รีวิว ชิลช้าๆ ในส่วนหนึ่งของเมืองรถม้า ณ ท่ า ม ะ โ อ



ท่ามะโอเป็นอะไรกับท่ามะกา
คำถามเกรียนๆ ที่ผุดขึ้นมาเล่นๆ ในขณะที่ผมกำลังเลื่อนหน้าจอ News Feed บน Facebook ไปเจอรูปถ่ายของสถานที่แห่งนี้แล้วรู้สึกว่า มีบางอย่างให้น่าไปสัมผัส ซึ่งเป็นเรื่องของอารมณ์ล้วนๆ และทันทีที่ดูรูปเสร็จปุ๊บ ผมก็ถามพี่เจ้าของรูปนั้นถึงข้อมูลของท่ามะโอปั๊บ ก็ได้ข้อสรุปดับความสงสัยดังนี้

ท่ามะโอไม่ได้เป็นอะไรกับท่ามะกาหรอก แถมอยู่กันคนละทิศคนละทางเลย ท่ามะกาก็อยู่เมืองกาญไป ส่วนท่ามะโอเป็นชื่อชุมชนเก่าแก่แห่งหนึ่งในเมืองรถม้า ล ำ ป า ง ห น า ว ม า ก นั่นเอง



พูดถึงลำปางก็ไม่ค่อยได้นึกถึงเป็นลิสต์อันดับต้นๆ ของการเที่ยวภาคเหนือสักเท่าไรนัก เพราะในสายตาขาเที่ยวมักจะมองว่า ลำปางเป็นแค่เมืองผ่านไปเชียงใหม่ แต่ก็มีคนไปเที่ยวและรีวิวเยอะพอสมควรนะ แต่พอผมลองหาข้อมูลเกี่ยวกับท่ามะโอว่าเป็นยังไง มีใครรีวิวในพันทิปแล้วหรือยัง ปรากฏว่า
ยั ง จ้ า า า า า

สรุปว่ารีวิวนี้จะโฟกัสไปที่ท่ามะโอเป็นหลัก เพราะยังไม่ค่อยมีใครรู้จักมากนัก ส่วนที่เที่ยวดังๆ ในลำปาง ผมเชื่อว่าทุกคนต้องรู้จักกันดีอยู่บ้างแล้ว ขอยกเป็นประเด็นเสริมละกันโนะ

ต่อจากนี้ เราจะพาผู้อ่านทุกท่านเข้าสู่ทริป
ลำปางลำพัง (เหรอ ?) : ไปชิลช้าๆ ณ  บ้ า น ท่ า ม ะ โ อ



EP 1 : รถไฟ

ทริปครั้งนี้ห่างจากทริปก่อนถึงสี่เดือน และครั้งนี้ยังคงคอนเซ็ปต์เดิมคือ ไปคนเดียวชิลๆ มันจึงเป็นเหตุผลที่ผมเลือกเดินทางโดยรถไฟ (เบื่อนั่งเครื่องกับรถทัวร์แล้ว) 

อะๆๆ รีวิวทริปที่แล้วอยู่นี่ เสิร์ฟให้ถึงที่เลยจ้า
http://pantip.com/topic/34962216





ผมออกเดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติหัวลำโพงด้วยขบวนรถด่วนชั้นสองรอบสี่ทุ่มของคืนวันศุกร์ ซึ่งผมจองตั๋วล่วงหน้าก่อนวันเดินทางถึง 1 เดือน (คือเคยมีประสบการณ์ทริปล่ม ตกรถไฟเพราะตัดสินใจเสี่ยงดวง Walk in ทั้งๆ ที่แพลนไว้ล่วงหน้า แถมมีเวลาจองตั๋วเป็นเดือน ครั้งนี้เลยเข็ดจ้า) 







ะหว่างรอรถไฟออก (ไป Stand by ตั้งแต่สามทุ่ม)









ทำไมถึงเลือกตู้รถไฟชั้นสอง ? แถมเป็นตู้พัดลมอีกต่างหาก
คำตอบคือ จองตู้นอนไม่ทันจ้า A S U S

ส่วนความสะดวกสบายของตู้ชั้นนี้ ตรงๆ เลยว่า โหดร้ายยิ่งกว่ารถทัวร์ชั้นสองอีก นอนก็เหมือนไม่ได้นอนเพราะเอนเบาะได้แค่ 130 องศา (ถ้าไม่ได้ปรับเลยก็จะอยู่ที่ 100 องศาโดยประมาณ) แถมเบาะนี่ก็แข็งบรรลัยใช้ได้เลย และที่สำคัญคือ ไม่มีการปิดไฟบนตู้ตลอดทั้งคืนเลยจ้า ตอนนอนนี่คือต้องข่มตาแบบสึดๆ 



ภาพสุดท้ายก่อนนอนนะฮะ



เ ช้ า แ ล้ ว แ จ้
เป็นวันเสาร์เช้าที่รู้สึกสดชื่นสุดๆ ทั้งๆ ที่เมื่อคืนหลับๆ ตื่นๆ ตลอดเวลา

ผมตื่นขึ้นมาเมื่อเวลาตีห้าสี่สิบห้า ฟ้าเริ่มสว่าง ไม่รู้ว่ารถไฟวิ่งถึงไหนแล้ว แต่ดูจากวิวข้างทางที่เริ่มมีภูเขาก็เดาเอาว่า น่าจะพ้นพิษณุโลกแล้วล่ะ 



แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะหกโมงเช้า ขบวนรถไฟก็พาเรามาถึงสถานีพิชัย ซึ่งเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดอุตรดิตถ์ นั่นหมายความว่า เรากำลังเข้าสู่ประตูภาคเหนือแล้ว



ห ก โ ม ง ส า ม สิ บ น า ที
ขบวนรถไฟได้มาถึงสถานีอุตรดิตถ์และศิลาอาสน์ตามลำดับ ได้มีเวลาพักหายใจถ่ายรูปเก็บบรรยากาศหน่อย (ระหว่างทางถ่ายแล้วภาพสั่นไปเยอะ สู้ความเร็วสู้งงงของรถไฟไทยไม่ไหว)











พอเห็นคนเริ่มเอาของกินมาขายบนรถไฟ ใจเริ่มอยากกินข้าวเช้าแล้วล่ะครับ ว่าแล้วเราก็ไปตู้เสบียงกันดีกว่า



บรรยากาศบนตู้เสบียงตอนเช้าค่อนข้างเงียบเหงา คนน้อย แต่เดี๋ยวสายๆ คนก็คงเยอะเอง



เมนูมื้อเช้าหลักๆ บนตู้เสบียงจะมี 3 อย่างด้วยกันคือ
ข้ า ว ต้ ม
แ ซ น ด์ วิ ช
เ บ ร ก ฟ า ส ต์

รู้หมือไร่ ทำไมผมเลือกสั่งแซนด์วิช อั น นี้ ต้ อ ง จ ด

ราคาอาหารมื้อเช้าบนตู้เสบียงเริ่มต้นที่ 130 บาท
แซนด์วิชคือเมนูอาหารที่ถูกที่สุดแล้วครับ เห็นราคาแต่ละอย่างแทบสตันท์


