รีวิว สังขละบุรีหน้าฝน คนเดียว มันดีกับใจ


ละหยาดละหยด
ปรากฎประกาย
ละเส้นละสาย
เป็นซองกาเรีย

Credit : Kaf cafe

# รูปทุกรูปในทริปนี้ถ่ายด้วย Smartphone AIS Lava 870 และ แต่งรูปโดย Snapseed และสีของภาพจะคลุมโทนตามอารมณ์ ณ ขณะนั้น
11 สิงหาคม 2559
"ฮัลโหลๆ พรุ่งนี้ไปเที่ยวสังขละบุรีกันมั้ย?"  
"ไม่ว่าง" "ไม่ไป" "ขี้เกียจ"
นั่นคือคำตอบของคำถามตอนที่ชวนเพื่อนไป "สังขละบุรี"
หลังจากที่เสพรีวิวจากพันทิปจนข้อมูลแน่นแล้ว การรอคนอื่นก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป 
คืนวันที่ 11 เตรียมข้อมูล ศึกษาจากรีวิวต่างๆ และข้อมูลการเดินทางโดย "ละเอียด" (รึป่าว)
รวมถึงวางแผนและเป้าหมายในการเดินทางครั้งนี้คือเราจะใช้เวลาสำหรับทริปนี้เป็นเวลา 3วัน 28คืน "พักผ่อน"  พักจากเรื่องราว "บัดซบ" ที่พบเจอตลอด 2เดือนที่ผ่านมา และปล่อยเวลาให้ผ่านไปช้าๆ เสพทุกอย่างรอบกายให้มากที่สุด
ที่ไหนอยากไปก็ไป ที่ไหนขี้เกียจไปก็ไม่ต้องไป และตั้งใจว่าไม่จำเป็นต้องไปทุกจุดที่คนอื่นเค้าไปกัน
แต่ ครับ แต่!!!! ยังไม่มีที่พักเลย ทำไงดี โทรไปที่ไหนก็ "เต็มคะ" เต็มครับ" แต่ก็ "ไปครับ" ไปหาเอาดาบหน้าแล้วกัน เก็บกระเป๋าๆ ไม่ต้องรออะไรแล้วว

12 สิงหาคม ตื่นมาตี 5 (อย่าเรียกว่าตื่นเพราะยังไม่นอน) อาบน้ำแต่งตัวออกจากห้อง

สำหรับเราสิ่งที่จำเป็นต้องเอาไปเวลาเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัดหรือต้องไปพักตามโรงแรม
คือปลั๊กไฟพ่วง และ ร่ม (เช็คสภาพอากาศก่อนเดินทางด้วยนะครับ) เช็คจากกรมอุตุฯแล้ว ฝนตกจ่ะ ตกทุกวัน ตกจริงจัง
เตรียมรองเท้าไปสองคู่ รองเท้าผ้าใบที่ใส่สบาย ชินเท้าที่สุด และต้องมั่นใจว่ามันจะไม่ทรยศด้วยการกัดเราระหว่างทริป
และรองเท้าแตะ ไว้สำหรับใส่ในวันที่ฝนตก  ออกมานั่งรอแท๊กซี่นานมาก กว่าจะถึงหมอชิตก็เกือบ 6 โมงเช้า

การเดินทางวันนี้ผมเลือกนั่งรถทัวร์ขนส่ง 999 หมอชิต-ด่านเจดีย์สามองค์ เพราะเป็นวิธีที่สะดวกที่สุด นั่งต่อเดียวถึงเพราะรถจะแวะจอดในตลาดสังขละบุรีเลยตั๋วเดินทางวันนี้ 219 บาทถ้วน ระหว่างนั่งรอเวลารถออกนึกขึ้นได้ว่าในรีวิวที่เคยอ่านเค้าบอกว่าระหว่างทางโค้งเยอะมากระวังจะเมารถ  
ด้วยความรอบคอบของเรา ไปเซเว่นจ่ะ "พี่ครับเอายาแก้เมารถครับ"  อ่านดูเขาบอกว่ากินแล้วจะง่วง เราก็ซัดไปก่อนรถออก 1 เม็ด รอจนถึง6 โมง15รถก็มา

