รีวิว แบกเป้ขึ้นรถไฟ ต่อรถเมล์ฟาสต์8 ไปโผล่อีกทีอ้าวววว "สังขละบุรี" นี่หว่า

ฮัลโหลลลลลลลล สองโหลสามโหล เอาหล่ะได้ฤกษ์งามยามดี หญิงจะมาบอกวิธีไปเดินเล่นชิคๆคูลๆที่สังขละบุรีกัน 
เราไปสังขละมาเมื่อวันที่ 23 24 25 รวมๆก็ 3 วัน 2 คืนพอดี ไปเป็นแกงค์ชะนีกับเพื่อน อีก 3 รวมเราด้วยก็ 4 พอดีไม่มีเกิน 
จะเขียนรีวิวตั้งนานละ แต่ไม่ว่างปั่นงานจนบ้านจะไฟไหม้ นี่งานก็เพิ่งเสร็จ เลยเพิ่งได้ฤกษ์มารีวิว นี่เป็นกระทู้แรกนะจ๊ะ

จริงๆเป็นคนชอบไปเที่ยวนะ แบบอยากไปก็ไป แต่ไม่ค่อยชอบทำรีวิวเพราะเรารู้สึกว่าเราไม่อยากทำ 55555 
แต่สำหรับกระทู้นี้ที่ต้องทำ ! เพราะเพื่อนบอกให้ทำ 5555 และเราอยากให้คนที่จะไปเที่ยวสังขละบุรีรู้วิธีไปถึงแบบแน่นอน
ไม่ต้องไปใจเต้นตุ้มๆต่อมๆแบบเรา ตอนแรกเราก็ด่อมๆมองๆหาข้อมูลอยู่ในพันทิปนี่แหละ ถามจากน้องที่เคยไปมาบ้าง 
หาข้อมูลจนมั่นใจแล้วว่า ยังไงฉันก็ไปถึงสังขละบุรีได้แน่นอน !! แต่ผิดคาดเกือบจะพลาดรถเมล์เที่ยวสุดท้าย 
เกือบจะต้องนั่งร้องไห้อยู่ข้างทาง ถ้าไม่เจอคุณลุงใจดีคุณลุงชื่อสมบัติ เป็นหัวหน้าชมรมปั่นจักรยานอะไรสักอย่างนี่แหละ 

การเดินทางครั้งนี้เราใช้บริการรถไฟไทยค่ะ เดี๋ยวนี้เค้าออกตรงเวลาแล้วนะค่ะ รอบ 7.50 น. 
ไปก่อนเวลาสักครึ่งชั่วโมง เพื่อเอาบัตรประชาชนไปแลกตั๋วรถไฟ 
  
ได้ตั๋วแล้ว เย่! พร้อมค่ะ Let's Go ออกเดินทางกันเล้ย 


ขบวนนี้ไงที่จะพาเราไปกาญจนบุรี

หลับๆตื่นๆ จนมาถึงแม่น้ำแคว กาญจนบุรีแล้วเหรอเนี่ย หยิบกล้องมารอๆทางรถไฟสายมรณะ
แล้วก็หลับอีกรอบเพราะนานมากกว่าจะถึง พาพันง่วง