แต่มันไม่มีทางเลือกอื่นแล้วไง ช่วงนั้นรถไฟแล่นผ่านเขตภูเขา ไม่มีสถานีข้างทางใดๆ ทั้งนั้น กว่ารถจะหยุดอีกทีก็ที่สถานีเด่นชัยเลย

รสชาติก็งั้นๆ อะ (รีวิวดิบเถื่อนเลยครับ) แต่เข้าใจแหละว่าอาหารระหว่างเดินทางไม่ควรมีรสชาติจัดจ้าน เพราะจะมีผลต่อท้องไส้ของเรา 
วินาทีนี้ผมเข้าใจเลยว่าทำไมคนไม่ค่อยมาหาของกินที่ตู้เสบียงกัน แต่ผมเข้าใจแหละว่ามันมีเรื่องค่าขนส่งของสดด้วย เลยมีผลต่อราคาอย่างที่เจอมาไงครับ







อากาศเย็นสบายคล้ายจะมีฝน คนที่แพ้สีเขียวอย่างผมก็อดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปข้างทางเก็บไว้



เ จ็ ด โ ม ง ส า ม สิ บ น า ที
ขบวนรถไฟก็มาถึงที่ เ ด่ น ชั ย จังหวัดแพร่แล้วจ้า

รถไฟหยุดส่งผู้โดยสารเพียงไม่ถึงหนึ่งนาที แต่รูปต่อไปนี้จะทำให้คุณฟินยิ่งกว่าเมื่อกี้หลายเท่า เริ่มข่า











แ ก่ ง ห ล ว ง น้ำ ย ม
ไฮไลท์รถไฟสายเหนือที่คุณไม่ควรพลาด

แนะนำว่าขาไปให้เลือกที่นั่งฝั่งขวานะจ๊ะ ไปต่อค่ะพี่สุชาติ









เริ่มมีอุโมงค์ลอดเขาแล้ว ถึงจะไม่ยาวเท่าขุนตานก็เถอะ





มีความคล้ายผาหัวสิงห์ที่ดอยเสมอดาว



มีความแบล็กเมล์หน่อย 555



ตั้งแต่เลยเด่นชัยมา เราเสพวิวข้างทางจนลืมดูไปเลยว่ามาถึงไหนแล้ว จนรถไฟเข้าสู่สถานีแม่เมาะถึงรู้เลยว่า เข้าเขตจังหวัดลำปางแล้ว แต่ไม่รู้ว่าอีกกี่สถานีจะถึงตัวเมืองลำปาง แถมความง่วงเริ่มมาแทนที่ความหิว เลยของีบหน่อยละกัน

เ ก้ า โ ม ง ห้ า สิ บ น า ที
ที่นี่ สถานีนครลำปาง
ที่นี่ สถานีนครลำปาง


เสียงประกาศจากนายสถานีได้กระทบไปยังโสตประสาทของผมที่กำลังเคลิ้มหลับอย่างสบาย
ถึงแล้วเหรอวะ ผมรีบลุกขึ้นมาลงรถไฟแทบไม่ทัน ดีนะที่สัมภาระของผมมีแค่เป้ใบเล็กๆ กับกระเป๋ากล้อง เลยไม่ฉุกละหุกเท่าไรนัก





และแล้ว ผมก็มาถึงที่หมายของทริปนี้โดยสวัสดิภาพแล้วนะครัช
รวมระยะเวลาที่กินอยู่กับรถไฟทั้งสิ้น 12 ชั่วโมงเต็ม น า น สึ ส ๆ แต่สนุก (ถ้านั่งรถทัวร์มาคงถึงตั้งแต่หกโมงเช้าละ)



ส ถ า นี ร ถ ไ ฟ  น ค ร ลำ ป า ง
หนึ่งในแลนด์มาร์กต้องห้าม (พลาด)
คืออาคารที่นี่มีความคลาสสิกตรงที่เป็นสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างตะวันตก (ออกแบบโดยวิศวกรชาวเยอรมัน เห็นเขาว่าอย่างงั้นนะ) กับความเป็นลำปางสไตล์ได้อย่างลงตัว ท้องฟ้าสีเข้มตัดกับหลังคาสีแดงคือองค์ประกอบที่ดู Contrast สุดๆ แนะนำให้มาถ่ายที่นี่ช่วงเช้านะครัช

เออ...แล้วจากที่นี่จะไปท่ามะโอยังไงล่ะ
อันนี้ยังไม่คิด ขอพิชิตความหิวเป็นปฐมประเด็น เพราะอาหารบนตู้เสบียง บอกตรงๆ ว่าไม่อยู่ท้องหรอก
แล้วมื้อนี้กินอะไรดี ?

ไว้มาต่อตอนหน้าในวันพรุ่งนี้ละกันโนะ




EP 2 : บ้าน

ลงจากรถไฟปุ๊บ ท้องก็ร้องปั๊บ พอเดินออกจากสถานีมาถึงจุดที่ผมยืนถ่ายรูปนี้ ข้างๆ รถเข็นด้านซ้ายจะเป็นร้านก๋วยจั๊บที่ไม่รู้ว่ารสชาติ หน้าตา ออกมาจะเป็นยังไง ต้องเข้าไปกินเท่านั้นถึงจะรู้





นี่ครับ หน้าตาของหน้าร้านและก๋วยจั๊บไซส์ธรรมดาที่มีรสชาติไม่ธรรมดา บอกได้แค่ว่าหอมกลิ่นพริกไทยในน้ำซุปครับ ที่เหลือก็อยู่ที่รสนิยมของแต่ละคนแล้วครับว่าอร่อยจริงหรือเปล่า



และนี่คือโฉมหน้าของ น้ อ ง แ ก ร๊ บ แบบฉบับเมืองรถม้า (เหมือนเชียงใหม่ที่มีรถแดงนั่นแหละ)
ถ้าให้ไปส่งในตัวเมือง ใกล้ไกลแค่ไหนให้คนขับแค่ ซ า ว บ า ท (20) ก็พอ #อันนี้ต้องจด

แต่บ้านท่ามะโอที่ผมจะไปอยู่อีกฟากของแม่น้ำวัง จากการสอบถามพี่ที่รู้จัก เขาบอกว่าถ้าข้ามแม่น้ำวังไป ค่ารถจะเท่ากับ 40 บาท ทางที่ดีควรตกลงราคากับคนขับให้เข้าใจตรงกัน ต่อรองเท่าที่เราและเขาไหว คิดซะว่าการท่องเที่ยวคือการลงทุนชีวิต เสียมากก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ถือว่าสนับสนุนให้เขาเอาเงินไปเลี้ยงพ่อแม่ละกันเนาะ









ระหว่างทางมีอาคารเก่าๆ น่าถ่ายเยอะมาก ดูมีเสน่ห์พอๆ กับอาคารชิโนโปรตุกีสที่ภูเก็ตเลยก็ว่าได้





ที่นี่เรียกว่า ก า ด เ ก๊ า จ า ว ตลาดเช้าริมทางรถไฟ
แต่ตอนที่ไปถึงตลาดวายไปแล้วแจ้ ลุงแกแวะให้ผมเข้าไปชมขำๆ พอดีเป็นทางผ่านไง ไว้ครั้งหน้าค่อยมาเน้อ



