้วแบบรู้สึกดีใจที่ไม่ต้องเดินทางต่อ แล้วก็รู้สึกโชคดีที่พี่เขายอมเปิดบ้านให้เราพักกันคะ ดีนี่รีบเก็บภาพในบ้านใหญ่เลยคะ สำหรับเรื่องราววันแรกก็จบลงเท่านี้คะ เดี๋ยวของวันพรุ้งนี้จะมาต่อนะคะ

มาต่อคะ หลังจากวันแรกจบลง ตอนเช้าพวกเราก็ตื่นตัวเดินทางต่อคะ ดีก็ออกไปถ่ายรูปบรรยากาศด้านนอกคะ ส่วนเราก็แต่งตัววนไป 555 ออกมาจากห้อง ดีก็นั่งรอกินข้าว เราสองคนไม่รู้ว่าพี่เข้าเอาข้าวต้มมาให้ตอนไหน 55555 แต่ข้าวต้มอร่อยมากเลยคะ กินข้าวเสร็จก็ไปถ่ายรูปกันคะ 
นี่เป็นด้านหน้าของบ้านคะ 

นี่เป็นเจ้าสามทหารเสือที่เฝ้าหน้าบ้านของเราคะ 5555 มันวิ่งมารับเราตั้งแต่เมื่อคืนแหละคะ ไม่คิดว่าวันจะนอนเฝ้าอยู่หน้าบ้าน

นี่เป็นด้านหลังบ้านคะ บรรยากาศดีมากเลยคะ แต่แดดก็ร้อนมากเช่นกัน 5555 
มองเห็นบ้านอีกหลังไกลๆคะ ตรงนู้นเป็นบ้านหลังใหญ่คะ น่าจะใหญ่สุด

ทางเข้าบ้านเราคะ เป็นไงคะ ตอนแรกเราสองคนนี่ใจเสียไปแล้ว ถ้าไม่ได้พี่เขานี่ เราสองคนไม่อยากจะคิดว่าจะไปยังไงต่อคะ ต้องขอขอบคุณพี่มากจริงๆนะคะ ที่ทำให้ในความโชคร้ายของพวกเรา ยังมีความโชคดีซ่อนอยู่ หลังจากนั้นพวกเราก็เดินถ่ายรูปกันคะ

แล้วเราสองคนก็เดินทางต่อไปยังวังน้ำเขียวคะ พอออกเดินทางเราสองคนคิดตรงกันเลยคะ ว่าเข้าใจแล้วที่พี่เขาไม่อยากให้เราเดินทางต่อ 5555 ทางโคตรเปลี่ยว แถมทางก็ไม่ค่อยจะดีคะ เราขับรถออกมาจากที่พักได้สักระยะ ดีเขาก็เห็นลูกหมานอนอยู่กลางถนนคะ แต่เบรกไม่ทันคะ เหยียบน้องหมาไป ดีรีบจอดรถเลยคะ ลงไปขอโทษเจ้าของหมา ตอนนั้นดีเสียใจสุดๆ พอดีดีเป็นคนรักหมาคะ เลยเศร้าไปเลย เราก็ยืนคุยอยู่นาน สุดท้ายจ่ายค่าเสียหายไป 1000 บ. หลังจากขับรถออกมาเราก็ต้องพยายามคุยเล่นกับดี ให้กำลังใจดี คือมันเป็นอุบัติเหตุ ไม่มีใครอยากให้เกิดคะ เรายอมรับเลยตอนที่ดีพูดว่า เฮ้ย...หมา แล้วดีเบรดเรายังมองไม่เห็นน้องหมาเลยคะ เศร้าไปเลยทีเดียวเชียว ดีเขาก็พยายามไม่คิดมากคะ ขับรถต่อไปโยให้อีจีนำทางคะ สุดท้ายเราก็หลงอีกตามเคยคะ 5555 เราเลยไปตามเซ้นที่มีแทน ขับไปขับมาก็ออกมาอยู่ถนนหมายเลข 304 เราก็ไปยูเทิรนรถแล้วขับตรงไปก็เจอป้ายต่างๆมากมาย แล้วดีก็บอกว่าเลี้ยวตรงนี้แหละ เมื่อกี้เห็นป้านสวนลุงไกร เราเลยเปิดแผนที่ที่เอามาจากเว้บอีกที เฮ้ย...มันใช่อ่าาาาา พากเราก็ขับไปตามทางแวะกินชาหน่อยเล็กน้อย