เรานั่งรถไฟไปถึงสถานีน้ำตกประมาณบ่ายโมง  หิวข้าวมาก ก็แวะหาข้าวกิน ร้านใหญ่ๆที่อยู่ข้างสถานีเลย
คุณลุงในร้าน ก็บอกเราว่า ให้ไปขึ้นรถตู้ที่จะไปสังขละ รถเค้าจอดตรงปั๊มเดี๋ยวให้สองแถวพาไป 
อะเราก็เชื่อไง นี่คนในพื้นที่นะไม่เชื่อได้ไง ใช่มะ 55555555555 พอรถสองแถวเอาเราไปปล่อยที่ปั๊มปุ๊ป 
ก็วิ่งดุ๊กๆ ไปหาคุณพี่รถตู้ พี่บอกไม่รับนะน้อง พี่ไม่รับคนกลางทาง ปัง ปัง ปัง เหมือนโดนยิ่งแสกหน้าค่ะ 
แล้วหนูจะไปต่อยังไงค่ะพี่ขาา า า า พี่เค้าบอกว่า รถตู้ไม่รับคนระหว่างทางค่ะ ถ้าจะขึ้นต้องไปขึ้นที่ต้นทาง 
คือตัวอำเภอเมืองกาญจนบุรี......ไงหล่ะนวล แล้วทีนี้นวลจะไปยังไง นวลจะเดินไปเหรอนวล ม้ายยยยยย
พาพันเศร้า
ด้วยความโชคดีเหมือนฟ้าประทาน มีคุณลุงคนหนึ่งเดินเข้ามาหาค่ะ ลุงถามจะไปไหนกันเดี๋ยวลุงไปส่ง 
ลุงใจดีมากกกกกกกกก พาเราไปส่งขึ้นรถเมล์ ถามคนแถวนั้นให้เรียบร้อยเลยว่า ยังมีรถเมล์ไปถึงสังขละอยู่มั้ย 
ใจดีมากซึ้งน้ำใจคุณลุงจริงๆค่ะ ถ้าไม่ได้คุณลุงสมบัติ ทริปพวกหนูล่มแน่ๆ กราบค่ะ รถเมล์เที่ยวสุดท้ายหมดบ่ายสองโมงนะคะ
อย่ามั่วหาของกิน นั่งเมาท์มอยเพลินแบบพวกเรา เพราะคุณอาจจะพลาดรถรอบสุดท้าย เราเตือนคุณแล้วน้าาาา 



บรรยากาศบนรถ แอร์ธรรมชาติเย็นฉ่ำ ลมตีปึ้งๆ จนหน้าชาไปหมดเลยค่ะ 

พอขึ้นรถเมล์ได้ปุ๊ปก็หลับปั๊ป หลับๆตื่นๆก็ยังไม่ถึงสังขละสักที ค่าตั๋วรถเมล์คนละ 130 บาทนะ
คือคนเก็บตั๋วก็พูดไม่ค่อยเข้าใจ หรือเราฟังไม่รู้เรื่องก็ไม่รู้อะ ตอนแรกเข้าใจว่า ไอรถเมล์คันที่นั่งเนี่ย 
จะพาไปถึงสังขละบุรีเลย ก็นั่งๆไปสักพักประมาณ 4 โมง รถก็ไปจอดที่ตลาดทองผาภูมิ 
คนอื่นๆก็ลงกัน ก็มีเพื่อนร่วมชะตากรรมหลายคนที่จะไปสังขละเหมือนกัน นั่งๆมองหน้ากัน 
เอ้าเอาไงดีวะ เมื่อกี้พี่เค้าพูดว่าอะไรนะ สรุปว่าต้องลงป๊ะพี่ หนูไม่เก็ทเว้ย ก็เลยตะโกนถามพี่สรุปต้องลงปะ 
พี่ก็บอกไม่ลงน้องๆ แต่เดี๋ยวไปเปลี่ยนคันขึ้นอีกคันหนึ่ง อ๋อค่ะๆๆไปก็ไป เปลี่ยนรถเมล์เป็น 
กาญจนบุรี-ทองผาภูมิ คันนี้นี่แหละโอ้แม่เจ้าพี่จะไปเล่นฟาสต์ 8 เหรอค่ะ 


ขับไวมากย้ำว่าไวมาก แล้วทางเป็นภูเขาโค้งไปโค้งมา ยอมใจพี่คนขับจริงๆ 
ถ้าฟาสต์ 8 จะสร้างต้องเรียกตัว พี่เค้าไปร่วมแสดงด้วยนะคะ รับรองซิ่งนรกทะลุภูเขาแน่นอน 
พอ 6 โมงเย็น รถก็มาถึงสังขละบุรีโดยสวัสดิภาพ 