ขับมาตามถนนท่าคราวน้อย ผ่านวัดศรีรองเมืองก็ขอเข้าไปแชะหน่อย

ต่อจากนั้นลุงแกก็ขับไปเรื่อยๆ ชิลๆ ชวนผมคุยโน่นนี่นั่นตลอดทาง ส่วนใหญ่ลุงแกจะแนะนำผมแหละว่ามาลำปางแล้วต้องนั่งรถม้า ไปวัดโน้นวัดนี้ ไปเที่ยวชมที่โน่นที่นี่ แล้วแกก็เล่าชีวิตแกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงท่ามะโอ



นี่คือโฉมหน้าของคุณลุงคนขับและคุณป้าเจ้าของโฮมสเตย์ที่มารอรับผมอยู่หน้าบ้านแล้ว ส่วนในมือของลุงคือค่ารถจากสถานีรถไฟมาที่นี่นั่นเอง



บ้านนี้มือชื่อว่า บ้ า น ท่ า เ ก๊ า ม่ ว ง
เป็นโฮมสเตย์ที่ผมจะพักตลอด 3 วัน 2 คืน คุณป้าเจ้าของบ้านชื่อสดศรี ขัตติยวงศ์ แกเคยเป็นครูมาก่อน ตอนนี้เกษียณอายุราชการแล้ว เลยมาเปิดบ้านเป็นโฮมสเตย์จนถึงทุกวันนี้

ดูจากภายนอกตัวบ้านยังดูมั่นคงแข็งแรงมาก ครูสดศรีเล่าให้ฟังว่า บ้านหลังนี้มีอายุเกือบๆ จะ 60 ปีแล้ว มีบ้างที่ต่อเติมหรือซ่อมแซม แต่ก็ไม่คิดจะทำถึงขั้นรีโนเวตแน่นอน เพราะบ้านที่เป็นธรรมชาติคือเสน่ห์ของโฮมสเตย์ที่ดึงดูดใจผู้มาเยือนได้ดีที่สุดแล้ว เอาละครับ เดี๋ยวเรามาสำรวจรอบๆ บริเวณบ้านกันดีกว่า เริ่มจากใต้ถุนบ้านก่อนเลย



























ลานใต้ถุนบ้านเรียกว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ของเก่าเล่าวิถีชีวิตเลยก็ว่าได้ ครูสดศรีแกรวบรวมข้าวของเครื่องใช้สมัยก่อนๆ มาไว้ที่นี่หมดเลย ส่วนใหญ่จะเป็นถ้วยชาม (ที่ลำปางจะขึ้นชื่อเรื่องถ้วยชามมาก) เครื่องปั้นดินเผา เครื่องจักสาน และมีหลายๆ อย่างที่ผมไม่เคยเห็น แต่ได้มาสัมผัสตัวเป็นๆ ที่นี่ เช่น เตารีด เครื่องพิมพ์ดีด หรือแม้กระทั่งพัดลมบางรุ่นที่ตกทอดมาจากรุ่นทวด





ประมวลภาพเรื่องเล่าชาวลำปางที่หาดูได้ยาก เก๋ดีมีความฮิปสะเต๋อได้อีก นั่นแหละฮะท่านผู้ชม เดี๋ยวเราขึ้นไปดูบ้านชั้นบนกัน



เหมือนจะไม่กว้างมาก แต่พอเดินดูแล้วรู้สึกกว้างเลย ข้างในดูมืดและอับไปหน่อย ถ้าแสงสว่างเยอะกว่านี้จะแหล่มมากเลย อบอ้าวน้อยลงด้วย



มุมรับแขกและทานข้าว



เดี๋ยวเราเดินไปสำรวจห้องครัวกัน







ภายในดูเป็นระเบียบ อาจยังไม่เนี้ยบ 100% แต่ผมว่าแค่นี้ก็เจ๋งแล้ว ได้กลิ่นอายแบบบ้านๆ ไปอีกแบบ 





มุมล้างจานและอาบน้ำ



แล้วเราก็ไปสำรวจภายในบ้านกัน ตอนแรกคิดว่าเป็นพื้นที่ส่วนตัวของครูเลยไม่กล้าเข้า แต่ครูเห็นผมถ่ายแต่ข้างนอกเลยถามว่า ไม่เข้าไปถ่ายข้างในบ้างล่ะ โอเค ขอบคุณครับ งั้นผมไม่เกรงใจละนะ 555



หนังสือเรียนเยอะมาก แกเป็นครูสอนหนังสือมาก่อนนะจ๊ะ





มุมพักผ่อนดูทีวีของครูสดศรี



เป็นรูปที่มีทุกบ้าน









บรรยายไม่ถูกจริงๆ ครับว่ารู้สึกยังไง รู้แค่ว่า มันอบอุ่นมาก เหมือนได้กลับบ้านที่ต่างจังหวัดเลยครับ (บ้านผมก็มีบรรยากาศคล้ายๆ แบบนี้แหละ) 



ห้องนี้คือห้องนอนสำหรับแขกที่มาพักนะครับ มีหลายห้อง แต่ผมได้พักห้องนี้





ทำไมต้อง ท่ า เ ก๊ า ม่ ว ง
ครูสดศรีเล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนตรงท่าน้ำเชิงสะพานช้างเผือกมีต้นมะม่วงใหญ่ต้นหนึ่ง เลยเป็นที่มาของชื่อนี้ จริงๆ ท่าเก๊าม่วงเป็นชื่อชุมชนเหมือนกับท่ามะโอนั่นแหละ แต่ปัจจุบันถูกยุบรวมเข้ากับชุมชนท่ามะโอแล้ว ถ้าถามเด็กรุ่นใหม่เขาจะรู้จักแต่ท่ามะโอ มีแต่คนรุ่นครูที่รู้ว่า ละแวกนี้มีชื่อจริงๆ ว่าบ้านท่าเก๊าม่วง

อยากจะบอกว่า อีกเสน่ห์ของการเที่ยวชุมชนและพักแบบโฮมสเตย์คือ การได้สัมผัสวิถีชีวิตชุมชนจากคนในชุมชนจริงๆ แบบไม่อิงสิ่งปรุงแต่งใดๆ จะสังเกตได้จากข้าวของเครื่องใช้ของแกก็เป็นแบบบ้านๆ ห้องนอนไม่มีแอร์ ไม่มีฟรี Wi-Fi แต่มี 4G นาจา เพราะฉะนั้นเราควรเสพความออร์แกนิกของทริปเที่ยวชุมชน ไม่ว่าจะไปที่ไหนให้คุ้มค่าสูงสุดนะจ๊ะ พยายามเอาตัวเราเข้าไปหาเขาเยอะๆ สงสัยอะไร อยากรู้ตรงไหนก็ถามๆ ไปเถอะ เพราะความสุขที่สุดของคนในชุมชนคือ การได้ตอบคำถามในสิ่งที่นักท่องเที่ยวอยากรู้ ผมเชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นชุมชนไหน ทุกคนย่อมภูมิใจในความเป็นบ้านตัวเองแน่นอน และพวกเขาเองก็ยินดีที่จะถ่ายทอดสิ่งดีๆ เหล่านี้ให้แก่ทุกคนที่มาเยือนอยู่แล้ว



