รีวิว สาวถึกลุยเดี่ยวไม่ง้อรถ ณ เกาะเต่า ฟูลมูนปาร์ตี้

สวัสดีค่าาาาา....เนื่องจากเรามีโอกาสได้ไปเที่ยวเกาะเต่ามาแล้วอยากมาแชร์ประสบการณ์ต่างๆที่ได้ไปมา โดยเราอาจไม่ได้เขียนเน้นเชิงท่องเที่ยวซะทีเดียวแต่เป็นแนวเล่าเรื่องราวต่างๆที่เราได้พบเจอมา เพื่อความอรรถรสในการอ่านอาจมีการใช้คำไม่สุภาพบ้าง ซึ่งกระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของเราถ้าผิดพลาดยังไงต้องขอโทษไว้ด้วย ส่วนค่าใช้จ่ายเราจะมาลงไว้ให้ในตอนท้ายนะคะ



จุดเริ่มต้น

      ‘อยากไปเที่ยวว่ะ’
      ‘จะไปเที่ยวที่ไหน’
      ‘อยากไปทะเล’
      ‘ทะเลที่ไหน’
      ‘อยากล่องใต้ ไปทะเลที่มันสวยๆ ไม่เอาบางแสน ชะอำ หัวหิน (เดี๋ยวหินบาดห_ย ไม่ใช่ เดี๋ยวหินบาดเท้า)’


                ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งเราคิดเองเออเองคนเดียวล้วนๆ ก่อนหน้านี้เราเคยขอที่บ้านไว้ว่า ถ้าสอบติดมหา’ลัยจะขอไปทะเล สรุปเราสอบติด แต่ก็อดไปอยู่ดี โดนผลัดมาตลอด พอนานๆเข้าความอยากมันก็มากขึ้น เหมือนคนลงแดง (นี่ แค่ไม่ได้ไปทะเลนะเว้ย ไม่ได้ติดยา) จนในที่สุดเราก็ตัดสินใจ สีจะไม่ทนอีกต่อไป ใครไม่ไป ไปมันคนเดียวก็ได้ว่ะ แต่ประเด็นสำคัญของเราคือ เราขี่รถไม่เป็นจ้า (ซวยล่ะ แล้วจะเที่ยวที่ไหนได้ว่ะเนี่ย) เราเลยลองหาที่เที่ยวที่พื้นที่มันไม่กว้างมากแบบเดินเที่ยวเองได้ แล้วมาเจอคนคอมเม้นท์ว่าเดินเที่ยวในเกาะเต่า เลยเอาว่ะ พี่เขายังเดินเที่ยวได้ ทำไมเราจะทำไม่ได้ สรุปไปเกาะเต่ามันนี่แหละ

            หลังจากนั้นเราก็มาเจออีกกระทู้ หญิงสาวลุยเดี่ยวเกาะเต่า นางยวน ฟูลมูนปาร์ตี้ เอาแล้วไง ฟูลมูนปาร์ตี้ก็เริ่มเข้ามาในหัว เราก็อยากจะไปดูว่าบรรยากาศเสียงลือเสียงเล่าอ้างที่ว่านั้นเป็นยังไง (อย่ามาอ้าง อยากไปดูผชก็บอก) เป็นไงเป็นกัน ไปมันทั้งหมดนี้เลย โดยแผนเที่ยวของเราจะไป 4 คืน 5 วัน งบไม่เกิน 6000 บาท ไปรถไฟฟรีลงชุมพร แล้วต่อเรือนอนถึงเกาะเต่าตอนเช้า เราไม่ได้จองที่พักไว้เพราะตั้งใจจะ walk in หาที่นั่นเอา



วันที่ 19 ก.ค.

            วันออกเดินทาง เราตื่นมาตั้งแต่ตี 2 ตื่นเต้น จะได้ไปเที่ยวแล้วโว้ย (เราโม้ จริงๆคือเรายังจัดกระเป๋าไม่เสร็จ เสื้อผ้าไม่แห้ง) แผนการวันนี้ของเราคือ นั่งรถไฟฟรีขบวน 171 ออกตอนบ่ายโมง ไปลงชุมพร ตอน 3 ทุ่มกว่า ตามกำหนดการในตาราง แล้วค่อยนั่งวินไปท่าเรือนอน ซึ่งจะออกตอน 5 ทุ่ม เรานั่งลีมูซีน 2 ประตู 20 หน้าต่าง (บอกไปว่านั่งรถเมล์ก็จบ) มาถึงหัวลำโพงตอน 9 โมงเช้า เรารีบจัดกลัวจะไม่ได้ตั๋วนั่ง (ของฟรีก็งี้ ช้าหมด อดนะจ้ะ) และเราก็ได้มาตั๋วนั่ง (ภูมิใจเหลือเกิ๊นนนน)



                แล้วก็นั่งรอเวลาไปสิจนถึงบ่ายโมง รถไฟออกจากสถานีหัวลำโพงได้ตรงเวลามาก บ่ายปุป ออกปั๊ป เราก็คิดนะรถไฟมันออกตรงเวลาขนาดนี้มันคงไม่เลทหรอกว่ะ หรือถ้าเลทคงไม่เกิน 1ชม.หรอก(มั้ง) ที่ไหนได้จ้าาาา  แม่มมมม เลทไปเกือบ 4ชม. เราถึงชุมพรตอนตี 1 เราผิดเองที่ใช่ไหมที่คาดหวังกับรถไฟไทยมากเกินไป ทำไมถึงทำกับฉันด้ายยยย 



                ช่วงระหว่างที่เรานั่งบนรถไฟก็ได้นั่งคุยกับคู่พี่น้องคนใต้ พี่เขาเล่าว่า วันหยุดยาวเลยขึ้นมาเที่ยวที่กรุงเทพ ได้ขึ้นรถเมล์เป็นครั้งแรก แถมได้ยืนด้วยสนุกดี (เห็นพี่ชอบ เราก็ดีใจด้วย อยากจะชวนขึ้นสาย 8 ด้วยกัน) พี่เขาจะไปลงหาดใหญ่ พอนั่งเลยราชบุรีไปหน่อยก็มีป้าขึ้นมานั่งด้วย ป้าแกก็แหลงใต้มาเลย อยากบอกป้าว่า ป้าคะหนูฟังไม่ออก พอฟังออกคร่าวๆป้าแกบอก ถึงชุมพรให้บอกแกด้วย (ป้าแกคงคิดว่าเราจะไม่หลับ เลยตั้งความหวังกับเราไว้อย่างดี แต่ป้าคงตั้งไว้กับหนูสูงไปหน่อย) นั่งดูวิวไปสักพักเราก็เคลิ้มจนหลับไป สุดท้ายป้าแกก็ต้องปลุกเราตอนถึงชุมพร แทนที่เราจะต้องปลุกป้า แต่ป้าก็ไม่ได้ลงมากับเราด้วยนะ เห็นบอกแกลงสถานีหลังสวน



วันที่ 20 ก.ค.

            พอเราลงสถานีชุมพรแล้ว แผนการที่จะได้ไปเรือนอนก็ล่มไม่เป็นท่า แถมเราก็ไม่ได้เตรียมแผนสำรองเผื่อไว้ ตอนแรกเลยกะหาที่พักแถวสถานีรถไฟนอน แล้วตอนเช้าค่อยซื้อตั๋วเรือไปเกาะเต่า พอเราเดินดูแถวตรงสถานีมันก็ไม่มืดไม่เปลี่ยว มีคนเข้าๆออกๆรอรถไฟอยู่เรื่อยๆ  ก็เลยตัดสินใจนั่งรอมันที่สถานีเนี่ยแหละ อีก 4-5 ชม.ก็เช้าแล้ว ที่จริงเราขี้เกียจเดินหาที่พัก บวกกับไม่อยากเสียเงินเยอะ (เรียกว่างกนั่นเอง) เลยนั่งๆนอนๆตรงสถานี ใครผ่านไปผ่านมาคงคิดว่า Eนี่เป็นเด็กใจแตกหนีออกจากบ้าน หรือไม่ก็เป็นพม่านั่งรอนายจ้างมารับ พอตี 5 ฝรั่งก็เริ่มลงมาจากรถไฟกัน (ส่วนใหญ่ฝรั่งจะมาตู้นอนกัน) เราก็เดินตามฝรั่งเขาไป และแล้วก็ได้ตั๋วเรือมา เป็นของส่งเสริมในราคา 500 บาท เพราะของลมพระยาถูกจองเต็มหมดแล้ว (ถ้าของลมพระยาจะราคา 700 บาท ส่งเสริมจะถึงเกาะเต่าช้ากว่าลมพระยาประมาณ 45นาที)

  
             
                พี่ที่ขายตั๋วชี้ที่จอดรถให้เราดูบอกให้มารอขึ้นรถตอน 6 โมง พอช่วงตี 5.50 เราก็กำลังเดินไปที่จอดรถ อ้าว! รถหาย! ตอนนั้นคิดไปแล้วว่าตูคงอดไปแล้วแน่ๆ พี่เขาเห็นเราพอดีเลยบอกว่า รถออกไปแล้ว หาเราไม่เจอ เดี๋ยวรอไปรอบ 6 โมงอีกที พี่เขาเลยชวนเราคุยระหว่างรอรถ จนเรารู้ว่าของส่งเสริมมีรถส่งถึงข้าวสารด้วย ราคา 850 บาท แล้วเราจะรออะไรหล่ะครับพี่น้อง ถามพี่ “พี่ๆ ถ้าหนูจะซื้อกับพี่ตรงนี้เลยได้ไหม กลัวหาซื้อที่นู่นยาก” พี่บอกได้ เราเลยได้มาในราคา 800 บาท พี่เขาใจดีลดให้  

                6 โมงกว่าเราก็นั่งรถมาถึงจุดจอดเรือเพื่อจะไปเกาะเต่า พอขึ้นมาบนเรือเราก็เลือกที่นั่งริมในสุด เรือออกจากท่าไปได้สักพักฝรั่งในเรือก็ทยอยพากันออกไปเดินเล่นดูวิวนอกเรือกัน เราก็อยากออกไปบ้าง แต่ติดตรงที่ออกไปไม่ได้ เมื่อมีนีเกาหลี 2 นาง นั่งหลับขวางทางออกเราอยู่ (พวกนางเล่นหลับกันตั้งแต่ขึ้นเรือยันเรือถึงเกาะเต่า) ฝรั่งส่วนใหญ่บนเรือก็หน้าตาแซ่บ แต่พกเมียมากันทั้งน้านนนน เลยดูได้แต่ตา มืออย่าต้อง เดี๋ยวเมียเขาจะตบ