หลังจากนั้นก็เดินทางต่อไป อ่านป้ายไปเรื่อยๆ จนเจอป้ายทางเข้าสวนลุงไกรคะ เราก็เข้าที่พักกันคะ

ป้าก็พาเราเดินมาที่บ้านพักคะ
[img]http://f.ptcdn.info/492/044/000/[img] 
ถ่ายแต่ห้องน้ำมา ไม่มีใครถ่ายในห้องนอนสักคน มัวแต่ตื่นเต้นกับห้องน้ำกลางแจ้งกันคะ นายดีนี่ภูมิใจกับการเลือกที่พักสุดๆ หลังจากเราเอาของเข้าที่พักก็ออกไปเที่ยวกันต่อคะ แล้วก็ไปหาข้าวกินกันคะ ในที่พักจะไม่มีอาหารให้นะคะ ไม่มีตู้เย็น คือต้องเตรียมปเอง ส่วนเราเตรียมคะ แต่ลืมเอามา 5555 ซื้อใหม่หมดคะ ซื้อกล่องโฟมกล่องเล็กคะ เอาไว้ใส่น้ำแข็ง ส่วนจานเราขอยืมป้าเขาคะ พวกเราก็ออไปเที่ยวเก็บตะวันต่อ  
ขากลับจากผาเก็บตะวัน เราสองคนก็ขับรถไปกินข้าวที่ร้านอาหารบ้านเลขที่ 5 กันคะ   
อาหารอร่อยมากกกกก เหมือนสั่งหลายอย่าง จิบอกวาเห็นสั่งแค่นี้ เราสองคนยังกินไม่หมดเลยนะคะ ห่อกลับคะ จะรออะไร อ้อ...จะบอกว่าต้มยำอร่อยมากคะ อร่อยสุดๆ 55555 กินเสร็จก็กลับที่พักนอนคะ พอช่วงเย็นเราก็เดินไปตรงส่วนที่ขายพักของลุงไกรคะ 
เราเจอลุงไกรด้วยนะคะ 5555
 
เราสองคนก็ถ่ายรูปไปเรื่อยคะ หลังจากนั้นเราสองคนก็ซื้อผักสลัด น้ำสลัด แล้วก็เห็ดแปรรูปกลับไปกินกันคะ 
อาหารมื้อเย็นของเราสองคน กินง่ายอยู่ง่ายจริงๆ 5555 กินเสร็จก็นอนสิคะ รอไร เราสองคนเน้นการมาพักผ่อนคะ บางคนอาจจะไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ 55555 อ้อ....จะบอกว่าที่นี่ตอนกลางวันร้อนมากกกกกกก แต่ตอนกลางคืนนี่หนาวสุดๆไปเลยคะ ที่พักที่นี่ไม่มีแอร์นะคะ มีแต่พัดลม แค่เปิดพัดลมตัวเดียว ห้องก็เย็นมากแล้วคะ ยิ่งกลางคืนฝนตก โอ้โห...ไม่ต้องเอ่ยคะ หนาวกันไปสิคะ 555555