EP 3 : วัด
เที่ยงตรงพอดีเป๊ะ ไม่ขาดไม่เกิน ครูสดศรีเข้ามาปลุกผมแล้วจะพาไปกินข้าวมื้อเที่ยง แล้วต่อด้วยพาทัวร์ชุมชนท่ามะโอ



ความคลาสสิกของการเที่ยวชุมชนยังอยู่ที่ พาหนะคู่ใจที่ใช้ตะลอนทัวร์ด้วยคือ จั๊ ก กี้ ศ รี ส อ ง ล้ อ
ครูปั่นจั๊กนำทางผมไปตามถนนป่าไม้ แกบอกว่าจะพาไปกินข้าวซอยที่อร่อยที่สุดในลำปาง



ใช้เวลาปั่นไม่นานก็มาถึง ร้ า น ข้ า ว ซ อ ย อิ ส ล า ม ข้าวซอยที่อร่อยที่สุดในลำปางแล้วจ้า





ที่นี่มีสองชอยส์ใหญ่ให้เลือก ระหว่างข้าวซอยไก่และข้าวซอยเนื้อ ผมเลือกสั่งข้าวซอยเนื้อ ซึ่งเนื้อของที่นี่มีความคาวน้อยมากจนนึกว่ากำลังกินเนื้อหมูอยู่ แต่กว่าจะรู้สึกตัวว่าต้องถ่ายรูปข้าวซอยก็...โซ้ยไปครึ่งชามแล้วจ้า ไม่ทันแล้วจ้า เลยไม่ได้ถ่ายเก็บไว้เป็นที่ระลึก



เติมพลังมื้อเที่ยงแล้ว ทีนี้ก็มีแรงปั่นได้ทั้งวันแล้วเน้อ (หาเรื่องเบิร์นไปในตัว) ช่วงบ่ายต่อจากนี้ครูสดศรีจะพาผมไปทัวร์วัดต่างๆ ดูศิลปะล้านนากัน



เริ่มจากวัดที่ใกล้จากร้านข้าวซอยอิสลามที่สุดคือ
วั ด ป ง ส นุ ก


วิ ห า ร พ ร ะ เ จ้ า พั น อ ง ค์
แลนด์มาร์กหลากเชื้อชาติที่เกิดจากการรวมร่างของสามทหารเสือแห่งสามเหลี่ยมทองคำอย่าง ไทย จีน และเมียนมา



อีกหนึ่งแลนด์มาร์กที่ไม่อยากให้พลาดนาจา













ในส่วนของพิพิธภัณฑ์โบราณวัตถุ ซึ่งความน่าสนใจอยู่ที่ พระพุทธรูปที่ทำจากไม้ (เขาห้ามแตะต้องเลยพิสูจน์ไม่ได้ว่าทำจากไม้จริงหรือเปล่า)







เก็บตกนิดหน่อย ก่อนไปวัดต่อไป



วัดที่สองของทริป วั ด ป ร ะ ตู ป่ อ ง
จากวัดปงสนุก ผมและครูปั่นจั๊กกี้กลับมาตามเส้นทางเดิม เลยโฮมสเตย์ไปอีกหน่อยก็จะถึงที่นี่แล้ว



เดี๋ยวเราเข้าไปชมภายในโบสถ์กัน ครูสดศรีเป็นผู้กล่าว





ภายในโบสถ์มีภาพจิตรกรรมบนฝาผนังที่บอกเล่าวิถีชีวิตของชาวเมืองลำปางในสมัยโบราณ ดูแล้วแทบจะตาลายเพราะใส่รายละเอียดโคตรเยอะ



มาวัดนี้อย่าลืมมาดูเงาพระธาตุกลับหัวด้วยนะครัช (เกิดขึ้นเพราะกฎการหักเหแสง)
เก็บจุดสำคัญครบแล้วก็ไปต่อสิคะพี่สุชาติ



จากวัดประตูป่อง เราปั่นไปตามถนนป่าไม้จนมาสุดทางที่ถนนท่ามะโอ แล้วข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งก็จะถึงวัดท่ามะโอซึ่งเป็นศูนย์รวมของคนในชุมชนท่ามะโอ





จุดเด่นของวัดนี้อยู่ที่ วิหารหลังนี้ที่มีสถาปัตยกรรมรวมร่างระหว่างเมียนมากับฝรั่ง นอกนั้นก็ไม่มีอะไรละ บาย ไปต่ออีกวัดค่ะพี่สุชาติ



มาถึงวัดสุดท้ายของทริปสายวัดละ วัดนี้ไกลจากวัดท่ามะโอพอสมควร (เกือบๆ จะออกชานเมืองละ)
วั ด พ ร ะ แ ก้ ว ด อ น เ ต้ า สุ ช า ด า ร า ม





แลนด์มาร์กของวัดนี้มีพระบรมธาตุดอนเต้า เจดีย์ทรงลังกาที่ได้รับอิทธิพลทางศิลปะจากสุโขทัยและล้านนา และพญาธาตุ (มณฑป) ที่มียอดหลังคาสูงถึง 7 ชั้น ประดับด้วยลวดลายแบบเมียนมา



และแล้วเราก็จับกบ เอ้ย จบกับทริปเดินสายเข้าวัดทำบุญในชุมชนท่ามะโอแต่เพียงเท่านี้ เพราะวัดอื่นๆ อยู่ไกลเกินกว่าครูจะปั่นไปได้ แนะนำให้นั่งรถม้าไปจะสะดวกกว่า อันนี้เห็นด้วยครับเพราะนอกจากครูจะปั่นไม่ไหวแล้ว ผมเองก็ขอยอมแพ้แดดลำปางที่ช่างร้อนเกินกว่าจะปั่นจั๊กด้วยเช่นกัน

จบทริปวัด เราก็จะปั่นกลับไปที่ชุมชนท่ามะโอนะจ๊ะ ครูสดศรีบอกว่า มาท่ามะโอแล้วอย่าได้พลาดที่นี่เชียวนะ
"ที่นี่" คือที่ไหน ไว้มาต่อตอนหน้ากันเช่นเคย



ภาพส่งท้ายแล้ว บ๊ า ย บ า ย




EP 4 : ท่ามะโอ
เสร็จจากทัวร์สายธรรมไปแล้ว ครูบอกว่าจะพาผมไปพักดื่มน้ำที่ บ้ า น เ ส า นั ก ก่อนที่จะพาไปปิดท้ายที่สองจุดสำคัญของท่ามะโอ 







เสานัก แปลว่าอะไร คุณพิม ไวยวุฒิ ชิวารักษ์ เจ้าของบ้านเสานักบอกว่า บ้านหลังนี้มีเสามากถึง 116 ต้น (เยอะขนาดนี้ไม่มีความถึกก็ให้มันรู้ไปสิ)  จึงเป็นที่มาของชื่อบ้าน ส่วนอายุอานามก็ประมาณ 120 ปีได้ จุดเด่นของบ้านหลังนี้อยู่ที่มีความเป็นล้านนาบวกเมียนมา ซึ่งได้รับอิทธิพลจากพวกพี่หม่องค้าไม้นั่นเอง เพื่อไม่ให้เสียเวลามากเกินนะฮะท่านผู้นำ เอ้ย ผู้ชม ขึ้นไปชมภายในบริเวณบ้านด้านบนกันเลยฮะ