                หลังจากเรานั่งเมื่อยตูดมาเป็นเวลานาน เรือก็มาถึงที่หมายเกือบๆ  10 โมง ระหว่างทางที่เราเดินขึ้นฝั่ง เรากับชาวต่างชาติจะเหมือนกับดาราดัง มีคนมายืนรอซ้ายขวา พร้อมกับถือถือป้ายรอขอลายเซ็น แล้วตะโกนว่า “Taxi Taxi” “Sairee beach” ยิ้ม! สรุป คนเขามารอเรียกลูกค้าขึ้นแท็กซี่ ไม่ได้มารอขอลายเซ็นแต่อย่างใด 



                เดินไปสักพักเราเจอพี่คนไทยที่อยู่บนเรือ เขาก็ลงมาด้วย(แอบใส่เกือกบนเรือเลยรู้มาว่า พี่เขาทำงานอยู่บนเกาะ) เราเลยเดินเข้าไปถามทางไปหาดทรายรี พี่เขาบอก “มันไกล นั่งแท็กซี่ไปเลย” (เราเลือกที่จะพักหาดทรายรี เพราะเคยอ่านมาว่าคนพักกันที่นี่เยอะ ตอนกลางคืนเดินเที่ยวได้) เราก็ไม่ยอม ถามต่อ “แล้วถ้าจะเดินไป ต้องไปยังไงคะ” เพราะคิดว่ามันก็ไม่น่าจะไกลสักเท่าไร (สั้นๆง่ายๆ งกอีกและ) พี่บอก “ตรงไปแล้วก็ขึ้นเนิน พอสุดเนินเลี้ยวซ้าย” (ตอนหลังมารู้ว่าเราโง่มาก เพราะทางที่พี่เขาบอกมันเป็นเส้นถนนหลัก เวลาเดินมันจะรู้สึกไกลมากกกก แต่ถ้าเดินเลียบชายหาดไปมันก็จะได้ดูวิวทะเลไปด้วยเลย ความรู้สึกมันเลยเหมือนไม่ไกล) พอเดินขึ้นถนนหลักเพื่อความชัวร์ เราเลยถามพี่ที่เขาทำงานในธนาคารสีม่วง พี่เขาบอก “เดินตรงไปเลยน้อง จะเดินไปหรอ มันไกลนะ” เราบอก เดินได้แล้วก็ขอบคุณพี่เขา พอเดินต่อไปได้แปปเดียว บร๊ะเจ้า พี่เขาขี่รถตามมา บอก “เดี๋ยวพี่ไปส่ง มันไกล” แล้วเราจะรอช้าอยู่ไย รีบขอบคุณแล้วก็กระโดดขึ้นรถ อยากจะบอกพี่ว่า หนูซาบซึ้งมากกกก (ก.ไก่ล้านตัว) มันคือความประทับใจแรกที่หนูได้รับบนเกาะแห่งนี้เลย ตอนที่นั่งรถก็คุยกับพี่เขา จนรู้ว่าพี่ไก่แกเป็นคนสุราษฎ มาทำงานบนเกาะเต่า 

               พี่เขาขี่รถมาส่งเราตรงหน้าเซเว่นหาดทรายรี พอลงรถเราก็ทำการเดินหาที่พัก (ตอนนั้นอารมณ์แบบแล้วตูจะไปทางไหนต่อว่ะเนี่ย เลยอาศัยเลยเดินตรงแน่วไปเลยจ้า) จนเรามาได้ห้องดอร์ม (dorm) คืนละ 350 บาท ค่ามัดจำกุญแจ 500 ภายในห้องค่อนข้างกว้าง มี 6 เตียง แอร์+พัดลม ถ้าเข้าห้องน้ำจะได้กลิ่นส้วมหน่อย แต่เราไม่มีปัญหา (เพราะไม่ได้นอนในห้องน้ำซะหน่อย) โดยรวมเราถือว่าโอเคใช้ได้เลย แถมพี่ๆเจ้าหน้าที่ที่นี่คุยดี เป็นกันเองเราเลยตกลงพัก 3 คืน พร้อมกับซื้อตั๋วเรือไปกลับฟูลมูนของลมพระยา วันที่ 21 ก.ค. ราคา 1200 บาท ตอนแรกเราตั้งใจจะซื้อทริปดำน้ำไว้เลย เพราะพอหลังกลับจากฟูลมูนก็จะได้ไปดำน้ำต่อเลย แต่พี่เขาแนะนำให้รอกลับมาจากฟูลมูนก่อน แล้วถ้าไปไหวค่อยซื้อวันนั้นเลย (ส่วนมากตามที่พักเขาจะมีพวกทริปดำน้ำ หรือตั๋วเรือต่างๆที่สามารถซื้อกับทางที่พักได้เลย) สุดท้ายเราก็ขอแผนที่เที่ยวบนเกาะเต่ากับพี่เจ้าหน้าที่ ซึ่งพี่เขาก็ให้เรามาพร้อมกับแนะนำสถานที่เที่ยว ร้านอาหาร รวมทั้งจุดที่เราพักอยู่
                เรา : “พี่คะ ที่นี่มีตรงไหนน่าเที่ยวบ้าง แล้วหนูขี่รถไม่เป็นแบบที่พอจะเดินเที่ยวได้”
                พี่ : “จากตรงนี้ก็จะมีอ่าวหินวง ใช้เวลาเดินประมาณ 45 นาทีนะ”





                ตอนนั้นคิดแล้วว่า เหี้*แล้ว เดิน 45 นาที ตูจะไหวไหมเนี่ย พอเข้ามาเก็บของในที่พักเราแอบชั่งใจว่าตูควรจะนอนพักแล้วพรุ่งนี้ค่อยไป หรือออกไปเดินเลยดี แต่ไหนๆก็นั่งมาทั้งวันแล้ว ออกไปเลยดีกว่า สรุปที่แรกที่เราเลือกจะเดินไป คือ อ่าวหินวง ซึ่งพี่ๆลืมบอกหนูไปอย่างนึงว่า ทางขึ้นไปมันชันมากกก ประหนึ่งว่ากำลังเดินพิชิตเทือกเขาเอลฟ์ (อันนี้เว่อร์ไป) เราใช้เวลาประมาณครึ่งชม.(ทำลายสถิติ 45 นาที แต่เล่นเอาหอบแ*ก) ก็เดินมาถึง coco view bar (แอบตามมาจากหลายๆกระทู้ในพันทิป)



               เรา : “พี่คะ หนูไม่ไหวแล้วขอนั่งพักหน่อยนะ”
               พี่ : “นั่งก่อนน้อง มาจากไหนเนี่ย”
               เรา : “หนูเดินมาจากหาดทรายรี หนูขับรถไม่เป็นเลยเดินมา”
               พี่ : “เดินดีแล้ว ขับรถมันอันตรายทางมันชัน”
               เราก็คุยสัพเพเหระกับพี่เค้าไปเรื่อยเปื่อย (คุยเยอะมาก) บอกเนี่ยเราตามมาจากกระทู้ในพันทิป มาอ่าวหินวงต้องมาถ่ายรูปจากบาร์ของพี่ เพราะวิวสวยมาก (มันสวยจริงๆ) พี่เขาเล่าว่า ถ้าอยากดำน้ำต้องมาที่เกาะเต่าเนี่ยแหละ เพราะเกาะเต่าถือเป็นแหล่งดำน้ำที่ใหญ่ แล้วราคาไม่แพงถ้าเทียบกับที่อื่น และพี่เขาแนะนำอีกที่คือเกาะกูด จ.ตราด ที่มีที่ดำน้ำสวย เราก็ขอพี่เขาถ่ายรูปจากบาร์ของพี่เขา และก็ไม่ลืมอุดหนุนเครื่องดื่ม


              พี่เขาเลยบอกให้ลองลงไปดำน้ำตรงอ่าวหินวงดู ไปดำแถวๆตรงโค้งหินทางซ้าย ปะการังจะเยอะ พี่เขาใจดีให้เรายืม snorkel มาใช้ แถมสอนวิธีใช้ให้ด้วย พอได้ดำน้ำเท่านั้นแหละ มันหายเหนื่อยจากที่เดินขึ้นมาเลย ปลาเยอะมาก มีทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ ส่วนปะการังเราคิดว่าส่วนใหญ่มันฟอกขาว (แต่พี่เขาบอกนี่ดีขึ้นแล้วจากเมื่อก่อน)



    หลังจากเราดำน้ำเกือบชั่วโมง เราก็เดินกลับไปยังบาร์ แล้วทางจากบาร์ลงมาอ่าวหินวงก็ใช่ย่อย ชันไม่ต่างกับตอนขึ้นมา  พอถึงบาร์เราก็แอบมีการคุยต่อรอบสองกับพี่เจ้าของบาร์ (ติดลม อยู่บ้านไม่มีคนคุยด้วย) 
                เรา : “พี่คะ แล้วตรงไหนที่ดูพระอาทิตย์ตกดินสวย”
                พี่ : “ที่นี่แหละ ไม่ก็ mango bay ไปจนถึงหาดทรายรีเลย เพราะพระอาทิตย์ตกดินทางฝั่งนี้”
                เรา : “แล้วตรงไหนน่าเที่ยวบ้างอะพี่”
                พี่ : “ก็มีอ่าวลึก mango bay ทางไปมันไกลแล้วก็ชันกว่าอ่าวหินวงนะ แต่วิวสวย”
                เรา : “หนูเคยอ่านเจอมามันเสียค่าเข้าด้วยนิ (ชันเราไม่กลัว แต่เรากลัวเสียเงิน)”


                คุยไปได้สักพักเราเลยขอตัวกลับ เพราะตั้งใจจะไปเดินเล่นที่อื่นต่อ ระหว่างทางกลับเราก็เดินทางฝั่งซ้าย ข้างหน้ามีกลุ่มฝรั่งเดินนำ ทางขวาจะมีร้านขายน้ำเล็กๆอยู่ร้านนึง มีเด็กๆ(ประมาณประถม)นั่งกันอยู่หน้าร้าน พอฝรั่งเดินผ่านหน้าร้าน พวกเด็กๆก็ตะโกน “ Hello” พอถึงตาเราเดินผ่าน ก็ตะโกนมาว่า “สวัสดีค่าาาา” เราก็แอบลุ้นว่าน้องมันจะทักเราไหมหว่า  แล้วจะทักว่าอะไร (แอบเขิล ไม่กล้าตะโกนกลับ เลยได้แต่หันไปยิ้มให้น้องๆ) พอถึงที่พักประมาณบ่ายสอง ซึ่งยังคงพอมีเวลาให้เดินได้อีกสักที่ เราเลยเลือกที่จะไปดุสิตบัญชาเป็นที่ต่อไป เพราะดูจากแผนที่มันไม่ไกลจากที่พักเรามาก (ความจริงคือแม่มมมไม่ต่างอะไรกับเดินไปอ่าวหินวงเลย ดีหน่อยแค่ทางมันไม่ชันเท่าอ่าวหินวง)

                เราใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงก็เดินมาถึงดุสิตบัญชา ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาบอกกันว่าสามารถมองเห็นเกาะนางยวนได้ จุดแรกเรายืนถ่ายจากระเบียงไม้ มีต้นไม้มาบังนิดๆหน่อยๆ ถ่ายภาพออกมาแล้วสวยว่ะ แถมดูจากมุมบนระเบียงก็สวย ถ่ายภาพเสร็จเราก็ลงมาตรงบาร์ร้านอาหาร(ไม่ลืมที่จะอุดหนุนเครื่องดื่มเล็กๆน้อยๆ) เพื่อถ่ายภาพจากตรงบาร์ คิดสภาพตามนัดชานะคะ โต๊ะนั่งโล่งๆร่มบังแดดก็ไม่มี(จริงๆคือมีแต่อยู่โต๊ะทางด้านหลัง) แถมเป็นแดดตอนบ่ายส่องลงพอดีกลางกระหม่อม ถ่ายได้ 3 ภาพ พี่นี่วิ่งเข้าหาที่ร่มทันที พี่ขอยอมแพ้ แนะนำใครจะมาให้มาช่วงเย็น เพราะมันไม่ร้อน(บอกเพื่อ) เค้าว้อเว่น วิวช่วงเย็นมันจะสวย ได้บรรยากาศนั่งชิลดูพระอาทิตย์ตกดิน แถมได้เห็นเกาะนางยวล ส่วนราคาอาหารก็จะแพงกว่าปกติหน่อย



                ช่วงทางที่จะเดินมาดุสิตบัญชา มันจะมีเหมือนทางเดินขึ้นไปบนภูเขา ตามในแผนที่เขาบอกว่ามีกระดูกปลาวาฬ แต่เส้นทางมันดูแคบๆเปลี่ยวๆ แถมตรงช่วงที่เราเดินมามีคนงานพม่าทำถนนอยู่(บนเกาะเต่าคนพม่าเยอะกว่าคนไทยอีกนะจ้ะจะบอกให้) พี่เลยขอเซย์กู๊ดบาย เดินกลับที่พักแทน

                พอช่วงเย็นๆเราก็ออกไปเดินเล่นตรงหาดทรายรี เดินไปตามหาดไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นมีฝรั่งออกมาเล่นน้ำบ้างแต่ถือว่าไม่เยอะเท่าไร เพราะส่วนใหญ่หนีไปพะงันกันหมดแล้ว (เนื่องจากช่วงใกล้ฟูลมูนปาร์ตี้ ฝรั่งก็จะแห่หนีไปเที่ยวพะงัน พอหมดฟูลมูนสองสามวันก็จะเริ่มมีนักท่องเที่ยวกลับเข้ามาเกาะเต่ากัน) หาดทรายรีช่วงเย็นสำหรับเรา เราว่าไม่สวยเท่าไร เพราะเป็นเวลาน้ำขึ้นก็จะพัดเอาพวกขอนไม้ เศษไม้เล็กๆเข้ามาด้วย



                เราเดินไปจนถึงหน้าบาร์ที่มีโขดหินใหญ่ๆ ก่อนถึงรูปปั้นจปร.(ไม่รู้เขาเรียกตรงนั้นว่าอะไร) และแล้วมาถึงตอนเดินกลับ เราหลงจ้าาาา เดินไปเดินมาจนมาโผล่ตรงถนนใหญ่ (เล่นเอาตูไปไม่เป็นเลยจ้า ไม่รู้จะต้องไปทางซ้ายหรือขวา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ตูอยู่ ณ ส่วนไหนของเกาะ) เราเลยเสี่ยงเดินไปทางซ้าย เดินไปเจอร้านอาหารเลยถามพี่เขา “พี่คะ จะไปเซเว่นต้องเดินไปทางไหน” (ตอนนั้นเราคิดว่าตัวเองก็พอมีไหวพริบว่ะ เพราะจำได้ว่าที่พักเรามันอยู่ใกล้ๆเซเว่น) พี่เขาบอกให้เราเดินตรงขึ้นไปเลยเดี๋ยวก็เจอเซเว่น มันอยู่ทางซ้ายเลย (แอ๊ะ ตูจำได้ว่าเซเว่นมันอยู่อีกฝั่งนี่หว่า ทำไมคราวนี้มันอยู่ซ้ายว่ะ สงสัยมันทะลุถึงกันได้) พอเราเดินถึงเซเว่นเท่านั้นแหละ สลัดเอ๋ยยยย นี่มันเซเว่นไหนว่ะเนี่ย (ตอนหลังถึงมารู้ว่าเซเว่นที่พี่เขาบอกมันเรียกเซเว่นใหญ่ ถ้าเดินตรงไปอีกก็จะเป็นแม่หาด) เราเห็นมีแม่ค้าขายไก่ปิ้งอยู่หน้าเซเว่น คราวนี้เราเลยกางแผนที่ชี้เซเว่นที่เราจะไปให้แม่ค้าดูเลย กลับไม่ถูกให้มันรู้กันไปสิ
              เรา : “พี่คะ ตรงนี้คือที่ไหนคะ”
              แม่ค้า : “เซเว่นใหญ่” 
              (เอิ่มมมมค่ะ หนูผิดเองที่ถามอะไรโง่ๆ ก็เห็นๆกันอยู่ว่าตูยืนอยู่หน้าเซเว่น)
              เรา : “แล้วหนูจะไปเซเว่นตรงนี้ได้ยังไงคะ ตรงคาบาเร่โชว์อะค่ะ” (แล้วเราก็จิ้มตรงส่วนที่เราจะไป)
              แม่ค้า : “จะไปดูโชว์หรอ เค้ายังไม่เปิดนะ เปิดตอนกลางคืนโน่น”
              (โอ๊ย ตูอยากร้องไห้ หน้าหนูเหมือนคนอยากดูคาบาเร่โชว์มากหรอคะตอนนี้”
              เรา : “อ่อไม่ใช่ค่ะ หนูพักอยู่แถวๆนั้น แต่กลับไม่ถูก”
             กว่าจะคุยกันรู้เรื่องปาไปเกือบ 5 นาที น้าเขาบอกให้เราเดินย้อนกลับไปเรื่อยๆเลย พอถึงสามแยกให้เลี้ยวขวา เราเลยอุดหนุนไก่ย่างน้าแกไม้นึง ราคา 50 บาท เราก็เดินย้อนกลับไปตามที่น้าแกบอกมา เดินไปสักพัก ในที่สุดเราก็เจอ เจอเซเว่นแล้วโว้ย แล้วเราก็เดินเลี้ยวขวาตามที่แกบอก (เราก็ยังงงตัวเองว่าจะเลี้ยวไปตามที่แกบอกทำไม เพราะถ้าเลี้ยวขวามันจะเป็นทางไปอ่าวหินวง ซึ่งที่พักเราต้องเดินตรงขึ้นไป) พอถึงที่พักเราก็อาบน้ำนอนเลย ไม่ดงไม่ดูมันแล้วควงกระบองไฟ และเราก็สลบไปตั้งแต่ยังไม่ 2 ทุ่ม 

วันที่ 21ก.ค.

               วันนี้ช่วงเย็นเราจะไปฟูลมูนปาร์ตี้ที่เกาะพะงัน โดยจะมีรถของที่พักไปส่งที่ท่าเรือเวลา 5 โมง กำหนดการคือ เรือลมพระยาจะออกจากเกาะเต่าเวลา 6 โมงเย็น ไปถึงท่าท้องศาลา เกาะพะงัน ตอนประมาณทุ่มกว่า แล้วก็จะมีรถของลมพระยาไปส่งที่หาดริ้นอีกที ซึ่งเราจะมีเวลาช่วงเช้าให้ออกไปเดินเที่ยวเล่นได้ และสถานทีที่โชคดีที่เราจะไปเยือนในวันนี้ได้แก่ แอ่ แอ่ แอ่ (ลีลาเพื่อ)...freedom beach ตรงอ่าวโฉลกบ้านเก่า (เราถามพี่เป็นคนดูแลที่พักว่ามีที่ไหนน่าเที่ยว พี่เลยแนะนำที่นี่มา) ก่อนไปเราก็ต้องมาดูในแผนที่ก่อนว่า Eฟรีดอมบีชเนี่ยมันอยู่ตรงไหน แล้วจะไปยังไง ซึ่งดูจากแผนที่แล้วมันก็ไม่ยากเท่าไรแค่เดินตรงไปตามถนนใหญ่ได้เลย ระยะทางที่ไปดูจากแผนที่ก็ไกลอยู่ แต่เดินจริงนี่สิ แม่มมมโคดจะไกลเลย ถ้าคิดไม่ออกว่าไกลขนาดไหนลองคิดภาพว่าเดินจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิไปเซ็นทรัลลาดพร้าวนะคะ (งานนี้มีหอบแ*กอีกรอบ) 


              เราเลยเลือกวิธีเดินเลียบหาดทรายรีไป หาดทรายรีช่วงเช้าจะยังไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยว บรรยากาศเหมาะสำหรับเดินชมชายหาด มีฝรั่งอยู่ไม่กี่คนออกมาวิ่งริมชายหาดตอนช่วงเช้า ตรงช่วงโลตัสบาร์เราสามารถพบต้นมะพร้าวที่ต้นเอนเข้าหาทะเลอยู่ 2 ต้น พอเดินมาจนสุดชายหาดเราก็เจอรูปปั้นของรัชกาลที่ 5 (คนที่นี่จะเรียกว่ารูปปั้นจปร.)