รถที่เราโดยสารวันนี้ เป็นรถ กรุงเทพฯ-ยะลา-เบตง แหม่ะ!! รู้สึกเหมือนได้กลับบ้านขึ้นมาทันที (จขกท เป็นคนยะลา)
นั่งรถไปจนประมาณ 9 โมงกว่าๆ รถก็จอดให้กินข้าวที่ไหนซักที่ (ต้มเลือดหมูไม่อร่อยเลย) กินข้าวเสร็ก็คิดขึ้นมาได้ว่ากินยาไปแล้วทำไมไม่ง่วงล่ะ 
เราต้องหลับสิจะได้ไม่เมารถ ก็เลยจัดการซัดไปอีก 1 เม็ด
หึหึหึ ไม่หลับก็ให้มันรู้ไปสิ ระหว่างนั้นก็เปิดเน็ตหาที่พักไปเรื่อยๆ จนได้ที่พักอยู่ที่หนึ่งคือ "บีโฮมสเตย์" โอเค หลับได้

หลังจากกินยาเม็ดที่ 2 ไปไม่นาน และวางใจเรื่องที่พักแล้วก็ "หลับ Zzzz" หลับแบบไม่รู้สึกอะไรอีกเลย ที่ใครๆเขาบอกว่า ปลายทางเป็นอย่างไรไม่สำคัญ ระหว่างทางต่างหากที่สำคัญและมีค่าที่สุด  จ่ะ!!! ตรูไม่รู้อะไรเลย ตรูไม่เห็นความสำคัญนั้นเลย ตื่นมาอีกที รถจอดที่ทองผาภูมิ หันไปดูป้ายข้างๆ โอ๊ะ ตั้งหลายกิโล หลับต่อ  ตื่นมาอีกทีเห็นป้าย บอกว่าอีก 30 กิโลถึงสังขละบุรี  อีกนิดแล้วกัน 

จึ๊กๆๆ  "น้องๆๆ น้อง!!! ลงไหนเนี่ย"   "สังขละครับ"  "โอ๊ย นี่มันจะออกพม่าแล้ว ลงๆๆๆ แล้วเดินย้อนกลับไปนิดนึงเลี้ยวซ้ายตรงโรงบาลก็ถึงแล้ว"
เชี้ย!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! "ครับๆๆๆๆๆๆๆๆ ขอบคุณครับ" พร้อมโกยทุกอย่างวิ่งลงจากรถ อุทานกับตัวเอง "ดีออกกกกกกกกก"
สะบัดหัวนิดหน่อยเรียกสติกลับมา โทรหาที่พัก เขาบอกให้เดินเข้ามาซอยข้างโรงพยาบาล โฮมสเตย์อยู่หน้าโรงพัก  เอ้อออดี ปลอดภัยไปอีก


อีก

ขออภัยลืมถ่ายรูปภายในห้องไว้  ห้องที่ได้เป็นห้องเล้กๆประมาณ 3*4 เมตร (โดยประมาณ) ห้องน้ำในตัว คือมันดีอยู่น๊าาาา ราคาก็ถูกด้วย 350 บาท
พักแปปนึงคุณลุงเจ้าของโฮมสเตย์ก็โทรติดต่อร้านเช่ามอร์ไซค์ให้ เลยเดินไปขึ้นวินหน้าเซเว่น "พี่ๆ ไปบ้านป้าคำใส ซอยหน้าวัดครับ"

ราคาค่าวินมอไซค์ 20 บาท (คนที่นี่เรียกกันว่า "เมล์เครื่อง")