ชะนีมั่นค่ะ ที่พักก็ไม่ได้จอง จะมาวอคอินชิคๆคูลๆ แบบตอนไปปาย ชะนีมั่นใจยังไงก็ต้องมีที่พัก 
เอาหล่ะสิ!! โทรถามที่ไหนก็เต็ม พอลงจากรถก็เลยรีบ เรียกพี่วินไปหาที่พัก 
ตอนนั้นเดินไป กำลังจะถึงหน้าเซเว่น ก็มีเจ๊ผู้หญิงคนหนึ่ง เรียกเราถามว่าหาที่พักใช่มั้ย 
พักที่นี่มั้ยคืนละ 300 ต่อคน เราก็เดินเข้าไปดู แต่คือแบบแก นึกออกปะว่ามันเป็นบ้านเค้าเอง 
แล้วเป็นโถ่งทางเดินโล่งๆที่มี ศาลพระภูมิจีน(เรียกถูกมั้ย) ตั้งอยู่กับพื้น 
แล้วเอาที่นอนมาปูติดๆกัน ให้อารมณ์แบบมาเข้าค่ายลูกเสือเว้ยแก ไอเราก็ไม่เอาดิ 
บอกเจ๊แกด้วยเสียงสุภาพไปว่า ขอบคุณนะคะ หนูขอเดินดูก่อน เจ๊ก็สวนทันที ทำไมไม่เอาไม่ชอบใจอะไรตรงไหนเหรอ 
ทำหน้าเหวี่ยงๆ อินีก็ งง ไปเลยค่ะ เลยเดินออกมาแบบเงียบๆ 

สรุปสุดท้ายไปได้ที่พักเป็นโฮมสเตย์ตรงข้าม พีเกรสต์เฮาส์ อยู่ติดกับไฮกุเลย ชื่อ “เคียงดาว” 
เป็นโฮมสเตย์ของคุณป้าทิพย์ มีสองห้องนอน ด้านหลังบ้านเป็นลานโล่งๆ เอาไว้กางเต็นท์
ป้าเล่าให้ฟังว่ามีคนมาขอกางเต็นท์ แต่ให้กางไม่ได้ฝนมันตกหนัก ดินมันเละ 
แต่หน้าหนาว หน้าร้อนคุณป้าโอเค มีที่นอนให้ด้วย คนละ 200 บาท เหมือนกันค่ะ
ห้องที่เราพักป้าคิดคนละ 200 ต่อคืน เรานอนห้องพัดลม ห้องเดียวนอนกัน 4 คนเลย ป้ามีเตียงเสริมให้ 
อีกห้องมีคนพักอยู่ห้องแอร์ คืนละ 750 บาท แอบโปรโมทให้คุณป้าเพราะว่าใจดีมาก ที่พักก็สะอาด 
แต่ว่าเป็นห้องน้ำแยก อยู่ด้านนอกนะ เราข้ามไปพม่ามาซื้อทานาคามาฝากแม่ แล้วลืมไว้ที่สังขละ โง่มั้ยหล่ะ 55555 
โทรกลับไปหาป้ารบกวนให้ป้า ส่งกลับมาให้หน่อยป้าก็ส่งมาให้ เราก็โอนตังค่าส่งไปให้ป้า 
ป้าน่ารักมากจริงๆคอนเฟิร์ม ขอบพระคุณ คุณป้ามากๆด้วยค่ะ กราบครั้งที่สอง 

หน้าบ้านค่ะ ห้องนอนไม่ได้ถ่ายไว้ ขอสารภาพว่าเหนื่อยมาก เลยขี้เกียจ ให้อภัยหญิงด้วยค่ะ 


พอได้ที่พักเราก็ถามป้าว่าเช่ามอไซค์ได้ที่ไหนค่ะ ป้าบอกที่ ป้านี่แหละคันละ 200 ป้าเติมน้ำมันมาให้ 
บอกว่าน้ำมันตอนคืน ให้เติมมาเท่าเดิมที่เติมไว้ สรุปว่าไป 4 คน เช่า 2 คัน คันละ 200 คนละ 100 บาท 
ไม่ต้องวางมัดจำ เป็นรถเหมือนแบบ รถที่เอาไว้ใช้ส่วนตัวอะ ไม่ได้เป็นร้านเช่ารถนะ แต่ถือว่าขับได้ดีอยู่ 
พอได้รถก็แว๊นไปหาอะไรกินที่ตลาด แล้วก็กลับมานอน เวลาของวันแรกหมดไปกับการเดินทาง
ตั้งแต่ 6 โมงเช้ายัน 6 โมงเย็น หลับโซฟีแบบกระชับมากหลับสนิทตลอดคืน 