               หลังจากเราเดินเลียบหาดทรายรีมาเรื่อยๆมันก็จะไปโผล่ตรงเซเว่นแม่หาด เราเลยแอบแวะพักซื้อน้ำเพื่อเติมพลังหน่อย อยากจะแนะนำร้านน้ำร้านนี้สำหรับใครที่จะไปเที่ยวเกาะเต่า ไม่ใช่ว่าวิวสวยหรือมีฝรั่งเยอะแต่อย่างใด แค่ราคามันถูก (มันอเมซิ่งเกาะเต่าสำหรับเรามากที่จะหาของถูกเจอ) แบบแก้ว 20 บาท ส่วนแบบใส่ถุงกาแฟโบราณ(ใส่ในถุงกระดาษสีน้ำตาลใหญ่ๆ) 25 บาท ร้านมันจะอยู่ตรงข้ามกับไปรษณีย์เกาะเต่า ระหว่างรอน้ำเราเลยถามทางพี่เขาไปในตัว
              เรา : “พี่คะ ไปฟรีดอมบีชต้องเดินไปยังไง”
              พี่ : “เดินขึ้นไปตรงถนนใหญ่ แล้วเลี้ยวขวาแล้วเดินตรงไปอย่างเดียวเลยน้อง”
              เรา : “แล้วทางมันชันไหมอะพี่ ชันแบบทางไปอ่าวหินวงไหม”
              พี่ : “ไม่ชันนะ แต่ไกลนะ แล้วเราจะไปยังไงหล่ะ”
              เรา : “หนูจะเดินไปค่ะ ขับรถไม่เป็นอะ”
              พี่ : “เดินไป! น้องมันไกลนะ” 
              พี่เขาออกดูจะอึ้งมากพอรู้ว่าเราจะเดินไปแต่พี่แกก็บอกขอให้เราโชคดี เราก็เดินตรงไปตามที่พี่แกบอก แอบมีถามคนเป็นระยะๆกันหลง(เจอคนไทยก็ดีไปเจอพม่าก็ซวยหน่อย ไม่รู้ว่าเราพูดไม่รู้เรื่องหรือมันง่ายเกินไปที่จะเข้าใจ) จนเราเดินมาเจอป้ายไวนิลสีแดงอันเท่าบ้านเขียนทางไปฟรีดอมบีช (มันเด่นมากค่ะ)  ก็เดินขึ้นตามเนินไป ส่วนทางขวาเราก็จะเห็นทะเล มีน้ำทะเลสีฟ้าไกลสุดลูกตา มีภูเขาเป็นฉากหลัง ท้องฟ้ามีเมฆปลอดโปร่ง (หยุดพรรณนาค่ะ มีใครอยากรู้กับม*งไหม) สรุปคือมันสวย จบ


               เดินไปอีกสักพักเราจะเจอป้ายมันจะเขียนลูกศรไปทางซ้ายกับตรงไป (ซ้ายคือจุดขมวิวจอห์นสุวรรณ ตรงไปคือทางลงไปฟรีดอมบีช) ตามจริงเขามีเขียนบอกไว้ที่ป้ายด้วย ตอนนั้นเรารีบไงบวกกับความฉลาด(อันน้อยนิด) เห็นในแผนที่มันอยู่สุดทางเลย แต่นี่มันดูเหมือนยังไม่สุดทาง ตูเลยไม่องไม่อ่านมันซะเลย ตัดสินใจเลี้ยวซ้ายเลยจ้า แล้วเราก็มาโผล่ทางขึ้นไปจุดชมวิวจอห์นสุวรรณ เลยเอาว่ะไหนๆก็มาถึงนี่แล้ว จัดไปซะหน่อย เสียค่าขึ้นไปชม  50 บาท พร้อมของแถมคือเราต้องปีนขึ้นไปค่ะคุณปู้ชมมม เราเชื่อว่าถ้าใครได้ปีนขึ้นมาจุดชมวิวจอห์นสุวรรณ การปีนขึ้นไปชมวิวที่เกาะนางยวนนั้นไม่ใช่เรื่องยาก (จริงเหรอ)




              หลังจากถ่ายรูปเสร็จเราก็หาทางลงมาที่ฟรีดอมบีชจนได้ ตอนแรกเกิดอาการไม่แน่ใจว่าเรามาถูกที่ไหม เพราะเราไม่เห็นหอย หอยหาย! หอยที่เราพูดถึงนั้นคือโมบายหอย เนื่องจากเราเคยเห็นคนลงรูปในพันทิปที่ฟรีดอมบีชมันจะมีโมบายหอยห้อยกับต้นไม้ ดูน่ารักฟรุ้งฟริ้งมุ้งมิ้งกระดิ่งแมว (ประกาศ! ใครขโมยหอยไปกรุณานำไปผูกคืนที่ด้วยค่ะ)




              ถึงจะขาดหอยไป แต่ที่แห่งนี้ก็ยังดูสวย น้ำใสมาก ส่วนหาดทรายมันจะไม่ใช่เม็ดทรายละเอียด แต่จะเป็นพวกเศษหินเศษปะการังเล็กๆ ถ้าเดินเล่นในน้ำก็ต้องระวังหน่อยเพราะปลิงทะเลค่อนข้างเยอะ อยู่ถ่ายรูปเล่นได้สักพักเราก็เดินกลับที่พัก พอพี่เจ้าหน้าของที่พักเวลาเจอหน้าเราทีไร พวกพี่แกก็จะชอบถามวันนี้เดินไปไหนมา (ปกติมันไม่มีใครเขาเดินกันหรอคะพี่) 


เวลา 5 โมงเย็น พี่เจ้าหน้าก็ขับรถไปส่งเราที่แม่หาด โดนบนรถก็จะมีเรา ผู้หญิงฝรั่ง 3 คน (ไม่รู้ว่ามาจากประเทศอะไร) ผู้หญิงญี่ปุ่น 3 คน เขาไปกันเป็นกลุ่มๆ (แล้วตูหล่ะ โดดเดี่ยวอ้างว้าง) พอลงรถพี่เขาก็จะบอกจุดที่มารับ เราถามพี่ว่าต้องไปทางไหน พี่บอกให้ตามเขาไป (ขอบคุณค่ะ พี่ช่วยหนูได้มากจริงๆ TT) เราเลยเดินตามผู้หญิงญี่ปุ่นไป เพราะดูเหมือนพวกนางจะเซียน และเราก็ต้องเดินมาต่อคิวตรงจุดรับตั๋วของลมพระยา โอ้แม่เจ้า คนมารอขึ้นเรือไปฟูลมูนเยอะมาก ตรงจุดรับตั๋วเขาก็จะมีให้เราเซ็นชื่อ(ถ้าใครซื้อตั๋วกับทางที่พัก อย่าลืมเอาตั๋วที่ได้มาแลกตั๋วเรือ) แล้วก็จะให้ตั๋วเรือกับริสแบรนด์สีส้มแปร๋นแหล่น(สะท้อนแสง) 


               เรือออกจากท่าแม่หาด ตอน 6 โมงเย็น ถึงท่าท้องศาลา เกาะพะงัง ประมาณ 1 ทุ่ม แล้วก็จะมีรถไปส่งที่หาดริ้น ส่วนขากลับ รถจะมารับที่หาดริ้น ตอน 6 โมงเช้า แล้วมารอขึ้นเรือที่ท่าท้องศาลา 8 โมงครึ่ง ตอนนั่งอยู่บนเรือในช่วงแรกที่นั่งจะยังเต็มอยู่ พอผ่านไปครึ่งทางเท่านั้นแหละที่นั่งก็จะเริ่มว่าง พวกฝรั่งเขาจะชอบพากันเดินออกไปดูวิวกัน ซึ่งไม่รู้มันมีอะไรให้ดูตอนมืดๆ พอลงจากเรือเราก็ต้องมาขึ้นรถเพื่อไปยังหาดริ้น คันที่เราได้ขึ้นเป็นรถกระบะ ซึ่งเราได้นั่งข้างหน้า คนที่นั่งข้างหน้าก็มีเรา กับกลุ่มคนญี่ปุ่น ชาย 2 หญิง 1 ระหว่างที่นั่งอยู่บนรถ เราก็ได้คุยกับคนญี่ปุ่น เขาเพิ่งจะมาฟูลมูนครั้งแรกเหมือนกัน ยังเรียนกันอยู่ 2 คน อายุ 24 ส่วนอีกคนเป็นบาร์เทนเดอร์ อายุ 26 เขาก็แบบตกใจกันพอรู้เรามาเที่ยวคนเดียว (จำไม่ค่อยได้แล้วว่าคุยอะไรไปบ้าง) และก็ได้คุยกับพี่คนขับ พี่แกก็ถามว่า เราดื่มไหม เราบอกว่า ดื่มแต่อันนี้มาเที่ยวคนเดียวเลยกะไม่ดื่ม อยากมาดูบรรยากาศ พี่เขาแนะนำว่าอย่าไปอยู่ใกล้พวกคนไทยที่เมาเพราะจะชอบตีกัน (ซึ่งเราไม่เจอคนไทยตีกัน แต่เจอฝรั่งมันจะต่อยกัน) และตอนเข้างานบอกว่าเป็นคนที่นี่ ถ้าเขาถามอยู่ที่ไหนให้บอกไปว่าอยู่ที่ท่าท้องศาลา (แต่เราก็ไม่ได้ทำตาม เพราะไม่กล้าเสี่ยง หนูขอยอมเสีย 100 สบายใจกว่ากันเยอะ เชื่อสีเถอะ) แล้วรถก็มาจอดให้ลงตรงช่วงทางเข้างานฟูลมูน พอลงรถเราตัดสินใจถามคนญี่ปุ่นที่นั่งมาด้วยกันว่า ขอไปแจมด้วยได้ไหม ชีแกเลยหันไปปรึกษากับเพื่อน แล้วก็หันกลับมาทำหน้าแบบม*งไปที่ชอบๆเถอะ กลุ่มตูไม่ต้อนรับ เราก็เข้าใจนะ อยู่ๆจะขอไปด้วย ใครเขาจะอยากให้ไป (ชีวิตมันเศร้า ขอยาคู้ขวด) เราเลยเดินออกมาเลย(ตูอาย) พี่บอกเลยว่าพี่ไม่แคร์ค่ะ เพราะงานนี้พี่ไม่ได้มาเล่นๆ(ปากดีไปงั้นแหละ) มาฟูลมูนทั้งทีไม่ได้ใส่เสื้อเรืองแสงกับเพ้นต์ตัว เดี๋ยวเขาหาว่ามาไม่ถึง อันดับแรกเราเลยเดินหาซื้อเสื้อเปลี่ยน มาได้ร้านเสื้อก่อนเข้างานจะอยู่ทางซ้ายมือ
               เรา : “พี่มีเสื้อตัวละ 150 ขายปะคะ” (เราอ่านเจอมาว่าเสื้อในงานฟูลมูนตัวละ 150)
               พี่เขาก็พาเราไปดูเสื้อ แล้วมีหันไปคุยกับลูกจ้างพม่าอีกคนในร้าน ประมาณว่าจะขายเสื้อแบบนี้ให้เรา 150
               เรา : “พี่ว่าหนูใส่สีไหนดี”
               พี่ : “เอาสีส้มเลยดีกว่า เข้ากับรองเท้าด้วย ไปลองมาให้พี่ดู เดี๋ยวพี่คอมเม้นท์ให้”
               และเราก็ได้เสื้อ 150 บาท มาใส่เพื่อฟูลมูนปาร์ตี้คืนเดียว แถมดันเป็นเสื้อสีขาว เพราะ Eเสื้อสีส้มสะท้อนแสงพอเราใส่ออกมามันดันไม่เข้ากับเรา พี่เขาเลยให้เปลี่ยนเป็นใส่สีขาวแทน ถามว่าคุ้มไหม ไม่คุ้มหรอกแต่มันคือความทรงจำ สำหรับเราเสื้อตัวนี้มันจะบอกเราได้ว่าครั้งหนึ่งตูก็เคยมาฟูลมูนนะ