ที่มา Pantip
Cr. สมาชิกหมายเลข 1911806
สวัสดีคะ ><
เป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยไปเที่ยวแบบจริงจังสักครั้ง
งานนี้จึงถือเป็นฤกษ์งามยามดีที่ น้องสาวเรียนจบและเรียกร้องขอให้ไปเที่ยวด้วยกัน
ทริปนี้จึงมีกันเพียง 3 คนพี่น้อง ซึ่งปริมาณคนน้อยนั้นไม่ได้ มีผลต่อความสนุกที่จะลดลงแต่อย่างใด
ว่าแล้วก็ไปกันเลยคะกับรีวิวแรกในชีวิต


@เขื่อนเชี่ยวหลาน (เขื่อนรัชชประภา) จังหวัดสุราษฎร์ธานี 


เราตั้งชื่อ ทริปนี้ว่า Follow me Trip 
เพราะงานนี้มีเราเป็นแม่งาน จัดแจง วางแผน เตรียมเอง ทำเองทุกอย่าง ซึ่งปกติเป็นผู้ตามตลอด
เอาละคะทุกคน ตามมาๆๆๆๆ Follow meๆๆๆๆ





เริ่มต้นจากการหาข้อมูลแพที่จะไปพักคะ 


สุดท้ายก็ตัดสินในเลือก>>>แพภูตะวัน


ด้วยเหตุผลหลัก คือ
-    ระยะทางจากท่าเรือไปยังที่พักใกล้มาก ใช้เวลานั่งเรือ เพียง 20-25 นาที
-    ห้องพักแคปซูลที่ดึงดูดใจ ดูใหม่ และสะอาด
-    มีไฟฟ้าให้ใช้ตลอดทั้งคืน (ต่างจากบางแพที่อาจต้องจำกัดเวลาการใช้ไฟฟ้า)
-    ราคาเหมาะสมกับ Budget ที่มีคะ ไม่ถูก และ แพงจนเกินไป ซึ่งรวมทั้ง ค่าอาหาร ที่พัก เรือ และ กิจกรรมท่องเที่ยว พูดง่ายๆว่า ราคาเดียวจบครบกันไปเลย
-    สำคัญมากๆ คือ จากการอ่านรีวิวที่น่าพึงพอใจของผู้ที่เคยใช้บริการ

มีเพียงข้อจำกัดเดียวที่ทำให้พวกเรากังวลคะ นั่นคือ ห้องน้ำรวม


ราคาและรายละเอียดที่พัก
-    เลือกจองเป็นทริป 2 วัน 1 คืนคะ
-    จำนวนผู้เข้าพัก 3 ท่าน (ถ้าคนเยอะราคาจะถูกลง)
-    เลือกพักห้องแคปซูล ราคา 2,800 บาท/คน 
(ราคานี้รวมอาหาร 3 มื้อ ค่าเรือไปกลับ, เรือนำเที่ยว และแพไม้ไผ่ ชมกุ้ยหลินเมืองไทย เดินป่า และชมถ้ำปะการัง)
การติดต่อ
-    สามารถโทรติดต่อได้โดยตรงตามเบอร์โทรนี้เลยคะ 086-2819655, 081-6069007, 083-6465252
-    หรือดูข้อมูล ชมรูปภาพจากเว็บไซต์  www.phutawanrafthouse.com


ข้อจำกัด
-    สัญญาณโทรศัพท์มีเพียง 1% ของพื้นที่ทั้งหมดนะคะ (ต้องตั้งใจหาจริงๆจะเจอ)
-    ไม่มีห้องน้ำในตัว แต่มีห้องน้ำรวมที่สะอาด
-    อาหารทางที่พักจะจัดไว้ให้เอง ไม่ใช่ตามสั่งนะคะ
-    มีเวลาเปิดปิดไฟในช่วงกลางวัน แต่สบายใจได้คะ ตะวันตกดินมีไฟใช้ตลอดทั้งคืน
-    ในกรณีที่ฝนตกและต้องนั่งเรือกลับ ท่านจะพบกับความเปียกอย่างหลีกเลี่ยงได้ยากคะ
-    ไม่สามารถทำอาหารในห้องพักได้นะคะ