วันที่ 2 
คุยกันไว้ตั้งแต่เมื่อคืน แล้วว่า เช้านี้เราไม่ตักบาตรนะ เพราะคาดว่าไม่ตื่นแน่ๆ ค่อยไปตักวันสุดท้ายละกัน 
ก็เลยตื่นสายหน่อย ประมาณ 8 โมง อาบน้ำแต่งตัวนิดๆหน่อยๆ ไปหาข้าวกินในตลาด เมื่อคืนถามคุณพี่แม่ค้าที่ขายขนมจีน
ว่าอยากกินอาหารพื้นเมือง คุณพี่เลยแนะนำว่า ให้มากินแกงฮังเล ตรงร้านที่เก้าอี้สีชมพู เราก็คิดว่า จะเหมือนแกงฮังเล ของภาคเหนือมั้ย
พอได้กินเราว่าไม่เหมือนนะ รสชาติจะออกเค็ม มีกลิ่นเครื่องเทศ บอกไม่ถูก เอาเป็นว่าถ้ามาสังขละบุรี ลองมากินเองละกัน 


แกงฮังเลเครื่องใน กับแกงฮังเลหมู


ในจานสามเหลี่ยมคือซามูซ่า อันกลมๆคือแป้งโรตีค่ะ อร่อยดี

พอท้องอิ่ม ก็ต้องไปเที่ยงไง จะรออะไรอีก ดั้นด้นมาถึงนี่ต้องเที่ยวให้คุ้ม ช่วงเช้าเราไปนั่งเรือดูวัดใต้น้ำ 
แล้วก็ตกลงกันว่า บ่ายๆจะขับมอเตอร์ไซค์ ไปด่านเจดีย์สามองค์ เพราะดูระยะทางละ 29 กิโลเมตร แค่นี้ชิวๆ 

พอไปถึงสะพานแดง ก็จะมีน้องๆชาวมอญเดินเข้ามาถาม ด้วยท่าทางที่ถูกเทรนด์มาดี พี่ค่ะพี่ขาพูดจาสุภาพน่ารักทุกคำ 
น้องก็ถามว่า จะนั่งเรือชมเมืองบาดาลมั้ยเหมาลำ 500 บาท 4 คน มองหน้ากัน แล้วหันไปยิ้มตอบสวยๆ เดี๋ยวขอพี่เดินดูก่อนนะคะ 
น้องก็บอกว่างั้นหนูขออนุญาติเป็นไกด์แนะนำสะพานนะคะ แล้วแต่พี่จะให้ค่ะ จำไว้นะคะ ถ้าคุณมาสังขละให้พก 
เศษเหรียญหรือแบงก์ย่อยมาเยอะๆ แล้วแต่พี่จะให้คุณจะเจอตลอดทั้งทริปเลยค่ะ 55555555 
เดินบนสะพานแดงไปสักพัก เจอเด็กน้อยเสื้อแดงคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหา พร้อมกับพูดเชิญชวนว่าปะแป้งแบบชาวมอญมั้ยครับ 
แล้วแต่พี่จะให้ ตอนแรกบอกว่าไม่ทาจ๊ะ นางก็ออกอาการแบบนี้จนทางเราก็ใจอ่อน 