เ ดี๋ ย ว 
คุณพิมลืมบอกไปว่า มาบ้านเสานักต้องเสียค่าชมคนละ 50 บาทนาจา แถมฟรีน้ำมะขามและข้าวแต๋น ถ้าสงสัยว่าทำไมต้องเสียตังค์ด้วย ก็ลองย้อนถามดูว่า ค่าดูแลรักษาบ้านมาจากไหน คุณจะเข้าใจได้ง่ายๆ ภายในไม่ถึงหนึ่งวินาที ตามนี้นะ จะได้ขึ้นไปชมบนบ้านซะที

















ภายในบ้านมีข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ที่บอกไลฟ์สไตล์ในอดีตของคนลำปาง ซึ่งจะให้ความรู้สึกต่างจากบ้านครูสดศรีตรงที่ บรรยากาศภายในบ้านเสานักเหมือนกับตำหนักเจ้านายหลังหนึ่งก็ใช่อยู่ เพราะเครื่องมือของใช้แต่ละอย่างที่เอามาโชว์ในบ้านจะค่อนข้างเนี้ยบ มีรอยตำหนิค่อนข้างน้อย แสดงว่าต้องผ่านการซ่อมแซมมาบ้างไม่มากก็น้อย ไม่เหมือนกับของบ้านครูสดศรีที่เน้นออร์แกนิก โชว์ดิบให้เห็นสภาพจริงไปเลย

ที่นี่นอกจากจะเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์วิถีชีวิตคนลำปางแล้ว ยังเปิดให้เช่าเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยง งานมงคล หรือนิทรรศการต่างๆ ด้วยนะ (รายละเอียดเพิ่มเติมก็ถามคุณพิมหลังไมค์เอาเน้อ)



เสร็จจากที่นี่ ครูพาผมแวะไปชมสมาคมรถม้าลำปาง ก่อนจะพาไปชม แ ล น ด์ ม า ร์ ก แห่งท่ามะโอ 







น่าเสียดายที่ตอนไป เจ้าของดันไม่อยู่ เลยไม่ได้ข้อมูลของที่นี่มารีวิวต่อ แต่ถ้าให้เดาจากที่เห็นก็น่าจะเป็นเบื้องหลังการทำรถม้าซะส่วนใหญ่ ไว้ค่อยไปหาข้อมูลเพิ่มเติมจากการนั่งรถม้าในวันต่อไปละกัน









ถนนสายนี้มีความร่มรื่นและเย็นสบาย และที่สำคัญคือ ถึงที่หมายของแลนด์มาร์กแล้วครับ จับม่อนได้ตามสบาย



แล้วครูสดศรีก็พาผมมาที่
บ้ า น ห ลุ ย ส์  เ ลี ย ว โ น แ ว น ส์
แ ล น ด์ ม า ร์ ก ที่สำคัญของชุมชนท่ามะโอ ดูได้แต่ด้านนอก เข้าไปชมภายในตัวบ้านไม่ได้





ครูสดศรีเล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนบ้านหลุยส์เป็นบริษัทค้าไม้แห่งใหญ่ในลำปางที่มีผู้ก่อตั้งเป็นชาวอังกฤษ ซึ่งบริษัทจะรับซื้อไม้ที่ขนส่งมาตามแม่น้ำวัง ตัวบ้านเป็นเรือนปั้นหยายื่นมุขแปดเหลี่ยม มีช่องระบายอากาศเป็นเกล็ดไม้ทั้งหมด ตัวบ้านด้านล่างเป็นปูน ด้านบนเป็นไม้ สไตล์บ้านผสมผสานกันระหว่างอังกฤษกับลำปางสไตล์











คำถามคือ ทำไมถึงยกบ้านหลุยส์ให้เป็นแลนด์มาร์กของท่ามะโอ 

อันนี้ครูสดศรีก็ไม่ได้ตอบตรงๆ แต่จากเท่าที่คุยกับครูเรื่องท่ามะโอบวกกับความเห็นส่วนตัวของผม คนในชุมชนท่ามะโอตั้งแต่สมัยก่อนยันปัจจุบัน ส่วนใหญ่ทำงานในเมือง ถ้าไม่รับราชการก็เป็นพนักงานบริษัทเอกชน สังเกตได้จากบ้านในชุมชนแทบทุกหลังจะคล้ายกับบ้านพักข้าราชการ และมีกิมมิกเล็กๆ น้อยๆ ที่บอกเล่าวิถีชีวิตในอดีตได้ เช่น ตัวบ้าน ข้าวของเครื่องใช้ รูปภาพต่างๆ ที่แขวนบนฝาผนัง มีพื้นที่รอบๆ บริเวณบ้าน ความเห็นดังกล่าวจึงน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของจุดขายของท่ามะโอคือ วิถีชีวิตของคนในชุมชนที่สะท้อนให้เห็นความคลาสสิกของลำปาง คือเห็นแล้วทำให้คิดถึงบรรยากาศอบอุ่นแบบบ้านๆ แต่ในเมื่อแทบทุกบ้านมีจุดเด่นแบบนี้คล้ายกันหมด เขาจึงต้องเลือกบ้านหลุยส์ เลียวโนแวนส์ เป็นแลนด์มาร์กของที่นี่ เพราะมีจุดเด่นเป็นเอกลักษณ์ที่ชัดเจนอย่างที่บอกไป



ตอนที่ผมเข้าไปดูบ้านก็รู้สึกหลอนนิดๆ วังเวงหน่อยๆ นะ คือมันเป็นบ้านร้างไง แต่ปัจจุบันทางการกำลังจะมีแผนบูรณะบ้านหลุยส์เป็นอีกแหล่งท่องเที่ยวในลำปาง ในใจก็ภาวนาอย่าถึงขั้นรีโนเวตเลย เพราะคุณค่าที่แท้จริงของบ้านหลังนี้จะหายไปทันที (สมัยนี้เป็นสมัยที่คนชอบเสพความคลาสสิก ออร์แกนิกชิคๆ คูลๆ ดูย้อนวัยให้ความรู้สึกโหยหาอดีต ที่เที่ยวที่มีกลิ่นอายเก่าๆ หลงเหลืออยู่จะดูน่าสนใจมากเป็นพิเศษ)



รอบๆ ตัวบ้านเต็มไปด้วยพุ่มไม้รกทึบ ถ้ามาหน้าฝนต้องระวังสัตว์เลื้อยคลานกันด้วยนะครัช



ไปเก็บตกอีกจุดสำคัญที่ไม่ควรพลาดก่อนกลับที่พัก
ถ น น ส า ย วั ฒ น ธ ร ร ม ท่ า ม ะ โ อ 
ทุกวันศุกร์ช่วงเย็นถึงหัวค่ำมีถนนคนเดิน คนในชุมชนท่ามะโอและชุมชนใกล้เคียงก็จะนำสินค้าและผลงานทางศิลปะต่างๆ มาโชว์และขายที่นี่ รวมทั้งมีการแสดงศิลปะพื้นเมืองต่างๆ ณ ที่นี่ด้วย (วันที่ผมไปถ่ายคือวันเสาร์เลยไม่มีภาพบรรยากาศถนนคนเดิน)