การเดินทาง
พวกเราออกเดินทางจากบ้าน (ซึ่งอยู่ใกล้กับห้างเทสโก้โลตัส สุราษฎร์ธานี)
ระยะทาง จากบ้าน – ท่าเรือท่องเที่ยวของเชื่อน ประมาณ 90 กม.
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที
จากนั้นก็แวะจ่ายเงินส่วนที่เหลือ จากเงินมัดจำ 50% ที่ ออฟฟิตของแพภูตะวันคะ
ตั้งอยู่ก่อนถึงด่านสแกนบัตรเข้าเขื่อน






ด่านแรกพบกับออฟฟิตของแพภูตะวันคะ
พนักงานที่นี่น่ารักทุกท่านเลยคะ มีการโทรเช็คก่อนเวลานัดหมายว่าเดินทางถึงไหนแล้ว
หลังจากจ่ายเงินเสร็จเดินทางไปยังท่าเรือ ก็มีการโทรสอบอีกครั้งว่าไปถึงหรือยัง เอาใจใส่ลูกค้าดีคะ





ภาพแรกที่ได้เห็น ขณะเดินลงจากที่จอดรถไปท่าเรือคะ เช้านี้อากาศสดใส แดดอ่อนๆ สีเขียวจากภูเขา แมกไม้ และน้ำในเขื่อนก็ดึงดูดใจจริงๆคะ มีความอยากเป็นปลาขึ้นมาเลยทีเดียวเชียว





พอมาถึงท่าเรือก็มีพนักงานจากแพภูตะวันมาต้อนรับ และส่งลงเรืออย่างดีคะ นาทีนี้ รีบแบกเป้ยกกระเป๋ากันใหญ่ อยากสัมผัสบรรยากาศกุ้ยหลินเมืองไทยจะแย่อยู่แล้ว





เรือนำเที่ยวเป็นเรือหางยาวลำใหญ่คะ มีชูชีพให้ใส่เพื่อความปลอดภัย ระหว่างทางก็จะเห็นบรรยากาศภูเขาน้อยใหญ่ และน้ำในเขื่อนสีเขียวสดใส ดูจากหน้าตาและความหลั่นล้าของนักท่องเที่ยวในภาพได้เลยคะ





กริ๊ดดดด นาทีแรกที่ได้เห็นบรรยากาศจริงของแพภูตะวัน ด้านซ้ายเป็นแพแคปซูลเรียงตัวยาว ตรงกลางเป็นล็อบบี้ และห้องอาหาร ส่วนด้านขวาเป็นแพที่มีประตูเป็นกระจกใสมองเห็นวิวภายนอกได้อย่างเต็มตา





ถึงละคะ แพภูตะวัน พื้นทางเดินเป็นหญ้าเทียมสีเขียวสด จะเดินไปเดินมาก็สบายเท้า หรือจะถ่ายภาพก็ดูสวยสบายตาคะ





อร๊ายยยย แพแคปซูล อันสวยงาม เงาของแพสะท้อนลงไปบนผิวน้ำสีเขียว อย่างกะอยู่กลางทะเลมัลดีฟเลยละคะ (งานมโนล้วนๆ)





ด้านหน้าของล็อบบี้ แพภูตะวันคะ ปลอดโปร่งโล่งสบาย มีขนม และแอลกอฮอล์จำหน่ายจนถึง 4 ทุ่มโน่นแน่ะ