ถามไปถามมาได้ความว่า ชื่อเตย หม่อง หม่อง อายุ 5 ขวบเอง นางน่ารักประทับใจ ความช่างเจรจาของเด็กมอญห้าขวบตัวแสบ 
เดินไปเรื่อยๆ จนสุดสะพานแดง ก็เจอนั่งเรือชมวัดใต้น้ำ คุณป้าบอกมา 4 คน ป้าคิด 400 พอ 
ตอบแบบพร้อมเพียงกันว่าไปค่ะ 5555555555 นั่งเรือชิวๆตกคนละ 100 บาท ไปทั้งหมดสามที่ 
วัดแรกคือวัดศรีสุวรรณเป็นวัดกะเหรี่ยงค่ะ วัดที่สองเป็นวัดไทยคือวัดสมเด็จ วัดนี้ต้องเดินขึ้นบันไดไปอีก 60 ขั้น 
ส่วนวัดสุดท้ายคือวัดหลวงพ่ออุตตมะเป็นวัดมอญชื่อวัดวังวิเวกการาม 
นั่งเรือครั้งนี้มีไกด์กิตติมาศักดิ์ นั่งหัวเรือมากับเราด้วยนะคะ น้องชื่อน้องพีค่ะ ไม่ค่อยพูดเท่าไหร่ 
แต่น้องน่ารักดีค่ะมีน้ำใจ ร่มที่ป้าเจ้าของเรือให้ยืมมามันพัง น้องเลยไปหาอันใหม่มาให้ เด็กๆที่นี่น่ารักมากค่ะ 
รู้สึกว่าเค้ามาช่วยพ่อแม่ทำมาหากิน แต่ไม่ได้เรียกร้องอะไร นอกจากบอกแค่ว่าแล้วแต่พี่จะให้ครับ 
เด็กพวกนี้เค้าจะมาเฉพาะวันเสาร์อาทิตย์นะคะ วันปกติก็จะไปโรงเรียน  


บรรยากาศระหว่างล่องเรือ ที่เห็นไกลอยู่ลิบๆ คือเจดีย์พุทธคยาค่ะ


วัดศรีสุวรรณ


วัดศรีสุวรรณกับน้องพีไกด์ของเรา


วัดหลวงพ่ออุตตะมะกับเด็กน้อยชาวมอญ พอลงเรือปุ๊ปก็วิ่งมาหาเลยค่ะ 


วันที่ไปเห็นมีช่างภาพ กำลังถ่ายรูปแม่ชีอยู่ค่ะ ก็เลยแอบถ่ายแม่ชีมาด้วยเลย 


แดดร้อนมากกกกกกกกกกกกก


สะพานมอญ สวยงาม เม่าบัลเล่ต์

ช่วงบ่ายเราก็ขับมอไซค์ไปด่านเจดีย์สามองค์กันค่ะ ก่อนออกก็ลุ้น กันอยู่ว่าฝนจะตกมั้ยเพราะท้องฟ้ามืดมากเลย 
แต่มาถึงนี่ละ จะไม่ไปก็เสียดายเลยเสี่ยงไปดู ขับไปได้ครึ่งทางฝนเริ่มลงเม็ด แต่ไม่ตกนะแค่ปรอยๆ แล้วก็หายไป

นี่ไง วีดดดดดดดดด ด่านเจดีย์สามองค์ ถึงสักที 

พอเราไปถึงด่านเจดีย์สามองค์ เลี้ยวซ้ายเข้าไปจอดแถวๆหน้าวัด ก็มีคุณลุงถามว่าจะข้ามไปพม่ามั้ย 
คนละ 300 ร้อยบาท ทำบัตรผ่านให้ พาเที่ยวทั้งหมด 7 ที่ค่ะ รายละเอียดสถานที่จำไม่ได้ตอนนั้นรีบค่ะกลัวฝนตก 
เดินทางข้ามประเทศครั้งนี้ แบบว่ายิ่งใหญ่มากนานๆจะได้ออกนอกประเทศ มีไกด์ด้วยนะคะ น้องชื่อสุรชัย ชื่อเล่นชัยค่ะ 


สุรชัยไกด์ของเรา

เป็นเด็กอีกคนที่เราประทับใจมากในทริปนี้ น้องน่ารักค่ะ พูดเก่ง ยิ้มตลอดเวลาเลย ที่สุดท้ายที่เค้าพาไปคือตลาดค่ะ ชอบมาก 5555 
ได้ช็อปปิ้งก็ซื้อทานาคากันกลับมา แถมได้ไปกินหมูจุ่มพม่าด้วยนะคะ เจ้านี้เด็ดมากค่ะอร่อยสุดๆเลย คุณลุงบอกว่าขายมา 23 ปี 
อื้อหือ ขายก่อนเราจะเกิดอีก กินไปเยอะมาก ลุงก็แถมด้วย อร่อยจริงๆค่ะ ถ้ามีโอกาสไปเมืองพญาตองซู อย่าลืมแวะไปอุดหนุนคุณลุงนะคะ 