              ต่อไปก็ต้องเพ้นต์ตัวกันซะหน่อย เราเลยถามพี่เขาที่ไหนมีขายสีเพ้นต์ถูกๆ ร้านพี่เขาก็มีสีขายด้วย เลยขายให้เรา 40 บาท สี 1 ขวด กับ พู่กัน 1 ด้าม (แม่มมมแพง แต่เราก็ซื้อเพราะตอนนั้นขี้เกียจเดินหาแล้ว ที่งานถูกๆก็ขวดละ 20 บาท) เดินมาถึงทางเข้างาน เราก็ต้องจ่าย 100 บาท แล้วเราก็จะได้ริสแบรนด์มาใส่ เดินผ่านประตูทางเข้างานมาหน่อย ทางซ้ายมือมันจะมีร้านเพ้นต์เอง 40 บาท คือจะเพ้นต์สีหมด 3 สี หรือจะนั่งเพ้นต์ยันเช้าก็ 40 แทบอยากจะเอาสีกับพู่กันกลับไปคืนร้านเสื้อ แล้วขอเงินคืน (ล้อเล่นนะ) เราเลยยอมเสียอีก 40 ตอนที่เพ้นท์ก็ได้คุยกับพี่เจ้าของร้าน พอพี่แกรู้ว่าเรามาเที่ยวคนเดียว พี่แกบอกเราฮาร์ดคอร์มาก 



               เมื่อเสื้อพร้อม แขนพร้อม ก็ถึงเวลาลุย โดยฟูลมูนปาร์ตี้มันจะจัดบริเวณริมหาดริ้น แล้วแต่ละบาร์ก็จะเปิดเพลงให้เต้น(ถ้าจำไม่ผิดมันมี 3 บาร์ใหญ่ๆ) มีกระโดดเชือกไฟ ลอดห่วงไฟ แล้วก็ที่เดินย่อตัว(ลืมแล้วว่าเขาเรียกว่าอะไร) แล้วก็มี Eลูกโป่งใหญ่ๆที่อยู่บนน้ำแล้วก็ให้คนเข้าไปอยู่ข้างใน อยากรู้ว่ามันมีคนกล้าเล่นหรอ ตอนกลางคืนมืดๆ แถมคนก็ยืนฉี่อยู่ริมหาดเพียบเลย (เล่นไป ดูช้างยุโรป เอเชีย อเมริกา สะบัดงวงกันให้ว่อน)


              เราเข้ามาในงานประมาณ 2 ทุ่ม ซึ่งก็ยังไม่ค่อยมีคนในงานเท่าไร เพราะคนจะเริ่มแน่นหาดตอน 5 ทุ่ม ส่วนความมันส์ของงาน(เต้น)ตั้งแต่เที่ยงคืนเป็นต้นไป เราเลยหาที่นั่งเพื่อดูผช. เอ้ย ไม่ใช่ เพื่อรอเวลา แล้วก็มีคู่ลุงป้ามานั่งตรงข้าม เราเลยชวนแกคุยซะเลย ป้าแกเป็นคนไทย ส่วนสามีแกเป็นคนอเมริกา พาครอบครัวมาเที่ยวเมืองไทย แต่ทิ้งลูกไว้ที่กรุงเทพ ส่วนป้ากับลุงก็หนีมาเที่ยวกันสองคน เราก็ถามป้าแกว่า ไม่ลุกออกไปเต้นหรอ ป้าแกบอก ไม่เอาอะป้ากลัวเก้าอี้หาย(กลัวคนแย่งเก้าอี้ไปนั่ง) แถมมีบอกกำลังหาทาง survive ให้อยู่จนถึงเช้า เพราะแกพักที่สมุย เรือมารับกลับตอน 7โมง เรากับป้าคุยกันถูกคอจนถึงขั้นแกบอกสามีว่าเราเป็นลูกสาวแกอีกคน


             สักพักมีป้าฝรั่งโต๊ะข้างๆ เดินมาชวนเราลุกขึ้นเต้น(ใครที่นั่งแถวนั้นโดนป้าแกชวนเต้นหมด) มีการบอกให้เราชวนหนุ่มฝรั่งที่นั่งอยู่อีกโต๊ะออกมาเต้น แม้ในใจอยากจะเดินไปฉุดแขนฮีออกมาเต้นด้วยกัน แต่ความเป็นหญิงไทยถูกสอนมาให้รักนวลสงวนตัว (แต่ม*งหนีมาเที่ยวคนเดียวนี่นะ) ทำให้เราบอกป้าแกไปว่า เราทำไม่ได้ เต้นจนเหนื่อยเราก็มานั่งพักคุยกับป้าฝรั่ง ด้วยความที่ภาษาอังกฤษของเรานั้นถึงขั้นแอดวานซ์ (เราประชด) พอจับใจความได้ว่า ป้าแกเป็นคนเดนมาร์ก มาเที่ยวเมืองไทยกับเพื่อน พักอยู่ที่สมุย ป้าแกยังบอกอีกว่า ชอบประเทศไทย ประเทศไทยสวยมาก ของก็ราคาถูกกว่าที่เดนมาร์ก แต่พอคนไทยเห็นป้าแกเป็นชาวต่างชาติก็จะขายให้ราคาแพง (เกือบจะดีและเชียว) พอหายเหนื่อยเราก็ย้ายกลับมานั่งที่เดิม มีน้องคนไทยมาขอนั่งด้วย เลยคุยตีซี้กับน้องเขา จนน้องเขาชวนเราไปเต้นกับกลุ่มของน้อง
               น้อง : “พี่ เดี๋ยวไปเต้นกับกลุ่มหนูมะ”
               เรา : “เต้นที่ไหนอะ”
               น้อง : “เต้นข้างใน รับรองสนุกพี่” 
               ไหนๆอุส่าห์มาถึงนี่แล้ว จะนั่งรอเวลาเฉยๆก็กระไรอยู่ แถมได้เพื่อนเต้นด้วย เราเลยตัดสินใจได้ไม่ยาก เดินตามไปรวมกับกลุ่มของน้อง ซึ่งมี เรา น้อง พี่ของน้อง แฟนของพี่(เด็กกว่าตูอีก) เนื่องจากเราและน้องเป็นผญสายฝ.(ฝรั่ง)เหมือนกัน เลยแกล้งแหย่ว่าเต้นแอ่วฝรั่งให้ดูหน่อย แล้วชีก็ทำตามที่เราบอกค่ะคุณผู้ชมมม แถมได้คิสกับฝรั่งอีก OMG เกิดมา 20 กว่าปี ตูก็เพิ่งจะเคยเห็นคนเพิ่งรู้จักกันไม่ถึง 10 นาที ก็จุ๊บกันซะแล้ว (เด็กต่ำกว่า 18 ปี ไม่ควรทำตามนะจ้ะ) สำหรับเรา เรามองว่ามันก็ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายอะไร มันก็เป็นสิทธิของเขา (อย่าลืมว่าเรามาปาร์ตี้ เราก็ต้องสนุกไปกับมันสิ) แค่เราต้องมีสติ รู้ลิมิตของตัวเอง ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน แล้วเอนจอยไปกับปาร์ตี้ ซึ่งตั้งแต่ออกมาจากจุ๋มจิ๋มของแม่ เราก็ไม่เคยไปผับไปบาร์หรือแดนซ์ที่ไหนกับใครเขา(สาบานด้วยเกียรติของลูกเสือสามัญ) จะมีก็แต่นั่งก๊งเหล้ากับเพื่อนที่บ้าน อย่างที่บอกไปครั้งนี้พี่ไม่ได้มาเล่นๆ เพราะพี่ได้ทำการศึกษาท่าเต้นมาบ้างใน youtube (แค่เต้น ม*งยังต้องดูใน youtube) ซึ่งแม่มมมไม่ช่วยอะไรตูเลย พอถึงเวลาเต้นจริงๆเรานี่ออกสเต็ปได้บ้าบอคอแตกมาก แถมเต้นท่าอะไรก็ไม่รู้ รู้อย่างเดียวคือมันส์พะยะค่ะ 


               เต้นได้สักพักพวกเราก็พากันไปเต้นบนเวที ได้เต้นแจมกับคนไทยอีกกลุ่ม ช่วงแรกน้องก็คุยภาษาอังกฤษกับกลุ่มนี้(น้องเขาคิดว่าเป็นคนฟิลิปินส์) พอเราคุยบ้างเลยรู้ว่ามาจากนคร เป็นคนไทยนี่แหละ เอเห้ แล้วให้ตูพยายามคุยภาษาอังกฤษอยู่ตั้งนาน ส่วนอีกคนก็อยู่ใต้เหมือนกัน(แต่ลืมไปแล้วว่าอยู่ไหน) แต่คนนี้เป็นลูกครึ่งฟิลิปินส์ แล้วเราก็เต้นกับฮี (แอบเขิลเกิดมาไม่เคยเต้นกับปู้ชาย) ถึงแม้ฮีทั้งคู่จะเป็นสายขุดทอง แต่พวกฮีน่ารักมาก เต้นไปได้สักพักน้องก็ขอไปนั่ง น้องเมาจ้า เลยไปนั่งสร่างเมา แล้วช่วงที่น้องมันไปนั่งมันก็มีชาวยุโรปตะวันออกหุ่นอวบ(ระยะสุดท้าย)มาจีบน้อง เราคิดจริงๆนะว่าถ้าเกิดเมาแล้วมาคนเดียวมีสิทธิถูกมันลากไปนะ (ขอแนะนำคนที่อยากไปฟูลมูนปาร์ตี้คนเดียว คือ ไปได้ มันไม่ได้น่ากลัวอะไรเลย แต่จงจำไว้ว่าต้องมีสติ ดื่มได้แต่อย่าเมา รู้ลิมิตของตัวเอง) พอน้องสร่างเมา พวกเราเลยไปเต้นกันต่อรอบ 2 คราวนี้มีเพื่อนของแฟนพี่มาร่วมวงด้วย ฮีแกหายไปแปปนึงแล้วกลับมาพร้อมกับเบียร์ขวดในมือ แกแจกให้พวกเราคนละขวด แล้วประเด็นคือเราไม่ดื่มเบียร์ไง คนอื่นเขาก็เต้นแล้วก็ดื่มไป เราก็เต้นแล้วก็ถือเบียร์ไปสิ ในใจก็คิดว่าตูจะทำไงกับเบียร์ขวดนี้ดีว้า และแล้วก็มีหนุ่มฝรั่งผู้โชคดี(หรือโชคร้าย) เข้ามาเต้นกับกลุ่มของเรา เราเลยยื่นเบียร์ให้ฝรั่งเลยจ้า บอกฮีแก “drink drink” ฝรั่งแอบมีลังเลตอนแรกแต่ฮีแกก็ดื่มไปนิดนึง (ตูก็นึกว่าจะช่วยดื่มสักครึ่งขวด) เราเลยใช้แผนสอง เทเบียร์ทิ้งในระหว่างที่เต้น(ง่ายเว่อร์)