นี่เลย ฟีโนคู่ใจ "พวกเราฟีโน่...ยังไงก็ฟีโน่" (ในทีวีมันว่างั้น)
ค่าเสียหายวันละ 200บาทถ้วน หลังจากได้มอไซค์แล้วที่หมายแรกคือ "สะพานไม้" โดยผมเลือกที่จะขับไปฝั่งมอญเลยดีกว่า  
(สารภาพจริงๆคือไม่รู้ทาง ขับไปขับมาก็โผล่ฝั่งมอญแล้ว) #โคตรโง่ 
ขับมาถึงหัวสะพานฝั่งมอญหาที่จอดแล้วเดินเล่นดูนั่นนี่ไปเรื่อย ตั้งแต่กินต้มเลือดหมู(ที่ไม่ค่อยอร่อย)ไปตั้งแต่เช้าก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องอีกเลย
หิวแล้ววววววววววว หาไรกินหน่อย เลยเดินหาขนมจีนน้ำยาหยวกกล้วยที่ใครๆก็บอกว่ามันอร่อยยย จัดไป

รสชาตก็... โอเคนะ ก็ขนมจีนแหละเนอะ จานนี้สนนราคา 30บาท  อ๊าววว!!!!!! แล้วไหนใครบอกว่า 10บาทว่ะ (ได้แต่คิดในใจแล้วก็จ่ายไป)
ฝั่งมอญเป็นหมู่บ้านเล็กๆที่แสนจะมีสเน่ห์เหลือเกิน บ้านหลังเล็กๆ ปลูกติดๆกัน รั้วชิดกัน ชาวบ้านที่นั่นดูใช้ชีวิตกันแบบเรียบง่าย 
ถ้าไม่มีนักท่องเที่ยวที่ครึกครื้น ผมว่าที่นี่น่าจะเป็นหมู่บ้านที่สงบ และน่าอยู่มากที่เดียว มันน่ารักจริงๆนะ

ส่วนตัวชอบบ้านหลังนี้ หลังเล็กๆ ดูเก่าๆ ถึงแม้จะได้รั้วชมพูพิงค์จากบ้านข้างๆมา แต่ก็ยังคงความคลาสสิคอยู่ 
มองเข้าไปในบ้าน ทำให้นึกถึงบ้านในหนังเรื่อง The Letter จดหมายรัก (แอน-หนุ่ม) #หนังบอกอายุ
เดินไปไม่นาน ฝนเทลงมา เทลงมา เทลงมา (เพลงสมัยครูสอนอนุบาลสอนให้ร้อง) 


หลบฝนใต้สะพานก่อนดีกว่า ว่าไปมุมนี้ก็สวยเหมือนกันนะ ทางเดินเลียบใต้สะพานก็จะมีร้านค้าเล็กๆติดๆกันที่ขายสินค้าคล้ายๆกัน 
ในราคาที่เท่ากัน (แต่ลดไม่เท่ากันนะจ๊ะ) แอบกระซิบบอกให้ต่อดีๆ เดินหลายๆร้าน ต่อหลายๆร้านแล้วค่อยตัดสินใจซื้อของบางอย่างก็ราคาถูกอย่างเหลือเชื่อเลยล่ะ  

อย่างกระเป๋าใบนี้ราคา 150 บาท เป็นผ้าอะไรซักอย่าง ใบใหญ่ ตัดเย็บดี (แม่ค้าบอกว่าเป็นฝีมือคนแก่ในหมู่บ้าน) เลยซื้อมาฝากน้องซะเลย
ตลอดเวลาที่เดินอยู่ที่นี่ เสียงที่คุ้นหูที่ได้ยินแทบจะตลอดเวลาคือ "ทาแป้งมั้ยจ๊าาา แล้วแต่จะให้จ้าา"
ใช่ครับ! แป้งพม่า หรือทานาคานั่นเอง ก็เลยให้เค้าทาไป ให้ไป10บาท หลังจากที่หน้าเรามีแป้งแล้ว เสียงเหล่านั้นก็จะหายไป เพราะเค้าคงเห็นว่าเรากลายเป็นพม่าไปแล้ว 
รอจนฝนหยุดตกก็ขับมอไซค์กลับที่พัก ของีบซักหน่อย (ยังจะนอนอีกหรอ? นอนบนรถยังไม่พอหรอ) เออ ยังไม่พอ 
กลับไปหลับไปประมาณ 5 ชม (งีบ?)  ตื่นมาประมาณ 5ทุ่มกว่า หิว!!! ทำไงอ่ะ ป่านนี้ชาวบ้านคงปิดร้านนอนแล้วมั้ง ไปเซเว่นแล้วกัน
แต่โชคยังเข้าข้างเรา เช่นเดียวกับที่ไม่หลับไปโผล่พม่าเมื่อบ่าย 555  มีร้านเปิดอยู่  หมูจุ่มพม่าไม้ละบาทในตำนาน