กินกันเยอะหลายสิบไม้มากกกกกกกกกก

อ๋อลืมบอกไปเราเป็นคนชอบพลอยมากเลย กะว่าข้ามไปพม่าอยากได้แหวนพลอยสักวง เดินดูอยู่หลายร้านแต่ไม่ถูกใจเลย 
พอดีเดินไปเจอร้านมายาศิลป์ค่ะก็เลยสั่งทำ พี่เค้าใจดีค่ะสั่งไว้แล้วส่งมาให้ที่บ้านค่าส่งไม่คิดด้วยค่ะ ได้แหวนแล้วสวยดีค่ะ
แต่ไซส์ใหญ่ไปไม่พอดีนิ้ว พอดีวันนั้นรีบมากเลยลืมวัดไซส์ไว้ อันนี้เป็นความผิดเราเอง 555555555

พลอยสวยๆทั้งนั้นเลย เห็นแล้วมีความละโมบ อยากได้หมดนี่เลย แต่ไม่มีตัง 55555

เกือบๆหกโมงได้เวลากลับแล้วค่ะ เพราะว่าด่านเค้าจะปิด 300 นี่คุมมากเลย อยู่กันจนด่านจะปิดเลยทีเดียว
กลับมาถึงตัวเมืองสังขละ หิวกันมากเพราะข้าวเที่ยงก็ไม่ได้กิน วันนี้ก็กลับมากินขนมจีนเหมือนเดิมค่ะ 
เพราะร้านขายของมีน้อย หน้าฝนถนนคนเดินไม่มีนะคะ เพราะเค้าบอกว่าถ้าฝนตกจะ เก็บของกันไม่ทันค่ะ 
แล้วก็คนน้อยเค้าเลยไม่ตั้ง ถ้าอยากมาเดินถนนคนเดินที่สังขละบุรี ให้มาหน้าหนาวกับหน้าร้อนรับรอง ว่าได้เดินแน่นอนค่ะ 


ขนมจีนร้านนี้อร่อยคนขายใจดีค่ะหน้าเนียนใสด้วย เราถามว่าใช้อะไรพี่บอกใช้ทานาคานี่แหละ พี่เป็นคนฝั่งนู่นคือฝั่งพม่าค่ะ 
ผู้หญิงมอญผู้หญิงพม่าสวยจริงๆค่ะการันตี กินอิ่มก็เข้าที่พักนอนหลับฝันดีพรุ่งนี้ต้องรีบตื่นเช้าไปใส่บาตร


มองวิวสวยๆ เมฆฝนตั้งเค้าดำทะมึนมาแต่ไกล แต่ไม่ยักกะตก 


เจดีย์อะไรไม่รู้ เราลืม


อันนี้วัดที่มีพระ 128 รูป ยืนเรียงกันเป็นแถวยาวมากเลย


เด็กแว๊นซ์ชาวเมืองตองซูค่ะ ใส่สะโหร่งด้วยนะเท่ห์มาก พี่งี้ใจละลายเลย


วันที่ 3 
ก็ตื่นกันแต่งเช้าค่ ะตื่นเต้นจะได้ไปเดินสะพานมอญ เป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย 
และยาวเป็นอันดับสองของโลกค่ะ อันดับหนึ่งอยู่ที่พม่า เราขับมอไซค์ไปลง ตรงรีสอร์ทสามประสบ
เจอพี่คนดังเซเลปชาวมอญด้วย พี่เค้าก็อาสาพาเราไปใส่บาตรที่ฝั่งมอญ พอดีตรงที่เรามาตอนแรก
มีพระอยู่ก็เลยใส่ตรงนี้ไปก่อน แล้วค่อยข้ามไปใส่ฝั่งมอญอีกที ใส่บาตรชุดละ 100 บาทค่ะ 