กู่ ย่ า สุ ต า
ซุ้มประตูทางเข้าวัดโบราณ ปัจจุบันเป็นแลนด์มาร์กแห่งถนนสายวัฒนธรรมท่ามะโอ





บ้านทรงไทย เก๋ไก๋ล้านนาสไตล์



เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ลำปางเคยน้ำท่วมแบบโหดที่สึส จนจั๊กกี้แทบมิดอะคิดดู





เก่งมากเจ้าม้า
ส่วนตัวข้าขอเข้าที่พักก่อน (รูปนี้ถ่ายที่หน้าบ้านท่าเก๊าม่วง) นอนหลับเอาแรง เดี๋ยวไปเดินเล่นที่กองต้าต่อฮะ
ไว้มาต่อตอนหน้าอีกเช่นเคย สวัสดีครับ 




EP 5 : กาดกองต้า ภาคกลางคืน
พอเสร็จทริปชมท่ามะโอก็กลับมางีบหลับที่บ้านท่าเก๊าม่วงราวชั่วโมงกว่า ผมก็ตื่นมาอาบน้ำเตรียมไปเดินเล่นที่ถนนคนเดินกองต้าซึ่งเดินจากบ้านไปแค่ไม่ถึง 500 เมตร



ส ะ พ า น ช้ า ง เ ผื อ ก





จากสะพานช้างเผือก ผมเดินเลียบแม่น้ำวังมาเรื่อยๆ จนมาถึง ส ะ พ า น รั ษ ฎ า ภิ เษ ก แลนด์มาร์กลำปางที่ต้องห้ามพลาด









หกโมงเย็นแล้ว เดี๋ยวเราเข้าไปเดินข้างใน แล้วโฟกัสไปที่ ข อ ง กิ น กันนะฮะ









ข น ม ว ง
โดนัทล้านนา ทำมาจากแป้งข้าวเหนียว โรยหน้าด้วยน้ำอ้อย 
เคี้ยวครั้งแรกนี่อยากจะโยนทิ้งเลยครับ มันแข็งและเหนียวมาก คุณป้าเจ้าของร้านบอกให้กินคู่กับน้ำเย็นหรือน้ำแข็ง ขนมวงก็จะนิ่มลงและเคี้ยวง่ายขึ้น





เดินหาของกินกันต่อฮะ









ไอซ์หยา หนึ่งในร้านเด็ดที่ต้องปักหมุด





ลูกชิ้นที่กินแล้วแทบสำลัก ลูกมันใหญ่มากจริงๆ รสชาติไม่ได้มีความพิเศษอะไร แต่อยู่ในระดับมาตรฐานของลูกชิ้นปิ้งครับ





โอ๊ยยยยยยยยยย เ ห็ ด ห อ ม ท อ ด เห็นแล้วอยากซื้อเลย แล้วก็จัดไปเบาๆ ครับ ถ้วยละซาวบาท (20)
คำแรกๆ อร่อยดี เคี้ยวเห็ดแล้วมันส์มาก แต่พอกินไปได้ครึ่งถ้วย ความเลี่ยนเข้ามาแทนที่ครับ แนะนำให้ซื้อถ้วยละ 10 บาทก่อนเน้อ อร่อยจนหยุดไม่อยู่ก็ค่อยต่ออีกถ้วยก็ได้

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป เดินกองต้าตั้งแต่ต้นซอยยันท้ายซอยแล้ว ไม่รู้จะกินมื้อเย็นร้านไหนดี เลยโทรหาเพื่อนที่เรียนอยู่ลำปางให้มันแนะนำร้านให้หน่อย เพื่อนบอกให้ไปรอที่ร้านนี้เลยครับ เดี๋ยวมันจะมานั่งกินด้วย



อ ร่ อ ย บ า ท เ ดี ย ว เดี๋ยวๆ ชื่อร้านแปลกๆ นะ มันดูหลอกล่ออะ
รอได้ประเดี๋ยวหนึ่งเพื่อนก็ขี่มอเตอร์ไซค์มาหาผมละ แต่พอเพื่อนไปถึงคนเริ่มเยอะแล้ว ต้องรอเรียกคิวอยู่พักหนึ่งก็ได้ที่นั่ง



พอน้องเด็กเสิร์ฟเอาเมนูมาให้ เก็ทเลยครับว่าทำไมต้องบาทเดียว


ผมสั่งกับข้าวมา 4 อย่าง ประกอบด้วย

ผัดไข่ใส่ไชโป๊ว
เห็ดผัดน้ำมันหอย
แกงจืดไข่น้ำ
ยำผักบุ้งกรอบ


รีวิวแบบตรงๆ ไม่ได้อวยนะ แต่มัน อ ร่ อ ย ทุ ก อ ย่ า ง จริงๆ โดยเฉพาะเห็ดผัดน้ำมันหอยที่ไม่เหลือแม้แต่น้ำ (อร่อยที่น้ำนี่แหละ หอมกลิ่นซีอิ๊วกับน้ำมันหอย) แถมราคาไม่แพง (ทั้งหมดนี้แค่ 150 บาทเองนะ รวมค่าน้ำและข้าวแล้ว ถ้ากินแบบนี้ที่กรุงเทพรับรองไม่ต่ำกว่า 200 แน่นอน) ให้เยอะอีกต่างหาก (ต้องสั่งข้าวต้มเพิ่มอีกคนละ 2 ถ้วยถึงจะจัดการกับข้าวทั้งหมดเรียบ)



อะๆ เผื่อไม่เชื่อว่าเป็นของร้านนี้จริง



อิ่มแล้วก็ต้องเดินย่อยกันหน่อยนาจา เพราะต้องเหลือพื้นที่กระเพาะให้ของหวานด้วย ซึ่งเพื่อนผมจะพาไปกินของหวานที่ร้านฝั่งซ้ายของรูป



ร้านนี้มีชื่อว่า ห ม่ อ ง โ ง่ ย ซิ่ น เปิดเป็นร้านกาแฟ + Art Gallery
แค่มีคำว่าหม่องก็รู้แล้วว่าเจ้าของต้องมีเชื้อสายเมียนมา และได้ข้อมูลเพิ่มเติมจากพี่เจ้าของร้านคือ ชื่อร้านกับชื่อเจ้าของคือชื่อเดียวกัน และหม่องโง่ยซิ่นนี่แหละคือคนออกแบบตัวอาคารและ Interior ของที่นี่ เสียดายที่ผมเก็บข้อมูลไม่ละเอียดพอ เลยได้แต่ภาพบรรยากาศมาฝาก





เข้าร้านมาก็ถ่ายหลังร้านก่อนเลยครับ ไม่ถ่ายหน้าร้าน แล้วก็เดินออกไปหน้าร้านสั่งของหวานมากิน





มีความ H o n e y T o a s t



มีความเย็นชา เอ้ย ชาเย็น (เป็นชาสูตรพม่านะเออ)





เด็กน้อยผู้น่ารักที่ไหนครับ มารับกลับไปด้วย 555 หลอกๆ
ผมและเพื่อนก็ต้องกลับที่พักแล้วเหมือนกันครับ เหนื่อยทั้งวันจริงๆ จนไม่มีแรงเดินเล่นต่อแล้ว (ยังไม่สามทุ่มเลย จะรีบไปไหน) แถมพรุ่งนี้มีสองโปรแกรมใหญ่ต้องไปแต่เช้า ไว้มาเดินอีกทีเย็นวันต่อไปดีกว่า จะได้มาเก็บภาพอาคารเก่าๆ ด้วย