ตอนอ่านกระทู้รีวิว ก็จินตนาการไปว่า ไม้นึงคงมีหลายชิ้น แต่ไม่ครับ!! ไม้ละชิ้นเท่านั้น แต่ก็นั่นแหละครับคุณผู้โชมมม ไม้ละบาท
แต่ขอบอกว่ารสชาตดีมากนะ คล้ายหมูพะโล้แต่ก็ไม่เชิง น้ำจิ้มรสเด็ด และ 45 ไม้ที่ฟาดไปนั้น ก็คงการันตีความอร่อยได้จริงๆ
กินเสร็จก็กลับที่พัก คุณลุงเจ้าของโฮมสเตย์ยังแซว "คนกรุงเทพนี่เค้ากินข้าวดึกเหมือนกันเนอะ"

ในวันแรกก็มีแค่นี้ ขอตัวไปนอนก่อน (นอนอีกแล้ว?)  สำหรับวันนี้ นอนหลับฝันดี ราตรีสวัสดิ์ครับคุณผู้ชม  (พูดด้วยเสียงวู้ดดี้)


อรุณสวัสดิ์ เฮ้ๆๆๆๆ
13 สิงหาคม 2559

05.00 น. ตื่นๆๆๆ ตื่นได้แล้วว
อาบน้ำแต่งตัวออกมา ตั้งใจจะไปใส่บาตรที่สะพาน  ขับออกจากที่พักมา ก็ตรงๆๆๆๆๆๆตรงอย่างเดียวไม่ต้องเลี้ยวไหน ก็จะถึงหัวสะพานฝั่งไทย
6 โมงเช้าคนยังไม่เยอะเท่าไหร่ ได้ยินแม่ค้าบอกว่าพระมา 7 โมงครึ่ง  จ่ะ รีบตื่นทำไมไม่เข้าใจ  แต่ไหนๆก็มาแล้วก็เดินเล่นก่อนดีกว่า
เก็บภาพมาฝากเล็กๆน้อยๆ

อันนี้เป็นมุมจากสะพานแดงซึ่งอยู่ติดกัน เดินต่อกันยาวๆจ้าาา

นางนอนแบบไม่สนใจใครใดๆทั้งสิ้น จะเดินก็เดินไปสิ!!!!

นางชื่อสิงโต (ถ้าจำไม่ผิด) นักกระโดดน้ำในตำนาน ชื่นชมในความใจกล้า ของนางจริงๆ

ระหว่างรอพระมาก็หามื้อเช้ากินกันก่อน  เห็นร้านนี้คนเยอะดีน่าจะอร่อย ลองหน่อยแล้วกัน


เมนูวันนี้ขอเสนอ โรตีแกงฮังเลหมู กาแฟโบราณ และไข่ลวก


เฮ้ยยยยยแกรรรรรรร  โรตีแกงฮังเลหมูมันดีนะเหว่ยยยยยยยย อร่อยดี แป้งโรตีนุ่มๆหอมๆ แกงรสชาตอร่อย 
ส่วนกาแฟก็คือกาแฟ ไข่ลวกก็คือไข่ลวก รสชาตมันก็แบบนั้น กินที่ไหนก็คงจะเหมือนกัน อาหารมื้อนี้ให้ คะแนนเต็ม
อ่ะๆๆๆ กินเสร็จพระก็มา (แหม่ะ ลืมไปแล้วว่าจุดประสงค์จะมาใส่บาตร)