              สำหรับใครที่ได้ยินมาว่าฟูลมูนปาร์ตี้ ฝรั่งเยอะมาก คนไทยโคดน้อย เราขอเถียง เพราะเราไปฝรั่งนี้เยอะจริง(อันนี้ยอมรับ) แต่คนไทยเราว่าไม่น้อยนะ(หรือเราไปช่วงที่คนไทยไปกันเยอะ)คือแบบเดินไปทางไหนมันก็เจอคนไทยอะ อย่างเราไปได้คุยกับคนไทย 5-6 กลุ่มที่ฟูลมูน ส่วนเรื่องนกหรือไม่นก เราขึ้นอยู่กับแต่ละคน อย่างของเราตอนแรกที่คิดไว้ว่าอยากไปดูบรรยากาศ(ดูปู้ชายยยย มีโมเม้นต์ฟินๆ) พอถึงเวลาจริงๆตูไม่สนจงสนใจดูปู้ชายเล้ยยย เต้นมันอย่างเดียว ส่วนใครไม่อยากนกก็ไปเต้นแอ่วฝรั่งหน่อย เดี๋ยวก็ได้ เชื่อสีสิ สีเห็นมากับตา 

วันที่ 22 ก.ค.

               ทุกงานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา พอเกือบๆ 6 โมง เราก็ออกมาขึ้นรถไปยังท่าท้องศาลาเพื่อรอขึ้นเรือกลับเกาะเต่า ระหว่างที่นั่งอยู่บนรถก็เจอกับกลุ่มคนไทย ตอนแรกก็นั่งเงียบพอพี่แกทักเราเท่านั้นแหละ เราพูดไม่หยุดเลยจ้า (อัดอั้นมานาน เจอแต่คนเขามากับเพื่อน ส่วนเรานั้นมาคนเดียว) พี่แกบอกว่าตอนแรกนึกว่าเราโดนเพื่อนทิ้ง (เพื่อนหนีไปกับผช)
              พี่ : “อ้าว นี่น้องมากับใครอะ”
              เรา : “หนูมาคนเดียวพี่ อยากมาดูบรรยากาศ”
              พี่ : “เอาเบอร์แม่มา เดี๋ยวจะโทรบอกแม่ หนีเที่ยว”
              เรา : “ไม่ได้ๆพี่ หนูอุส่าห์บอกแม่ว่ามาเข้าค่าย”
              ก็เฮฮากันไป ตอนกลางคืนพวกพี่เขาจะไปเดินเล่นที่หาดทรายรี เราเลยขอเบอร์ไว้ เผื่อนัดเจอจะได้มีเพื่อนเที่ยว พอ 8 โมงครึ่ง เราก็ได้ขึ้นเรือ จะเห็นว่าขามามันจะมีที่นั่งว่างเพราะฝรั่งชอบออกไปดูวิวท้ายเรือกัน แต่ขากลับนี่สิแบบม*งห้ามลุกจากที่นั่งไม่งั้นมีสิทธิโดนแย่งที่(ไม่ออกไปดูวิวที่ท้ายเรือกันแล้วไงจ้ะฝรั่ง มังคุด สัปปะรดทั้งหลาย) พอได้ที่นั่งไม่ว่าจะไทยหรือเทศต่างสลบกันเป็นแถว บางคนหลับตั้งแต่เรือยังไม่ออก เราก็เป็นหนึ่งในนั้น ขอพักเอาแรงหน่อยเดี๋ยวต้องไปดำน้ำต่ออีก

               ช่วงประมาณ 9.30น. เรือก็มาถึงเกาะเต่า เรากับพวกพี่คนไทยก็แยกย้ายกลับไปที่พักตัวเอง โดยเราต้องเดินไปตรงที่จุดนัดเพื่อรอรถของที่พักมารับ ตอนที่นั่งบนรถเราเลยบอกพี่เจ้าหน้าที่ที่มารับว่า เราตัดสินใจจะพักต่ออีกคืน เพราะอยากเดินเที่ยวในเกาะเต่าต่อ แต่ตั๋วเรือกลับของเราคือวันที่ 23 เลยต้องไปแจ้งเปลี่ยนวันก่อน พี่เขาเลยบอกเดี๋ยวจัดการให้ พอถึงที่พักพี่เขาเลยพาเรามาจัดการเรื่องตั๋วเรือเปลี่ยนวันกลับให้(พี่เขาแค่โทรบอกทางท่าเรือส่งเสริมว่าเราจะเปลี่ยนวันกลับ คือมันจะง่ายไปไหนว่ะ นึกว่าจะยุ่งยาก) เราเลยจองห้องอยู่ต่ออีกคืน แล้วก็ซื้อทริปดำน้ำต่อเลย
               พี่ : “เรื่องดำน้ำสรุปเอาเป็นของวันพรุ่งนี้เนอะ”
               เรา : “ไม่ค่ะพี่ ไปวันนี้ต่อเลย พรุ่งนี้หนูกะเดินเที่ยวในเกาะเต่าต่อ”(เกิดเป็นหญิงไทยต้องสตรองค่ะ)
               เราซื้อทริปดำน้ำแบบ half day trip ราคา 500 บาท ก็จะมีดำน้ำ 4 จุด (เกาะฉลาม อ่าวลึก อ่าวหินวง อ่าวม่วง) และไปเกาะนางยวน มีอาหารให้ 1 มื้อ รถมารับตอน 10.30 น. ตอนเราซื้อเสร็จมันก็ปาไป 10 โมงแล้ว เลยได้แค่เปลี่ยนชุด แปรงฟันเท่านั้น (ค่อยไปอาบน้ำในทะเลก็ว่ะ) ส่วนแบบ one day trip ราคา 600 บาท จะมีรถมารับตอน 9.30 น. (ไม่แน่ใจว่าดำน้ำกี่จุด) 

              ที่พักของเราเป็นที่แรกที่รถขับมารับ แล้วถึงจะขับวนไปรับนักท่องเที่ยวตามที่พักต่างๆ ก่อนจะพาไปส่งที่ท่าเรือ ในเมื่อเราได้นั่งข้างหน้า เราก็ไม่พลาดจะคุยกับพี่คนขับ พี่เขาเป็นคนขอนแก่นมาเปิดร้านที่นี่กับครอบครัว (จริงๆคนอีสานมาทำงานบนเกาะเต่าค่อนข้างเยอะเหมือนกัน) เปิดร้านอาหารอยู่ข้างเซเว่นใหญ่ ชื่อร้านน้องออม (เผื่อใครไปลองแวะไปชิมดูได้) เราเลยบอกวันกลับเราจะลองแวะไปทาน 
              เรา : “วันกลับหนูมีเวลาตอนเช้า เพราะเรือออกบ่ายสอง ยังไงเดี๋ยวจะแวะทานนะพี่”
              พี่ : “ได้ๆ ถ้ามากิน กินเสร็จเดี๋ยวพี่ขับไปส่งที่ท่าเรือให้ได้”
              เรา : “โห ไม่เป็นไรพี่ เกรงใจ เดี๋ยวหนูมีรถของที่พักขับไปส่ง แต่จะแวะมากินร้านพี่ดู”

              พอมาถึงท่าเรือ เราก็เขาไปนั่งรอด้านใน ซึ่งคันเราที่นั่งมามีเกือบ 10 คนได้ แล้วก็มีคนมาสมทบเพิ่มอีก รวมทั้งหมดก็ประมาณ 20 กว่าคนได้ หลังจากนั้นก็จะมีให้เซ็นชื่อกับให้เส้นด้ายมาผูกข้อมือ ก่อนพาเราไปลงโลง เอ้ย ลงเรือ ซึ่งบนเรือเราเป็นคนไทยคนเดียวเลยจ้า ( ไม่รวมไกด์กับคนขับเรือ) แต่มีฝรั่งกลุ่มนึงเขาขอแยกไปเรืออีกลำ ดังนั้นบนเรือเราจะเหลือแค่ 15 คน เรือลำที่เรานั่งเป็นเรือลำใหญ่ มันจะมี 2 ชั้น แถมท้ายเรือมีสไลเดอร์ด้วย 


              ระหว่างที่เรือแล่นไปจุดดำน้ำจุดแรก ในหัวเรามันไม่มีเรื่องดำน้ำเลย มีแต่ตูจะได้โดดน้ำไหมว่ะ แล้วจะโดดน้ำเล่นตรงไหนได้ (มีแค่นี้จริงๆ) คือเราอยากโดดน้ำเล่นมาก พอมาถึงจุดดำน้ำแรก คือ เกาะฉลาม ตรงเกาะฉลามเราจะเจอปะการังหูกวางเยอะมาก พี่ไกด์บอกว่า เมื่อสองสามวันก่อนมีคนดำน้ำแล้วได้เจอฉลาม ทำไมพอตูดำแล้วไม่เห็นเจออะไรเลยว่ะ แม้แต่หูฉลามก็ไม่มี(ไม่ใช่และ) สงสัยพากันหนีไปเที่ยวช่วงเข้าพรรษา แถม snorkel ของเราน้ำก็ชอบเขา (ให้พี่ไกด์ปรับสายให้น้ำมันก็ยังเข้า) เลยไม่ดงไม่ดำมันและ ฝรั่งก็คงอารมณ์เดียวกัน ก็เลยพากันเล่นสไลเดอร์ เราจะไม่เล่นสไลเดอร์ค่ะ เพราะมันเด็กเกินไป แต่เราจะโดดน้ำ ว่ะ ฮะ ฮ่า เราเลยปีนขึ้นไปชั้นสองเพื่อจะกระโดดน้ำ อุส่าห์อยากโชว์เพาว์ โดดเป็นคนแรก แต่โดนเด็กฝรั่ง (อายุไม่น่าเกิน 15)มันแย่งซีนเราค่ะ (โดดเป็นคนที่สองก็ได้ว่ะ) โดดได้ 2 รอบ สีขอบายค่ะ เหนื่อยสลัด เลยเปลี่ยนมานั่งรอฝรั่งเล่นน้ำอยู่บนเรือ 