พี่เย็นเซเลปชาวมอญ

พอเดินข้ามไปสุดสะพานไม้ปุ๊ปชะนีก็หวีด ร้องทันที ม้ายยยยยยยยยยยยยย ตรงนี้มีตลาดด้วยอะแก 
เราไม่รู้รีบซื้อนู่นซื้อนี่กันใหญ่เลย ที่ตลาดแถวหน้าเซเว่น อยากบอกว่าถ้ามาไม่ต้องรีบซื้อนะคะ ฝั่งมอญก็มีตลาดให้เดินช็อปเหมือนกัน 
เราซื้อซิ่นลุนตยาอาเชะมาผืนหนึ่ง 450 บาท พี่เย็นเค้าบอกว่าแพง ไม่รู้ว่าแพงจริงมั้ย ใครรู้ช่วยตอบเราทีนะ 
แต่เราก็แฮปปี้นะชอบอะเราโอเค ตักบาตรเสร็จเรียบร้อย พี่เย็นสอนเทคนิคใช้หัวเทินของด้วยคะ เกรงคอมากกลัวหม้อหล่น 
พี่เค้าบอกว่าปกติพี่เรียงต่อกันได้ตั้ง 12 ชั้นนะ หม้อที่เอาไว้ใส่ข้าวตักบาตรอะ สูงนะนั่นความสามารถจริงๆ 
สายๆหน่อยเริ่มหิวข้าวพี่เย็นก็แนะนำว่า ให้มากินโจ๊กร้านนี้อร่อย เราก็เชื่อค่ะเชื่อคนง่ายมาก 
ก็อร่อยดีนะราคาก็ไม่แพง ชามละ 25 บาท โอวันตินร้อน 15 บาท ปาท่องโก๋ตัวละ 5 บาท 
อิ่มท้องแบบสบายกระเป๋า มื้อนี้ตกคนละ 50 บาทเองค่ะ 

ร้านโจ๊กชื่ออะไรไม่รู้นะ ลืมถ่ายไว้อะ แต่ร้านโจ๊กมีหลายร้านมาก 

อิ่มแล้วก็เดินเล่นนิดๆหน่อยๆ ก่อนกลับก็แวะไปเที่ยวชมเจดีย์พุทธคยา 
แล้วก็ไปวัดหลวงพ่ออุตตมะที่สร้างใหม่ค่ะ ทีนี้เราก็อยากส่งโปสการ์ดกลับบ้าน ขับรถวนหาร้านโปสการ์ดนานมาก 
ไม่เจอสวยๆเลย มาเจอร้าน oh dee hostel ด้านล่างเป็นร้านกาแฟ โปสการ์ดก็ไม่ได้สวยมากนะ แต่ก็ดีที่สุดเท่าที่หาได้แล้วอะ 
ใบละ 20 บาท รีบเขียน เขียนเสร็จก็ข้ามถนนไปซื้อสแตมป์ที่ไปรษณีย์แล้วก็ส่งค่ะ รีบมากเพราะจะได้เวลารถตู้ออกแล้ว
ซื้อตั๋วไว้ตอน 12.15 น. ค่ะ รีบจนลืมทานาคาทิ้งไว้ที่ oh dee กว่าจะรู้ตัว ก็ตอนที่มาถึง ตัวเมืองกาญจนบุรีแล้ว 
ไม่โง่มากทำแบบเราไม่ได้นะ 55555555555555 แต่จนปัจจุบันโปสการ์ด แผ่นนั้นก็ยังไม่ถึงบ้านสักที 
ไม่รู้ไปหลงทางอยู่แถวไหน รีบๆมาเหอะ อยากเจอแล้วอะ เม่าเหม่อ


พี่เย็นกำลังเล่าประวัติสะพานให้ฟังค่ะ 


ซิ่นลุนตยาอาเชะสีแดงลายเหลือง ที่ใส่อยู่คือผืนที่เราซื้อมา คนขายบอกว่าเป็นลายอองซาน 