สไลด์เดอร์สุดมันส์อันนี้ ตอนหาข้อมูลไม่มีแจ้งไว้คะ ไม่รู้ว่ามีด้วยซ้ำ แต่พอมาถึงมีให้พวกเราเล่นก็ดีใจมากๆ ขอบอกนิดนึงว่าเห็นแล้วเหมือนของเด็กเล่นแบบนี้ ไม่เหมาะกับเด็กเล็กและผู้ที่มีร่างกายไม่แข็งแรงนะคะ เพราะลองไปกระโดดเล่นดูแล้วมันส์มากจิงๆ เหมาะกับคนที่มีร่างกายแข็งแรง กระโดดโลดเต้นได้ เดินๆอยู่ ล้มได้ หัวทิ่มได้ ร่างกายฟาดฟันกับเครื่องเล่น และตกลงในน้ำ ถ้าให้แจ่มต้องขนกองทัพเพื่อน หรือญาติวัยเดียวกันมาเล่น หรือหากใครบ้าพลัง และชอบเอ็กซ์ตรีม รับรองความมันส์เลยละคะ 





ด้านนี้เป็นห้องอาหารของแพสำหรับเตรียมอาหารทั้ง 3 มื้อ เมื่อถึงเวลาอาหารเที่ยง เย็น และเช้า จะมีอาหารอร่อยเตรียมพร้อมเสริฟไว้บนโต๊ะเรียบร้อยคะ





ทางเดินขึ้นห้องน้ำคะ ไม่ได้ลำบาก และเดินไกลอย่างที่คิดนะคะ แถมมีหญ้าเทียมปูทางไว้ให้ด้วย น่าเดินจะตาย





ภาพนี้ขอเจ้าของกระทู้อยู่หน้ากล้องบ้างนะคะ นี่ก็เป็นทางเชื่อมไปห้องน้ำอีกด้านหนึ่ง ส่วนด้านหลังเป็นทางเดินไปยังห้องพักแคปซูลคะ





ภายในห้องพักแคปซูล มีที่นอนสามารถนอนได้ 3 คน ห้องพักเป็นแบบพัดลม มีหน้าต่างที่มองออกไปจะเห็นวิวของน้ำในเขื่อน ภูเขา และวิวทั้งหมดของแพภูตะวัน





ส่วนโค้งของแคปซูลทำให้ห้องพักดูกว้างมากขึ้นคะ แถมยังเป็นมุมถ่ายภาพที่สวยมากๆอีกด้วย 





เมื่อเปิดประตูออกมากอีกด้านหนึ่งของห้องพัก จะมีทางลงเพื่อเล่นน้ำ และพายเรือแคนนูได้คะ สามารถขอไม้พายได้ที่ล็อบบี้ โดยมีค่ามัดจำ 200 เล่นเสร็จแล้วถ้าไม่ทำไม่พายหาย ก็ไปรับเงินคืนได้เลยคะ 200 บาท แต่ถ้าทำไม้พายหาย ก็ ตัวใครตัวมันนะคะ 555





ท่านใดที่รักการถ่ายภาพ ต้องขอบอกว่ามุมนี้ ถ่ายภาพออกมาเลอค่าจริงๆคะ แต่ตากล้องนี่ ใส่ชูชีพหน่อยก็ดีนะคะ เผื่อตกน้ำ เจ้าของกระทู้ผู้ถ่ายภาพนี้ ก็เกือบร่วงเหมือนกันคะ 555





มุมสูงที่เป็นภาพรวมของบรรกาศสวยๆของเขื่อนรัชชประภา และแพภูตะวัน ส่วนตัวชอบมุมนี้นะคะ สีไม้ของห้องพักแคปซูล ท่ามกลางภูเขาเขียวชอุ่ม สีเขียวอ่อนๆของต้นกล้วย หมู่ไม้นานาพันธุ์ ผสมผสานกับสีเขียวมรกตใสใสจากน้ำในเขื่อนได้อย่างลงตัวมากๆ รู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูกเลยละคะ ซึ่งมุมนี้ถ่ายจากห้องน้ำรวมด้านบนฝั่งที่อยู่ด้านหลังของห้องพักแคปซูล เดี๋ยวจะพาไปชมนะคะ