             พอขึ้นเรือกันครบ ลุงคนขับเรือก็พาเราไปยังจุดดำน้ำที่ 2 คือ อ่าวลึก สำหรับเราในบรรดาจุดดำน้ำทั้งหมด 4  จุด ปะการังที่อ่าวลึกสวยสุด ปะกะรังที่อ่าวลึกจะมีขนาดใหญ่ แล้วดูหลายหลาก แต่ปลาจะไม่เยอะเท่าอ่าวหินวง จะมีอยู่จุดนึงปะการังจะเป็นสีเขียว เขียวแบบใบไม้เลย ก็ไม่มีอะไรมากแค่จะบอกเรามองดูแล้วมันสวยดี (หลบทีนแปป) หลังจากดำน้ำครบ 2 จุด ก็ถึงเวลาทานข้าว โดยอาหารที่ได้จะเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ ตักเท่าไรก็ได้ มีกับข้าวให้อยู่ 2 อย่าง ผลไม้เป็นแตงโม (แตงโมจะหมดไวมาก ตูยังไม่ทันได้กินสักชิ้น ฝรั่งแ*กหมด) ตั้งแต่มาถึงเกาะเต่าเรายังไม่ได้กินข้าวสักมื้อ (แ*กแต่มาม่า) มื้อนี้เราเลยจัดไปแบบเต็มที่ กับข้าวนี่พูนจานเลยจ้า เอาให้คุ้มกะให้อิ่มไปอีก 2 มื้อ ลุงคนขับเรือแกก็ใจดีมีถามเราเอาน้ำปลาไหม ลุงแกบอกคนไทยชอบกินข้าวกับน้ำปลา ซึ่งมันก็จริงอย่างที่ลุงแกว่า


               สำหรับใครที่กินข้าวไม่หมด เขาก็จะเอาข้าวเทลงน้ำแล้วปลามันก็จะว่ายมากิน ฝรั่งก็จะไปยืนดู ฝรั่งบางคนก็ทำตาม ซึ่งเราไม่ลุกขึ้นไปดูเลย เรารับไม่ได้จริงๆ เพราะอาหารของปลามันไม่ใช่ข้าว แล้วการที่เราเอาอาหารให้ปลาเทลงทะเล มันถือเป็นการทำลายสิ่งแวดล้อม ทำลายระบบนิเวศทางหนึ่ง ลองคิดดูในหนึ่งวัน มีเรือกี่ลำที่วิ่งพานักท่องเที่ยวมาดำน้ำ แล้วมันมีทุกวัน มันอาจไม่ส่งผลในวันนี้ หรือพรุ่งนี้ แต่มันจะส่งผลระยะยาวในอนาคตอย่างแน่นอน สีฟันธง (ใครอย่ามาเถียง เพราะตูเรียนสิ่งแวดล้อม) เราก็ไม่รู้จะทำไง กลัวบอกไปเดี๋ยวจะโดนถีบตกเรือให้ว่ายกลับเข้าฝั่งเอง เราเลยใช้วิธีกินข้าวให้หมดจาน ไม่เหลือสักเม็ด เห็นปะวิธีง่ายๆใครๆก็ทำได้

               ต่อๆเลิกดราม่า พอมาถึงจุดดำน้ำที่ 3 คือ อ่าวหินวง ตอนแรกเราเกือบจะไม่ลงไปดำ เพราะตอนนั้นเราโคดอิ่ม แล้วพอดีวันแรกเราก็ได้มาดำน้ำเล่นที่อ่าวหินวงแล้ว เลยกะว่าจะไม่ลง ซึ่งจุดที่เขาให้ลงดำน้ำมันอยู่ทางซ้าย แต่ที่เรามาดำน้ำเองมองเข้าไปทางฝั่งมันจะอยู่ทางขวา บวกกับพี่ไกด์จากเรืออีกลำอาสาจะพาเราว่ายไปตรงจุดที่มีปะการังเยอะๆ เลยเอาว่ะไปก็ไป อ่าวหินวงปะการังจะไม่สวยเท่าอ่าวลึก แต่ปลาที่อ่าวหินวงจะมีเยอะกว่า เยอะที่สุดในบรรดา 4 จุดที่เราได้ดำน้ำ แล้วเราก็ว่ายไปเห็นปลาทะเลตัวนึง มันกำลังกินอาหารที่ปะการัง ตัวมันใหญ่มากกกกกก นึกภาพคือถ้าเอามาทอดกินสามารถกินได้ถึง 7-8 คน เราก็ว่ายไปอยู่บนหัวมัน (จริงๆคือมันลึกลงไปอีก 4-5 เมตรได้)
                ไกด์ : เฮ้ย อย่าไปว่ายใกล้มันเดี๋ยวมันกัด
                เรา : “จริงปะเนี่ย” (ตอนนั้นไม่รู้ว่าจริงไม่จริง แต่คือเราขอว่ายหนีก่อน)
                ไกด์ : “อื่อ เดี๋ยวมันกัด”
                เรา : “ทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก”(มีการโยนความผิดให้ไกด์)


                แล้วก็มาถึงจุดดำน้ำจุดสุดท้าย คือ อ่าวม่วง จุดนี้เราให้ปะการังสวยรองจากอ่าวลึก ปลาเยอะรองจากอ่าวหินวง แล้วก็จะมีเหมือนถ้ำใต้น้ำ คิดในใจมันจะมีตัวอะไรโผล่มาไหมว้า เกือบลืม แอบขอดราม่าอีกเล็กน้อย คือเราแอบเห็นฝรั่งบางคนจะชอบว่ายน้ำดำลงไปจับปะการัง หรือไม่ก็ยืนบนปะการัง มันไม่ใช่เรื่องที่สมควรทำเลย ปะการังมันใช้ระยะเวลาตั้งเท่าไรกว่าจะงอกออกมาแต่ละเซน แล้วถ้าเกิดเราไปจับหรือไปยืน แล้วมันหักขึ้นมา บางอย่างแค่ใช้สายตามองมันก็เห็นถึงความงามแล้ว ไม่ต้องไปสัมผัสมันหรอกค่ะ(ขอจบการดราม่าไว้แต่เพียงเท่านี้ค่ะ) พอดำจนเหนื่อยเราก็ขึ้นมาบนเรือ เลยได้คุยกับพี่ไกด์ของเรืออีกลำ(ไกด์คนละคนกับที่พาเราดำน้ำ) เราก็โม้เลยจ้า
               เรา : “หนูมาเที่ยวคนเดียวพี่ นี่ก็เพิ่งกลับมาจากฟูลมูน แล้วก็มาดำน้ำต่อเลย”
               ไกด์ : “โห เพิ่งกลับมาจากฟูลมูนด้วย เป็นพี่ พี่ทำแบบนี่โดนแม่ตีตาย”
               เรา : “แต่สนุกดีนะ หนูฮาร์ดคอร์ปะหล่ะ”
               ไกด์ : “ฮาร์ดคอร์มากเลยน้อง แล้วได้ไปเที่ยวไหนมาบ้างแล้ว”
               เรา : “วันแรกก็มีเดินไปอ่าวหินวง ดุสิตบัญชา แล้วเมื่อวานเดินไปฟรีดอมบีช หนูขี่รถไม่เป็นเลยเดินไป”
               พี่ไกด์แกก็บอกว่างั้นเราก็เหมือนลุงคนขับเรือลำเรา เพราะลุงแกก็ขี่รถไม่เป็น พี่ไกด์แกเป็นคนเฮฮามาก พอบอกว่ากลับไปเราจะเขียนกระทู้ลงในพันทิป พี่ไกด์แกเลยบอกเดี๋ยวจะพาเราทัวร์ พาขึ้นไปถ่ายรูปตรงป้ายเลิฟเกาะเต่า เราเลยบอก โอเคเลยพี่ แล้วเราถึงมารู้ทีหลังว่าพี่ไกด์คนนี้แกชื่อ พี่ด๋อง พี่ด๋องแกมีเปิดทัวร์เกาะเต่าของแกเองด้วย เป็นพวกเกี่ยวกับดำน้ำ ตกปลาแล้วมาทำอาหาร ชื่อ KOH TAO TOUR (ใครสนใจลองพิมพ์หาในเฟสดู) 

พอดำน้ำครบ 4 จุด ที่สุดท้ายที่เราจะไปคือ เกาะนางยวน โดยการขึ้นเกาะเราจะต้องเสียค่าเข้า คนไทย 30 บาท ชาวต่างชาติ 100 บาท ในเกาะนางยวนมันก็มี 3 เกาะ คือ เกาะเล็กที่เราเดินเข้ามา เกาะที่ขึ้นไปชมวิว และก็เกาะที่เราเห็นจากจุดชมวิว พอเข้ามาในเกาะเราก็จะเห็นเป็นทางแยก 2 ทาง ด้วยความมีไหวพริบอันล้นเหลือ (จนไม่เหลืออะไร) ของเรา เราเลือกจะเดินไปทางขวา ซึ่งมันเป็นทางไปเกาะที่เราเห็นจากจุดชมวิว ตอนแรกแอบแปลกใจทำไมไม่มีใครเดินตามตูมาเลยว่ะ(แต่ก็ยังคงเดินต่อไป) เราก็เดินขึ้นสะพานไม้ แล้วก็เดินไปจนสุดทาง เห้ ทำไมสะพานมันพังว่ะ ถึงขั้นเราโทรหาลูกพี่ลูกน้องเรา เพราะชีแกเคยมาเกาะนางยวนแล้ว
               เรา : “เฮ้ย โอม เค้ามาเกาะนางยวน แล้วทางขึ้นมันอยู่ตรงไหนว่ะ”
               ลูกพี่ลูกน้อง : “พี่ก็เดินไปตามสะพานไม้อะ”
               เรา : “ก็เดินมาแล้วอะ เดินมาจนสุดเนี่ย แต่สะพานมันพัง”
               ลูกพี่ลูกน้อง : “อ้าว งั้นหนูก็ไม่รู้ว่ะ เดินกลับไปถามเจ้าหน้าที่ดิ”