ไว้มาต่อกันตอนหน้าอีกเช่นเคย เดี๋ยวเพื่อนขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งผมที่บ้านท่าเก๊าม่วงก่อนแล้วเข้าบ้าน ขอบคุณมากๆ ที่มานั่งกินข้าวเป็นเพื่อน




EP 6 : ล ำ ป า ง ห ล ว ง
เริ่มต้นวันที่สองของทริปที่เวลาตีห้าครึ่ง ผมตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปไหว้พระที่วัดพระธาตุลำปางหลวง ซึ่งครูสดศรีบอกผมตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่า จะไม่ไปวัดอื่นก็ได้ แต่มาลำปางแล้วจะไม่ไปวัดพระธาตุลำปางหลวงไม่ได้ เพราะถ้าไม่ได้ไปวัดนี้ ก็เหมือนไม่ได้มาถึงลำปางจริง

ครูบอกให้ผมปั่นจักรยานข้ามสะพานรัษฎาภิเษกไปฝั่งกองต้าแล้วตรงไปทางไปรษณีย์ลำปาง ข้ามแยกบุญวาทย์ไปอีกหน่อยก็จะถึงคิวรถสองแถวไปลำปางหลวง (ลำปาง - เกาะคา) ให้จอดจักรยานไว้แถวนั้นแล้วนั่งรถไป





ผมถามลุงคนขับว่ารถจะออกเมื่อไหร่ ลุงแกบอกว่าเวลาออกไม่แน่นอน ถ้าคนไปเยอะก็ออกเร็ว ถ้าคนยังน้อยก็ต้องรอหน่อย เหตุผลคือไม่คุ้มค่าน้ำมัน เพราะค่าโดยสารแค่ 20 บาทตลอดสาย (เฉพาะคนเมืองเน้อเจ้า) ในขณะที่ลุงแกต้องวิ่งรถทั้งเที่ยวไปและกลับจากลำปางไปเกาะคาตลอดทั้งวัน แต่โชคดีตรงที่ช่วงเช้ามีคนมาจ่ายตลาดแล้วกลับบ้านค่อนข้างเยอะ เลยใช้เวลารอแค่ครึ่งชั่วโมงรถจึงออก

แต่ถ้ารีบ ไม่อยากสโลว์ไลฟ์ ก็นั่งพี่แกร๊บเมืองลำปางไปได้ ราคาก็จะคิดเหมาไปกลับรวม 600 บาท (เหมาะสำหรับคนที่มาเป็นแก๊ง 4 คนขึ้นไป)



จากลำปางมาเกาะคาใช้เวลาไม่นานนัก รถจะหมดระยะแค่ตัวอำเภอเกาะคา ต้องออกนอกตัวอำเภอไปอีก 5 กิโลกว่าจึงจะถึงวัดพระธาตุลำปางหลวง ถ้าไม่มีรถส่วนตัวก็ลำบากนิดนึง แต่ผมโชคดีที่มีคนแถวนั้นขี่มอเตอร์ไซค์พาไปส่งที่วัดโดยไม่คิดตังค์ ต้องขอขอบพระคุณและขออภัยที่ไม่ได้ถ่ายภาพเก็บไว้เป็นหลักฐาน ณ ที่นี้ด้วยครับ



คนยังไม่มากเพราะยังเช้าอยู่ เดี๋ยวเราเข้าไปดูข้างในกัน



พระธาตุองค์จริงดูอลังกว่าที่เห็นในภาพเยอะครับ เห็นแล้วซาบซึ้งเลย









เก็บภาพบรรยากาศพอสมควรแล้ว ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่มีโอกาสแล้วไม่ควรพลาด นั่นก็คือ แตน แต่น แต๊นนนนนน



เ ง า พ ร ะ ธ า ตุ ก ลั บ หั ว นั่นเอง ซึ่งหลังพระธาตุจะมีวิหารเล็กๆ หลังหนึ่งที่พอปิดประตูจนมิดแล้วจะเห็นเงาดังกล่าว ซึ่งเข้าได้เฉพาะเพศชายเท่านั้น (หาสาเหตุไม่ได้ว่าทำไมไม่ให้เพศหญิงเข้า)



ดูชัดๆ อีกภาพฮะ (ปล. ภาพนี้มีการปรับแสงเล็กน้อย) ใช้หลักการเดียวกันกับที่วัดประตูป่องเลย





ไหว้พระแล้ว ส บ า ย ใ จ ก็ออกมาเก็บบรรยากาศด้านนอกกันอีกหน่อย ซึ่งในวัดมีบริการนั่งรถม้าเที่ยวชมชุมชนลำปางหลวงด้วยนะ แต่ผมขอกลับไปนั่งรถม้าที่เมืองดีกว่า (วางแพลนไว้พร้อมแล้ว) 









ปัญหาตอนขากลับคือ ไ ม่ มี ร ถ ส อ ง แ ถ ว เ ข้ า เ มื อ ง จ้ า
แล้วคนไม่มีรถส่วนตัวอย่างผมจะกลับยังไงล่ะครับ คำตอบคือต้องธุดงค์กลับเข้าเกาะคาเพื่อนั่งสองแถวเหมือนตอนเข้ามา



จากวัดไปเกาะคาห่างกันแค่ 5 กิโล ซึ่งเป็น 5 กิโลที่รู้สึกว่า ทำไมมันไกลจังวะ
แต่พอเดินไปได้แค่ประมาณ 2-3 กิโล ก็มีรถกระบะวิ่งผ่านมาแล้วเปิดกระจกถามผมว่า เข้าเมืองใช่มั้ย ถ้าเข้าก็ไปด้วยกันกับพี่เลย
โอเค ตามนั้น

พี่คนขับเป็นคนอุทัยฯ ซึ่งแกเพิ่งขับรถมาถึงลำปางแล้วยังไม่รู้ว่าจะไปไหนดีบ้าง เลยแวะมาที่ลำปางหลวงเป็นที่แรกก่อน แล้วพี่แกก็ถามผมว่าลำปางมีตึกเก่าๆ ให้ถ่ายรูปบ้างมั้ย ผมก็แนะนำให้ไปที่กาดกองต้าเลย ฟิลลิ่งจะเป็นแบบเชียงคานผสมกับภูเก็ต ซึ่งพี่แกก็โอเคและมาส่งผมที่กองต้าไปในตัวด้วย



ขอขอบคุณพี่เจ้าของรถคันนี้ที่มาส่งผมนะครับ (ขอสงวนป้ายทะเบียนรถ)
เรียบร้อยไปหนึ่งภารกิจแล้ว ภารกิจต่อไปที่ต้องพิชิตภายในช่วงเช้าก็คือ
นั่ ง ร ถ ม้ า ช ม เ มื อ ง 
ขณะนั้นเป็นเวลาเก้าโมงกว่าๆ เวลายังมีเหลือเฟือ เดี๋ยวเราเดินไปที่สถานีรถม้าตรงใกล้ๆ จวนผู้ว่ากัน (แถวๆ สะพานช้างเผือก)