เท่าที่สังเกตมาแอบสงสัยอยู่อย่าง ว่าทำไมถึงไม่มีใครใส่บาตรด้วยกับข้าวเลย มีแค่อาหารแห้งและข้าวสวย
เลยแอบถามคุณยายที่ขายชุดอาหาร ได้คำตอบว่า โดยปกติชาวมอญจะใส่บาตรด้วยข้าวสวยเท่านั้น
ส่วนกับข้าวชาวบ้านจะช่วยกันทำไปถวายที่วัด หรือไปช่วยทำกันที่วัน  อ๋อออออออ ขอบคุณป้าครับ

หลังจากใส่บาตรก็ขับมอไซค์ไปเที่ยววัดในระแวกนั้น  แต่น่าเสียดายที่โทรศัพท์แบตหมด ไม่ได้ถ่ายรูปมาเลย
ขอบอกว่าวัดที่นั่นสวยมากนะครับ อยากให้ทุกคนได้ไปสัมผัส

พักช่วงเช้าไว้ก่อน กลับที่พักไปชาร์ตแบต แล้วเรามาต่อช่วงบ่ายกันนะครับ  อดใจรอซักครู่


มาต่อช่วงบ่ายของวันที่ 2 กันดีกว่า 
หลังจากกลับที่พัก นอนงีบ (อีกแล้ว)
ตื่นมาบ่ายสาม ขับมอไซค์ไปร้านกาแฟที่ใครๆก็พูดถึง "Kaf cafe"
ชอบบรรยากาศร้านนี้ ทั้งตัวภายในร้าน และสภาพแวดล้อมรอบข้าง ขอเล่าด้วยภาพเลยแล้วกัน







จำข้อความนี้ได้มั้ยครับ  นี่แหละครับ ที่มาของมัน

และเมนูที่หลายๆกระทู้แนะนำให้สั่งที่ร้านนี้ นั่นก็คือๆๆๆๆๆๆ  "โกโก้ร้อน" ราคา 45 บาท

เออว่ะๆๆๆๆๆ อร่อยๆๆๆๆ หอม ไม่หวานมาก(ร้านจะให้น้ำตาลแดงมาใส่เองตามความชอบ) 
แต่ความหอมของโกโก้ ให้ไปเลยเต็มสิบ
นั่งแหง่วติดฝนอยู่ที่นี่ประมาณ 3 ชั่วโมง ระหว่างนั้นก็มีลูกค้าหนีฝนเข้ามาเรื่อยๆ
ทั้งไทย ทั้งเทศ แต่บรรยากาศเงียบสงบก็หายไปเมื่อมีครอบครัวใหญ่เข้ามา พร้อมเด็กๆอายุไม่เกิน5ขวบ ประมาณ 7คน
โอ้โหววว คุณครับบบ ผมยอมเสียมารยาทโดยการหยิบหูฟังขึ้นมาใส่แล้วเปิดเพลงดังๆทันที
แต่ก็อีกนั่นแหละ เด็กก็คือเด็ก น้องเค้าก็เล่นกันตามประสา ผู้ปกครองก็หันมาส่งสายตาขอโทษขอโพยกันไป
นั่งจนไม่มีอะไรทำดีหน่อยที่ร้านนี้เค้ามีหนังสือให้เลือกอ่าน ถ้าเข้าใจไม่ผิดหนังสือเหล่านั้นเป็นของเจ้าของร้านซึ่งเป็นนักเขียนด้วย
บรรยากาศตอนฝนตกมันช่วยดึงสเน่ห์ของร้านนี้ขึ้นมาได้มากโข 
ปล.ถึงหญ้าหน้าร้านจะสูงไปหน่อย (ช่วงนี้ฝนตกหญ้าอุดมสมบูรณ์ เจ้าของร้านคงตัดไม่ทัน)
สำหรับร้านนี้ในเรื่องของบรรยากาศภายในและสภาพแวดล้อมภายนอก รวมถึงรสชาตของเครื่องดื่ม ผมให้คะแนนเต็มเช่นกัน
น่าเสียดายตอนที่ไปพิซซ่าหมด ไม่งั้นจะลองสั่งมากินดู 