               ด้วยความที่เราขี้เกียจเดินกลับไปถาม เราเลยปีนขึ้นไปบนโขดหินเพื่อถ่ายรูป แล้วถึงมาตรัสรู้ว่าตูเดินมาผิดฝั่ง และแล้วก็มาถึงจุดพีคของเรา ตอนลงเราก็เอามือถือยัดใส่ในกระเป๋าสะพาย แต่กระเป๋าสะพายเรามันดันซิปแตก รูดปิดไม่ได้ เหมือนภาพสโลโมชั่น มือถือเรามันร่วงออกจากกระเป๋าสะพาย คือเห็นมันร่วงแต่มือดันคว้าไม่ทัน ก่อนมองดูมือถือค่อยๆตกลงแอ่งน้ำทะเลด้านล่าง พอเก็บเครื่องขึ้นดูเท่านั้นแหละ ตูอยากร้องไห้ เปิดเครื่องได้แต่สไลด์หน้าจอไม่ได้ ชีวิตตูจบสิ้นแล้ว หมดแล้วอารมณ์ที่จะขึ้นไปดูจุดชมวิว เราเลยตัดสินใจกลับขึ้นเรือ ไม่ดูมันแล้วจุดชมวิวเนี่ย (รู้สึกเสียดายมากตอนนี้ที่ไม่ได้ขึ้นไป สัญญาว่าจะกลับไปซ่อมแก้ตัว) แพลนที่จะขึ้นไปถ่ายรูปเลิฟเกาะเต่าก็เป็นอันต้องล้มไป เพราะเราไม่กล้าพอที่จะไปกับคนอื่น แล้วไม่สามารถติดต่อใครไว้ได้เลย แถมยังอดไปหาดทรายรีกับพวกกลุ่มพี่คนไทยที่เจออีก 



***หลังจากนี้เราขอเขียนเล่าแต่เหตุการณ์ที่ได้เจอมาอย่างเดียวนะคะ เนื่องจากมือถือเราาได้จากไปอย่างสงบสุขแล้ว เลยไม่ได้มีถ่ายรูปไว้ในส่วนของวันที่เหลือ

วันที่ 23 ก.ค.

            วันนี้เราตัดสินใจจะเดินไปอ่าวลึก แต่ดูเหมือนฟ้าฝนไม่เป็นใจให้เราสักเท่าไร พี่แกเล่นตกตั้งแต่เช้า เราเลยรอให้ฝนหยุดแล้วค่อยไป พอเดินไปเกือบถึงแม่หาดมันเล่นตกรอบสองจ้า เราเลยแวะซื้อน้ำร้านเดิมแล้วขอนั่งในร้านรอจนฝนหยุด พี่เจ้าของร้านแกก็ดันจำเราได้ พี่แกเล่นทักเราก่อนเลยว่า “วันนั้นเดินไปถึงฟรีดอมบีชไหม” พอเราบอกถึง พี่เขาเลยแปลกใจนิดหน่อย(พี่ไม่คิดว่าหนูจะเดินไปถึงใช่ไหมหล่ะ) พี่เขาเลยถามต่อว่าแล้วพักที่ไหน พอเราบอกหาดทรายรี พี่เขาดูจะอึ้ง ทึ่ง เสียว (อันหลังไม่ใช่และ) ว่าเราเดินไปได้ไง เราเลยนั่งคุยกับพี่เขาข้ามเวลารอฝนหยุดตก พี่เขาเป็นคนกรุงเทพ มีญาติอยู่ที่เกาะเต่า แล้วดันเกิดติดใจเกาะเต่าเลยมาเปิดร้านที่นี่ ตอนแรกมีลูกค้ามาซื้อน้ำ พี่แกเลยจะฝากเราติดรถไปด้วย เพราะลูกค้าพี่เขาทำงานอยู่ที่รีสอร์ทอ่าวลึก แต่คุณลูกค้าผู้ใจดีบอกขอไปซื้อของก่อนเดี๋ยวกลับมารับ ซึ่งไม่รู้คุณลูกค้าไปซื้อของถึงเชียงใหม่หรืออย่างไร(นานโคด) จนป่านนี้ก็ไม่รู้ว่าได้กลับถึงเกาะเต่ารึยัง (หนูรู้นะว่าพี่ชิ่งหนีกลับรีสอร์ทก่อน) แล้วฝนก็ยังคงตก ตกจนถึงเที่ยง เราเลยตัดสินใจกลับที่พักไม่ไปมันแล้วอ่าวลึกเนี่ย ความหวังสุดท้ายของเราจึงตกไปอยู่กับการได้ดูโชว์ควงกระบองไปที่หาดทรายรี พอช่วงประมาณ 4 ทุ่มครึ่งเราก็ได้ออกไปดูโชว์ควงกระบองไฟที่โลตัสบาร์ที่หาดทรายรี โดยได้รับการสนับสนุนการพาเที่ยวจากพี่ไกด์ที่พาเราไปดำน้ำ คืนที่เราไปดูโชว์คือคนเยอะมาก (ดูในพันทิปมาทำไมเขาถ่ายรูปลงกระทู้คนเขานั่งกันชิลๆว่ะ) มารู้ตอนหลังว่าคืนที่เราไปเขามีจัดปาร์ตี้ใหญ่ คนเลยแน่นบาร์ พี่คนโชว์ควงกระบองไฟแอบมีทำกระบองไฟตกลงกลางคนดู(ของแบบนี้มันพลาดกันได้) เลยมีวี๊ดว๊ายกันบ้างตามประสา แต่ก็ไม่มีใครหนีไปไหนนะ เสร็จแล้วก็ไปนั่งดูเรือออกจากท่า เราเลยรู้มาว่าส่วนใหญ่คนที่ทำงานกับเรือเขาก็จะนอนกันบนเรือนั่นแหละ คือใช้ชีวิตอยู่บนเรือเลย เพราะว่าต้องนอนเฝ้าเรือไว้กันเรือหาย หรือเชือกเรือหลุดเวลาน้ำทะเลมันขึ้น เรากลับมาถึงที่พักก็ปาไปเที่ยงคืน

วันที่ 24 ก.ค.

          วันนี้เราไม่ได้ทำอะไรมากมายเนื่องจากเป็นวันเดินทางกลับของเรา ก็มีแค่นั่งเล่นที่ชายหาดแล้วได้เจอพี่ที่ทำงานอยู่ที่ร้านน้ำเลยนั่งคุยกับพี่แกสักพัก ก่อนไปหาข้าวกินก่อนกลับ แอบได้เจอพี่เจ้าของ coco view bar ตอนรอเรือพี่แกหนีไปเกาะพะงัน เพราะช่วงที่เราไปมีการทำถนน พี่แกบอกพม่าทำถนนเดี๋ยวงานเยอะ เลยปล่อยให้ลูกน้องดูแลบาร์ไป ส่วนตัวแกขอหนีไปพักที่พะงัน ต่อไปเราขอเขียนเป็นตารางการกลับสั้นๆแล้วกันเนอะ
              10.00 น. check out ห้องพัก
              14.00 น. รถจากที่พักไปส่งที่ท่าเรือส่งเสริม
              15.00 น. เรือออกจากเกาะเต่า
              18.00 น. เรือถึงชุมพร
              20.00 น. ขึ้นรถทัวร์จากท่าเรือที่ชุมพร
              05.00 น. ถึงข้าวสาร

About Koh Tao :สิ่งเล็กๆน้อยๆที่เราได้รู้มาจากการคุยกับคนบนเกาะเต่า
    #บนเกาะเต่าไม่มีชุมชนชาวประมง ดังนั้นของจึงต้องมีการนำเข้ามาจากที่อื่น ทำให้ของบนเกาะมีราคาแพง
    #อาชีพคนส่วนใหญ่บนเกาะ คือ ทำทัวร์ดำน้ำ หรือพวกเปิดสอนดำน้ำ
    #ทัวร์ดำน้ำลึกบนเกาะเต่ามีครูสอนทุกสัญชาติ ไม่ว่าจะไทย ญี่ปุ่น สเปน...
    #คนพม่าไม่สามารถทำงานพวกขับรถแท๊กซี่และเรือแท็กซี่บนเกาะได้ (ถ้าเจอนั่นคือแอบทำ) จับได้ก็โดน
    #คนที่อยู่ในเกาะเต่าส่วนใหญ่ก็ยังเที่ยวบนเกาะไม่ทุกที ส่วนมากคือใช้เรือเที่ยวรอบเกาะเอา

รายละเอียดค่าใช้จ่าย
                ค่ารถไฟ                               ฟรี
                ค่าตั๋วเรือมาเกาะเต่า(ส่งเสริม)                   500    บาท
                ค่าต๋วเรือ+รถทัวร์ลงข้าวสาร(ส่งเสริม)           800    บาท
                ค่าตั่วเรือไป-กลับฟูลมูนปาร์ตี้(ลมพระยา)       1200    บาท
                ค่าเข้างานฟูลมูนปาร์ตี้                       100     บาท
                ค่าที่พักคืนละ 350 บาท 4 คืน                   1400    บาท
                ค่าทริปดำน้ำ half day trip               500    บาท
                ค่าขึ้นเกาะนางยวน                           30       บาท
                ค่าขึ้นจุดชมวิวจอห์นสุวรรณ               50       บาท
                ค่าเสื้อฟูลมูน                            150    บาท
                ค่าสีเพ้นต์                                   40            บาท
    รวมทั้งหมด(ไม่รวมค่ากิน)                           4770    บาท
สรุปค่าใช้จ่าย 6 คืน 7 วัน เราใช้ไป 4770 (ไม่รวมค่าอาหาร)
สำหรับใครที่อยากได้งบประหยัดกว่านี้ ก็สามารถกลับรถไฟฟรีแทน แล้วตั๋วเรือไปฟูลมูลจะมีของซีทรานส์ซึ่งราคาจะถูกกว่าของลมพระยา ทำให้สามารถประหยัดงบไปได้อีก

สุดท้าย
            ใครที่อยากเที่ยวคนเดียวแต่ยังไม่กล้าหรือกลัว และใครที่อยากเที่ยวแต่หาคนเที่ยวด้วยไม่ได้สักที เราอยากบอกว่าจนอย่ากลัว หรือมัวแต่รอเวลา เพราะคุณอาจจะพลาดประสบการณ์ดีๆในชีวิต การเที่ยวคนเดียวนั้นจะสอนอะไรคุณได้หลายๆอย่าง ไม่ว่าจะการแก้ปัญหา การใช้ชีวิต การได้เจอผู้คนใหม่ๆ การได้แลกเปลี่ยนเรื่องราว บางทีโลกอาจไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คุณคิด แค่คุณต้องรู้จักเลือกที่จะใช้ชีวิต อย่าลืมมาแบ่งปันประสบการณ์กันนะคะ

ที่มา Pantip