EP 7 : ร ถ ม้ า
ต่อเนื่องภารกิจที่สองต่อจากไปลำปางหลวงมาด้วยการนั่งรถม้าชมเมือง ซึ่งจากกองต้าที่พี่ขับรถมาส่ง เราต้องเดินกลับไปที่แยกบุญวาทย์แล้วเลี้ยวซ้ายไปอีกหน่อย ก็จะถึงสถานีรถม้าที่ใกล้ที่สุดซึ่งอยู่ตรงข้ามสำนักงานที่ดิน





ก่อนจะนั่งรถม้า มาทำความเข้าใจกับค่าบริการกันก่อนเน้อ
รอบเล็ก ใช้เวลาราว 15-20 นาที ค่าบริการ = 200 บาท
รอบใหญ่ ใช้เวลาราว 30 นาที ค่าบริการ = 300 บาท
เหมารอบ 1 ชั่วโมง ค่าบริการ = 400 บาท


ซึ่งผมเลือกรอบ 1 ชั่วโมง มาทั้งทีต้องเอาให้คุ้ม



พี่สารถีถามผมว่าอยากไปไหน แกก็ไล่ตามสถานที่สำคัญต่างๆ ในเมืองซึ่งผมไปมาหมดแล้ว เหลือแต่วัดพระเจดีย์ซาวที่เลยวัดพระแก้วดอนเต้าไปอีกหน่อย โอเค ไปวัดพระเจดีย์ซาวกัน





ทางไปวัดต้องข้ามสะพานช้างเผือกพอดี เลยขอแวะถ่าย ต า น้ำ วั ง (เงาสะพานรัษฎาภิเษก) กลางสะพานซะหน่อย
ส่วนเส้นทางไปวัดพระเจดีย์ซาวคือเส้นทางเดียวกับที่ครูสดศรีพาผมไปวัดพระแก้วดอนเต้านั่นแหละ (พี่สารถีบอกเดี๋ยวพาแวะวัดพระแก้วดอนเต้าก่อน)

#อันนี้ต้องจด ข้อควรรู้เกี่ยวกับรถม้าลำปางจากคำบอกเล่าของสารถี
1. ม้าวิ่งได้สูงสุดวันละ 6 ชั่วโมง (โดยเฉลี่ย)
2. ม้าเป็นสัตว์ใหญ่แต่ใจเสาะ โดนแผลนิดหน่อยก็มีสิทธิ์ไปธุระที่เมืองผีได้ทันที (ออกแนวสำออยนิสนุง)
2. ม้าลำปางเป็นม้าพันธุ์พื้นเมืองเชื้อสายมองโกล (น่าจะเป็นผลมาจากตอนทัพมองโกลยกมาตีพุกาม อันนี้เดาจากข้อเท็จจริงนะ) 
3. คนลำปางเลี้ยงม้าตั้งแต่ก่อนสมัยสุโขทัยแล้ว ไม่ได้เริ่มเลี้ยงพร้อมการเข้ามาของรถม้าอย่างที่เข้าใจกัน
4. รถม้าลำปางเกิดขึ้นจากผลพวงของรถม้ากรุงเทพที่เริ่มหมดความนิยม เจ้านายในลำปางเป็นผู้ซื้อรถม้าต่อจากกรุงเทพฯ (ช่วงนั้นเป็นปลายๆ สมัยรัชกาลที่ 5)





ถึงแล้ว วั ด พ ร ะ เ จ ดี ย์ ซ า ว
มาล้าวต้องเข้าไปนับเจดีย์ให้ครบ 20 หลังนะครัช (ซาว = 20) เขาว่ากันว่าคนนับครบคือผู้มีบุญ 
(แต่ผมไม่ได้นับอะ ขี้เกียจ 55555)







แค่ได้มาซึมซับความเป็นล้านนาผ่านวัดต่างๆ ผมก็พอใจแล้วครับ











ก่อนกลับไปที่ท่ามะโอ ขอแวะมาดูกลุ่มแม่บ้านทอผ้ากันสักหน่อย



กำแพงเมืองลำปางนะฮะ ที่เหลืออยู่และได้รับการบูรณะก็มีแค่จุดนี้จุดเดียวแล้วครับ 



แปปๆ ก็กลับมาถึงท่ามะโอแล้วจ้า





ถึ ง ล้ า ว ว ว ว ว ว พี่สารถีแกขี่มาส่งถึงหน้าบ้านท่าเก๊าม่วงเลย ขอบคุณมากๆ สำหรับการนั่งรถม้าพาชมเมืองนะครับ
และแล้ว สองภารกิจใหญ่ในวันนี้ก็จบลงเพียงเท่านี้ ใช้เวลาครึ่งวันเช้าพอดิบพอดี

มีความอยากงีบสักหนึ่งชั่วโมงก่อนข้าวเที่ยง ของีบหลับแปปแล้วจะเดินไปเอาจั๊กที่จอดไว้ตอนเช้ามาตะลอนในเมืองต่อนะครับ

จริงๆ ถ้าโฟกัสเฉพาะที่เที่ยวในท่ามะโอก็ถือว่าครบถ้วนสมบูรณ์ทุกที่แล้ว ช่วงเวลาที่เหลืออยู่อีกวันครึ่งถือว่าโคตรชิลสำหรับผมละ ได้ปั่นชมเมือง ถ่ายรูปเก็บตกของแถมสบายๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก

อยากจะบอกคนชอบเที่ยวอีกอย่างหนึ่งคือ
คุณไม่จำเป็นต้องจริงจังกับการวางแผนเที่ยวเสมอไปว่า ทุกอย่างต้องเป๊ะ เพราะสิ่งที่คุณแพลนก่อนมากับสิ่งที่คุณได้สัมผัสจริง มันคือคนละโลก ทางที่ดีควรจะแพลนไว้หลวมๆ เน้นจุดสำคัญที่เราอยากจะไปจริงๆ แล้วเก็บส่วนที่เหลือเป็นของแถมเอา อย่างรีวิวครั้งนี้ผมมีเป้าหมายหลักคือ
ชุ ม ช น ท่ า ม ะ โ อ
ไม่ใช่ทั้งหมดของตัวเมืองลำปาง เพราะฉะนั้นถ้ารีวิวครั้งนี้อาจขาดบางอย่างที่น่าไปบ้างก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร (ผมหยุดเขียนเรื่องนี้ไปช่วงหนึ่งเพราะเครียดที่เก็บรายละเอียดไม่ครบ) แต่สุดท้ายก็ค้นพบสัจธรรมว่า 

ความเพอร์เฟ็กต์ไม่มีอยู่จริง
จะคิดมากไปทำไมในเมื่อผมทำเพราะผมชอบ ผมอยากส่งต่อเรื่องดีๆ ที่ดีๆ ที่อาจตอบโจทย์การเที่ยวของคุณ ไม่ได้ทำเพราะอยากให้คนมาชอบ


ถ้าสนใจที่นี่ สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่

Facebook : https://goo.gl/XBjEyA
Tel : 081-595-6820 เบอร์ครูสดศรี เจ้าของโฮมสเตย์บ้านท่าเก๊าม่วงนะครัช


ปล. ฝากแชร์ที่เที่ยวดีๆ แบบนี้กันด้วยน้าาาาา


ที่มา Pantip
Cr. Lordindiizstory