นั่งรอจนฝนหยุดก็ตัดสินใจว่าจะนั่งเรือไปวัดบาดาลดีมั้ย  แต่ไม่ทันได้ตัดสินใจฝนก็เทลงมาอีกรอบ นั่นแหละครับคำตอบของผม
จะให้รอต่อไปคงไม่ไหว ปวดไขข้อไปหมด(รุ่นนี้อะไหล่ไม่มีให้เปลี่ยนแล้ว) ฝ่าฝนกลับที่พักดีกว่าาาาาาาาาาา
สำหรับวันที่สองก็มีแค่นี้ กลับไปใช้ชีวิต Slow life ที่โฮมสเตย์ต่อ 

อ้อ จะบอกว่าคืนนี้ก็แอบไปกินหมูจุ่มพม่ารอบดึกอีกตามเคย  พรุ่งนี้กลับแล้ววววววว โปรดติดตามการเดินทางที่แสนทุลักทุเลในตอนกลับ


อรุณสวัสดิ์เช้าวันสุดท้าย ณ สังขละบุรี
เช้านี้ฝนตกตลอดตั้งแต่เมื่อคืนยังไม่หยุด แต่ก็หาได้ย่อท้อไม่ ร่มที่พกมา เพิ่งเอาออกมาใช้วันนี้
กางร่มออกไปใส่บาตรเหมือนเดิม ทานข้าวร้านเดิม โรตีแกงฮังเลหมูเหมือนเดิม เดินเล่นที่เดิม เสร็จเรียบร้อยประมาณ 8 โมง
ขับมอไซค์ไปคิวรถหมายจะจองตั๋วกลับกรุงเทพรอบ 09.30 น. แต่ได้คำตอบมาว่า "รถจะออก8โมงครึ่งนะครับ"
คุณพระ มือทาบอก เหลือเวลาครึ่งชั่วโมง กระเป๋ายังไม่เก็บ รถยังไม่คืน ทำไงล่ะ  รถตู้คือคำตอบ
เอาจริงๆในใจก็แอบกลัวกับการนั่งรถตู้ แต่ก็เลือกไม่ได้เลยจองรถไปรอบ 9โมงครึ่ง
รีบกลับที่พัก เก็บกระเป๋า เอามอร์ไซค์ไปคืน เรียกวินมอร์ไซค์ไปส่งที่คิวรถ ไปถึงรถก็ออกพอดี
จุดพีคมันอยู่ตรงนี้ครับคุณผู้ชม คุณยังจำโค้งเยอะๆระหว่างทางได้มั้ย คุณยังจำยาแก้เมารถได้มั้ย และคุณยังจำโรตีแกงฮังเลได้รึป่าว
นั่นแหละครับ ยาแก้เมารถที่ไม่รู้หายไปไหน มันทำให้เกิดเหตุการณ์ที่สุดแสนจะทรมาน
"พี่ครับๆ เราจะจอดอีกครั้งที่ไหน"  "โน้นนน ทองผาภูมินู้นแหละน้อง อีกซักร้อยโล" โอ้ววววววววววว ทาบอกอีกครั้ง
"ทำไมปวดฉี่หรอ" "ป่าวครับ ผมจะอ้วก"  "น้องเดี๋ยวๆๆๆๆๆๆๆๆ งั้นตรงนี้เลยยยใจเย็นๆ"  เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดดดดดด  #ข้างทาง
ไฮฮฮฮฮ สวัสดีแกงฮังเล เจอกันอีกแล้วนะ  ทุกสิ่งที่กินไป ออกมาทักทายเรา และสายตาประชาชีนับสิบชีวิตบนรถอีกครั้ง
พี่คนขับรถเลยให้เรามานั่งข้างหน้าแทนคุณลุง แล้วบอกให้มองไปไกลๆ มองวิว มองภูเขาไป  เออว่ะ มันช่วยได้จริงๆนะ
ขอบคุณพี่คนขับ และคุณลุงที่ยอมสละที่นั่งให้ผมมมมมม
ถึงทองผาภูมิ รีบลงไปเข้าห้องน้ำอีกครั้ง ดีที่ไม่มีอะไรออกมาแล้ว เลยเข้าร้านค้า ซื้อบ๊วย มะขามแก้วกินซะหน่อย หลับต่อสบายย
สถานีต่อไปขนส่งกาญจนบุรี