มื้อเที่ยงคะ ถึงจะเลือกเองไม่ได้เพราะทางที่พักจัดไว้ให้แล้ว แต่รสชาติอาหารก็อร่อยดีคะ เป็นอาหารที่กินได้ทุกวัย ต้ม ผัด แกง ทอด ครบเซ็ทคะ





บรรยากาศชิลๆ ด้านหน้าของแพภูตะวันคะ กินข้าวเสร็จก็มานั่งอ้วนๆบนโซฟาดีไซน์เก๋ รอลงเรือคะ โปรแกรมวันนี้ ได้แก่ นั่งเรือชมกุ้ยหลินเมืองไทย เดินป่า นั่งแพไม้ไผ่ และชมถ้ำปะการัง





สิ่งที่กังวลที่สุด คือ ห้องน้ำรวมคะ แต่พอมาเห็นของจริงก็หายห่วงได้เลย เพราะสะอาด ใหม่ ไม่เก่าอย่างที่คิด เป็นห้องน้ำแบบมีโถ มีถังน้ำ และมีฝักบัวในตัวคะ ด้านหน้ามีอ่างล้างหน้าเรียงกันอย่างที่เห็นในภาพ ช่วงเช้าเดินออกมาล้างหน้า แล้วได้เห็นวิวเขียวๆ กับอากาศบริสุทธิ์ ทำให้รู้สึกสดชื่นมากคะ ส่วน ในเวลากลางคืนก็ไม่ต้องกังวล เพราะที่นี่มีไฟฟ้าให้ใช้ตลอดคืนเลยละคะ





ได้เวลาผจญภัยแล้วคะ 555 จริงๆก็ไม่ขนาดนั้นนะคะ ลงเรือเพื่อไปชมธรรมชาติกันคะ การเตรียมตัวก็แค่ ใส่ชุดที่รู้สึกสบาย สามารถเดินขึ้นเขาลงเรือได้ง่าย อุปกรณ์เสริมสำหรับท่านผู้ใหญ่ ควรยาดม พัดลมมือถือ หรือน้ำขวดเล็กๆไปด้วย การเดินทางอาจจะใช้เวลานานหน่อยนะคะ เนื่องจากแพภูตะวันจะใกล้จากท่าเรือมาก นั่นหมายความว่า ใกล้ท่าเรือ แต่ใกล้สถานที่เดียวนั่นเองคะ อดใจรอแปบเดียว นั่งในเรือชิลๆไปก่อนนะคะ ที่สำคัญ คือ รองเท้า ควรเป็นรองเท้าที่ใส่พอดี ส้นเรียบ เดินสบาย กันลื่นได้ยิ่งดี เหมาะกับการเดินป่า และเดินในถ้ำคะ ห้ามลืมกล้องถ่ายรูปไว้เก็บภาพสวยๆด้วยนะคะ





ขณะนั่งเรือเที่ยวก็จะมีพี่โชเฟอร์เรือ ที่พาเราไปแว๊นทั่วเขื่อน ผสมสานกับการเป็นไกด์อธิบายสถานที่ ที่มา ประวัติต่างๆ และคำแนะนำอื่นๆไปตลอดทาง ถ้าอยากรู้ว่า คำว่า “ กุ้ยหลินเมืองไทย ” ได้มายังไง ต้องลองมาหาคำตอบที่นี่คะ





ได้เวลาผจญภัยในป่าแล้วววว พร้อมมั้ยคะสำหรับการเดินป่า ริมทางเดินจะมีเครื่องดื่มและขนมขายนะคะ แต่จะมีราคาสูงสักหน่อย เช่น น้ำอัดลมปกติ ราคากระป๋องละ ประมาณ 15 บาท แต่เจ้เค้าขาย  ราคากระป๋องละ 25 บาท ถามว่า ซื้อมั้ย? ซื้อซิคะ ก็มันหิวอยู่พอดี 555