เจดีย์พุทธคยา ตอนที่เราไปกำลังบูรณะอยู่


วัดหลวงพ่ออุตตมะ

ก่อนกลับบ้านเราแวะกินข้าวเที่ยงตรงร้านข้ามท่ารถตู้ค่ะ อิ่มท้องก็ขึ้นรถ ราคาตั๋ว 175 บาท 
เกือบๆ 4 โมงเย็นกว่าจะถึงตัวเมืองค่ะ ก็แยกย้ายกันกลับบ้าน เพราะเพื่อนกลับกรุงเทพ ส่วนเรากลับหัวหิน 
ราคาตั๋วรถตู้ กาญจนบุรี – หัวหิน 220 บาท โชคดีมากลงจากรถปุ๊ป มีรถออกไปหัวหินพอดี ก็เลยทันกลับบ้านรอบนี้
ไม่งั้นต้องรออีกเกือบชั่วโมง ประมาณสองทุ่มกว่าก็ถึงบ้านแล้วค่ะ เป็นอันสิ้นสุดทริปนี้โดยสวัสดิภาพ 
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะ อยากให้ไปเที่ยวสังขละบุรี ไปเที่ยวกันค่ะ 
ออกไปหาโลกกว้างแล้วคุณจะพบว่าหัวใจคุณจะค่อยๆแข็งแรงขึ้นโดยที่คุณไม่รู้ตัว พาพันดี๊ด๊า


ลากันไปด้วยภาพนี้ค่ะสะพานไม้กับเด็กน้อยชาวมอญ 

สรุป
วิธีไปสังขละ ถ้าเริ่มต้นที่กรุงเทพมหานคร มี 4 วิธีค่ะ (ใครมีเพิ่มเติมบอกได้เลยนะ)
1.นั่งรถทัวร์กรุงเทพ – ด่านเจดีย์สามองค์ รถออกรอบแรก 6.30 น. 
อย่าลืมบอกคนขับนะว่าลงสังขละ ไม่งั้นเค้าเอาไปปล่อยด่านเจดีย์เลยน้า ขึ้นรถได้ที่หมอชิตค่ะ

2.นั่งรถตู้จากอนุสาวรีย์ ประมาณ 180 บาทไปลงอำเภอเมืองกาญจนบุรี 
แล้วต่อรถจากอำเภอเมืองไปลงสังขละบุรีค่ารถอีก 175 บาทค่ะ

3.นั่งรถไฟฟรีขึ้นที่สถานีธนบุรีหรือสถานีบางกอกน้อยคือที่เดียวกัน รถออกรอบแรก 7.50 รอบ
สองไม่แน่ใจประมาณบ่ายโมง นั่งยาวไปค่ะ ไปลง ตัวอำเภอเมืองแล้วต่อรถตู้ที่อำเภอเมืองไปสังขละบุรีอีกทีหนึ่ง

4.นั่งรถไฟฟรีเหมือนกัน แต่ไปลงสุดสถานีที่สถานนีน้ำตก จากนั้นนั่งรถสองแถว บอกเค้าว่าให้ไปส่ง ตรงรถหวานเย็นที่จะไปสังขละ 
เป็นรถทัวร์สีส้มๆไม่มีแอร์นะ 130 บาท แล้วเค้าจะพาไปเปลี่ยนรถที่ตลาดทองผาภูมิ ทีนี้ก็นั่งยาวไปจนถึงสังขละบุรีได้เลย


อันนี้เพิ่มเติมนะ อยากเตือนว่าระวังแพ้ทานาคา 
เพื่อนเราแพ้ พอล้างออกเป็นรอยดำ เป็นทางยาวที่ทา ทานาคาไว้เลยอ่ะ 


ตอนทา ฝีมือการทาโดยเตย หม่องๆ


พอกลับมาถึงบ้าน เพิ่งสังเกตเห็นตรง จมูกเป็นรอยดำเลย

ระวังกันด้วยนะเผื่อใครแพ้ทานาคาแบบเพื่อนเรา 


ที่มา Pantip
Cr.หมูน้อยบนดวงจันทร์