ไปถึงสถานีขนส่งประมาณบ่ายโมงสิบห้า มองห้าวินรถตู้อนุเสาวรีย์
คนขายตั๋วบอกว่ารถออกทุกๆ 10 นาที น้องไปทำธุระให้เสร็จแล้วค่อยมาซื้อ
เลยเดินไปหาข้าวกินก่อนแล้วกัน อ้วกออกไปหมดแล้วชักเริ่มหิว

มื้อสุดท้ายที่กาญจนบุรี ฝากท้องไปกับข้าวหมูกรอบพิเศษ ราดน้ำเยอะๆ 40บาท  อร่อยด้วยนะเอออออ
กินเสร็จกลับมาซื้อตั๋ว และยืนรออออออออออออออออออออออออออออออออออออ

คนขายบอก รถคิวที่ 9นะ  แต่ตอนนี้เพิ่งคิวที่ 6 "แต่ละคิวประมาณกี่นาทีหรอครับ"  "ก็ซัก 20นาทีอ่ะน้อง"
คิดในใจ อ้าวตะกี้พี่ยังบอกทุกๆ10นาทีอยู่เลย!!!!! ยืนรอไปดิ ระหว่างรอเห็นรถเอราวัณ จึงทำให้รู้ว่า ทริปหน้าเราจะไปไหนกันดี
ใครสนใจไปด้วยกันลงชื่อเล๊ยยยยยยยยย

รออีกซักพัก ก็ได้ขึ้นรถ กลับถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิโดยสวัสดิภาพ เวลาประมาณ6โมงเย็น

สุดท้ายเหตุผลที่ผมมาเขียนกระทู้รีวิวนี้ เพื่ออยากบอกต่อถึง "สังขละบุรี" "การเดินทางคนเดียว"  ในอีกแง่มุมหนึ่ง
ผมไม่รู้ว่าการออกเดินทางของแต่ละคนจะต้องมีเหตุผลอะไรประกอบบ้าง แต่หากเราลองตัดเหตุผลต่างๆทิ้งไปบ้าง
เหลือแค่ "อยากไป" และ "จะไป" ทุกคนจะได้เห็นในมุมที่ผมเห็นแน่นอน ขอบคุณทุกอย่างในทริปนี้
ขอบคุณบุคคลทุกคนที่เกี่ยวข้อง ขอบคุณความกล้าของตัวเองที่ตัดสินใจออกมาจากห้องอุดอู้
และขอบคุณ "สังขละบุรี" เมืองเล็กๆในแผ่นดินผืนใหญ่ ที่ต้อนรับเราอย่างอบอุ่น 
อยากให้ทุกคนได้มาที่นี่ ไม่ว่าจะฤดูไหนก็ตาม ผมเชื่อว่าที่นี่จะยังคงมีเสน่ห์ให้ทุกคนได้หลงไหลในทุกๆฤดู
ออกมาเถอะครับ มาเที่ยวกัน ...... มันดีกับใจจริงๆ
.
AUNNANON AT SANGKHLABURI 12-14 AUGUST 2016
.
.
.
.
.
.
เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ชาวบ้านบอกว่า ทาแป้งที่สันจมูก แปลว่า โสด เลยลักไก่ทาซะหน่อย โสดแค่3วันก็ยังดี
.
บ๊ายบายยย  ขอบคุณทุกการติดตาม แล้วเจอกันทริปหน้า  สวัสดีครับ
ที่มา Pantip
Cr. สมาชิกหมายเลข 1324540