นี่ก็เป็นบรรยกาศระหว่างเดินป่าคะ มีความชันบ้าง ลาดบ้าง ลื่นบ้าง แห้งบ้าง แฉะบ้าง สังเกตในภาพดีๆ จะเห็นไม่เท้ากายสิทธิ์ประจำกาย คนละ 1 ไม้คะ เพื่อพยุงตัวเองระหว่างทางเดิน หรือใครจะทำเป็นไม้ดรัมเมเยอร์ก็ได้นะคะ เฮฮาระหว่างทาง (พวกเราทำมาแล้ว อิอิ) สำหรับผู้สูงวัย ขอให้สู้ๆนะคะ ถือเป็นการพิสูจน์ความสูงวัยไปในตัว เราต้องพิชิตภูเขาลูกนี้ให้ได้ สู้โว้ยยย




เดินมาเรื่อยๆจะพบกับท่าเรือแพไม้ไผ่คะ ซึ่งเป็นพาหนะที่จะพาเราไปยังถ้ำปะการังคะ





ผู้ร่วมทริปของพวกเราคะ พิสูจน์แล้วว่าไม่มีใครสูงวัย เดินป่ามาถึงท่าเรือแพไม้ไผ่ด้วยหน้าตาชุ่มฉ่ำมาก (โชกไปด้วยเหงื่อ ยาดมหมดไป 3 แผง) เด็ดสุด คือ น้องไมค์ (น้องฝรั่งผู้ชาย) นางสตรองมากคะ เดินแบบไม่ใส่รองเท้า สายแข็งจริงๆ ยกนิ้วให้เลยคะ





เกิดการ Battle การโพสท่าบนแพไม้ไผ่คะ นอกจากต้องทรงตัวในการยืนแล้ว ท่าโพสต้องพีคด้วยคะ ประกาศให้โลกรู้ว่า คนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก 555 ทำไปได้เนอะ ถ้ามีโอกาสได้ไป ต้องไปลองสักครั้งคะ อย่าลืมคิดท่าโพสไปด้วยนะคะ เพราะนั่งแพไม้ไผ่ได้แค่ไม่นานก็จะถึงถ้ำปะการังละคะ 





ปีนป่ายกันอีกนิดเดียวคะ เราจะได้ชมถ้ำปะการังแล้ว ตอนเที่ยงที่นั่งกินข้าว พนักงานแอบกระซิบด้วยว่า มีหินที่สวยเปล่งประกายระยิบระยับเหมือนเพชรเลย เอาละสิ รู้สึกมีแรงดึงดูด อยากเห็นของจริงจะแย่แล้ว





หูยยยยยย แม้รูปอาจจะไม่ขึ้นกล้อง แต่ของจริงต้องบอกว่าสวยงามระยิบระยับเป็นประกายมีออร่าดูเลอค่าจริงจังคะ เหมือนเพชรจริงๆด้วย ภายในถ้ำก็จะเต็มไปด้วยหินงอก หินย้อย รูปร่างต่างๆ ใครที่กลัวค้างคาวนี่หายห่วงได้เลยคะ ถ้ำนี้ไม่มีค้างคาวมากินกล้วยให้ดูอย่างแน่นอน เข้าไปในถ้ำไม่ลึกมากคะ และไม่ได้ร้อนอบอ้าวจนเหงื่อออก แต่กลับเป็นความเย็นสบาย และภายในถ้ำทางเดินก็ไม่ได้ลำบากอย่างที่คิด คุ้มค่าแกการเดินข้ามป่ามาเที่ยวชม





Say Heyyyy!! การมีเพื่อนร่วมทริปที่น่ารัก ถ่ายรูปหมู่ทั้งทีก็จะดูมีความสุขแบบนี้ละคะ ไปกลับด้วยระยะทางประมาณ 3 กม. แอบหอบเบาๆ ได้เวลาลงเรือกลับแพภูตะวัน และไปมันส์กับของเล่นที่รอคอย สไลด์เดอร์ของพี่ อีกไม่กี่นาทีเราเจอกันนะ





วิวระหว่างนั่งเรือชมเขื่อนคะ บรรยากาศแบบเขื่อนๆ เขียวๆ หน้าปะทะลมเย็น กลิ่นไอจากน้ำใสสีเขียวอมฟ้า ภูเขาน้อยใหญ่เรียงรายสลับกันตลอดทาง ท่ามกลางท้องฟ้าสดใสไร้ฝนรบกวน ทำให้รู้สึกผ่อนคลายมากมายเลยละคะ





กลับมาถึงที่พักก็รีบมาเปลี่ยนเสื้อผ้าเลยคะ โปรดสังเกตนิ้วชี้ของสาวเสื้อเหลือง (คือเค้าเอง) ด้านหลังเป็นสไลเดอร์คะ ได้เวลามันส์ของคนบ้าพลังแล้ว ขอตัวไปกระโดดโลดแล่นให้หายอยากบนสไลเดอร์ก่อนนะคะ (เสียดายไม่มีกล้องกันน้ำอดถ่ายรูปตอนเล่นมาฝาก)





หลังจากที่เล่นสไลเดอร์กลางฝนกันอย่างสะใจ อาบน้ำอาบท่าแล้วก็มากินข้าวเย็นคะ จากความเหนื่อยหล้าที่ได้รับจากการโลดโผนโจนทะยานอย่างเมามันส์ มื้อนี้ จึงเกิดเป็นสงครามแย่งชิงกับข้าวไปโดยปริราย กินแหลกคะงานนี้ ต้ม ผัด แกง ทอด สูตรเดิม มีเพิ่มผลไม้ด้วยนะ





สำหรับที่นี่ ความมืดมาพร้อมกับความสงบคะ แถมไร้สัญญาณโทรศัพท์อีกด้วย จึงสามารถพักผ่อนได้อย่างเต็มอิ่ม นอกจากนี้ เรามีไฟฟ้าใช้ยามค่ำคืนด้วยละคะท่านผู้ชมมมม มีไฟฟ้าใช้กันยาวๆไปเลย เชิ้บ เชิ้บ





แต่ล็อบบี้จะปิดตอน 4 ทุ่มนะคะ จะซื้อขนมนมเนย หรือใครจะหาซื้อแอลกอฮอล์ดื่มล้างแผลในลำไส้ก็ไม่ว่ากัน มีจำหน่ายเพียบคะ หรือสามารถนั่งชิลดูทีวีได้เรื่อยๆเลย





อรุณสวัสดิ์เช้าวันกลับบ้านคะ อาหารเป็นแบบบุปเฟต์บริการตัวเองกันได้เลยคะ จะข้าวต้ม ข้าวผัด ขนมปัง กาแฟก็มีให้อิ่มท้องก่อนกลับบ้าน





เวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอคะ ขอขอบคุณผู้ร่วมทริป คือ น้องเตอร์ (ผู้ชาย) และน้องจ๋า (เด็กหัวจุก) และแพภูตะวันที่ทำให้ทริปนี้ผ่านพ้นไปได้ด้วยความสุขสนุกหรรษาร่าเริงบันเทิงจิตบันเทิงใจหัวเราะกันจนไขข้อเสื่อมเป็นอย่างมาก 





เป็นทริปแห่งความประทับใจที่ทำให้สัมผัส คำว่า “ Relax ” อย่างแท้จริง เป็นช่วงเวลาสั้นๆที่ได้วางทุกอย่างไว้ แล้วสูดหายใจเอาความสุขใส่ปอดอย่างเต็มที่ พร้อมเก็บเอาความประทับใจในช่วงเวลานี้ไว้เป็นแบตสำรองชาร์ตไฟให้ตัวเองในวันต่อๆไป 

แล้วเจอกันใหม่ เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นคะ....” F o l l o w  m e   T r i p ”


ที่มา Pantip
Cr. สมาชิกหมายเลข 3276615