รีวิว บังเอิญทริป "แพนางไพร กับวันธรรมดา ในหน้าฝน"

เป็นกระทู้แรกที่เขียนกระทู้ท่องเที่ยว ทั้งๆที่เป็นคนชอบเที่ยว ผิดถูกประการใด ขออภัยด้วยค่ะ
รีวิวนี้ ไม่มีรถโดยสารส่วนตัวนะคะ ก็เลยจะรีวิวเรื่องการเดินทางด้วยตนเอง ที่พัก การเดินทาง ช่องทางการติดต่อ คำแนะนำ สำหรับคนที่อยากไปเที่ยวแต่ไม่สะดวกเรื่องการเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัวค่ะ

เริ่มค่ะเริ่ม

ความเป็นมา : เนื่องจากมีความว่างตรงกัน และอยากไปเที่ยวที่นี่เป็นทุนเดิมกันทุกคน ทริปนี้เลยเริ่มก่อตัวขึ้น จากสมาชิก 6คน มีความไม่ลงตัวทางวัน-เวลาเดินทาง และสถานที่ จึงเหลือเพียงแค่ 3 ชีวิตที่ยืนหยัดอยู่ว่าจะไป และ3คนที่เหลือ มีข้อจำกัดคือ เงินน้อย และ เวลาน้อย อนาถายิ่งนัก แต่ด้วยความที่อยากไป จึงตกลงกันว่า เราจะไปวันอาทิตย์ กลับวันจันทร์ !!!!! เนื่องจากราคาตั๋วเครื่องบินถูก และมีว่างตรงกันเพียงเท่านี้

สมาชิก : 3 คน 
แนะนำสมาชิก- หมิว ทำหน้าที่ เนวิเกเตอร์ ติดต่อนัดหมาย // แพรวทำหน้าที่ งอแง และตื่นเต้นตลอดทาง  และ เคทำหน้าที่ ช่างภาพ และสู้รบกับแพรว

วันที่และเวลา : อาทิตย์ที่ 12 และ จันทร์ ที่ 13 มิถุนายน 2559

สถานที่ : แพนางไพร เขื่อนรัชชประภา / น้ำตกบางหัวแรด อุทยานแห่งชาติเขาสก
เหตุผลที่เลือกแพนางไพร:  เพราะไม่เน้นที่พักสวย วิวงาม และราคาถูก

วัตถุประสงค์ร่วม : นอนโง่ๆบนแพ และถ่ายรูปอมยิ้ม04

ถ่ายภาพโดย :เค ( K.Photo)

:::รายละเอียดทริป คำแนะนำก่อนการเดินทาง:::

    เริ่มออกเดินทาง สู่สนามบินดอนเมือง ขับรถยนต์ไปจอดทิ้งไว้ที่อาคารจอดรถยนต์ของสนามบินค่ะเนื่องจากที่พักค่อนข้างไกลจากสนามบินมาก ค่าแท็กซี่ก็แพงมากเช่นกัน จากนั้นพวกเราก็เดินเพื่อจะไปเช็คอิน โหลดของ เป็นระยะทางกว่า 2 กิโลเมตร เพราะที่จอดรถใกล้อาคารผู้โดยสารนั้นยังไม่เปิดให้บริการ จึงต้องไปจอดอาคารอื่น แล้วเดินขึ้นทางเชื่อมที่เป็นอุโมงค์หลอนๆเพื่อมาทำการ เช็คอิน โหลดของ หาของกิน และรอเวลาขึ้นเครื่อง 

ในที่สุดเครื่องก็ออกเวลา 6.10 น. ตรงเวลาเป๊ะ ไม่มีดีเลย์ 

ถึงสนามบินสุราษฎร์ธานี  เวลาประมาณ 7.20 น.

เราได้ทำการนัดรถตู้ ไว้เวลาประมาณ 8.00 น. ก่อนออกเดินทางแนะนำให้โทรจองก่อนนะคะ เพราะเขาจะส่งรถมารับเราที่สนามบินเลยค่ะ  มาถึงสนามบินปุ๊บคนขับก็จะโทรหาเราปั๊บ เราก็ทำการขนสัมภาระขึ้นรถ เดินประประมาณ 30 นาที ก็ถึงเขื่อนแล้วค่ะ 

ก่อนอื่นเราก็จะต้องไปเสียค่าธรรมเนียมอุทยานก่อนค่ะ ฟ้าใสมากกกกกกกกกกกกกก แล้วก็ร้อนมากเช่นกัน ที่ท่าเรือจะมีเต้นท์ และเก้าอี้ไว้ให้นั่งรอเรือ หรือรอรถตู้ค่ะ เราก็นั่งรอเรือมารับ ไม่นานน้องที่ขับเรือก็โทรมาหาเรา เพื่อออกเดินทางสู่แพนางไพร 

ระหว่างทางสวยมาก ก ไก่ ล้านตัว สภาพอากาศเป็นใจ ฟ้าโปร่ง แดดจ้า  น้ำในเขื่อนนี่สีมรกตสะท้อนแสงมาก พวกเรานี่ตื่นเต้น ลุกลี้ลุกลนอยากจะถ่ายรูป จนน้องคนขับเรือต้องเอ็ด พี่ครับ นั่งตรงๆหน่อย ฮ่า ใช้เวลาประมาณ 40 นาที ด้วยความที่กลัวสภาพอากาศที่แปรปรวน  เราเลยเลือกที่จะไปที่สามเกลอ สุดฮิตก่อน เพื่อแวะถ่ายภาพ จัดไปคนละหลายช๊อต




ตอนที่เราไปถึงมีเรือหลายลำพอสมควร ทำให้เราได้ภาพยังไม่จุใจ เรือก็พาเราออกไปจากสามเกลอ ไม่นานนักเราก็ถึงแพนางไพร เวลาประมาณ 13.00 น. 


แดดกำลังร้อนแรง รับชูชีพจากเรือ ขึ้นแพมาชำระค่าที่พักที่เหลือ และรับทานอาหารกลางวัน  เราเห็นอาหารกลางวันแล้วเห้ยยย! นี่เรามานอนฟรีกันป่าวเนี่ย หลายอย่างมากแถมอร่อยด้วย พวกเราก็จัดการโซ้ยกันอย่างเอร็ดอร่อย อาหารเต็มได้ไม่อั้น ยกเว้นเมนูปลาค่ะ (รูปเราเอง อิอิ)

เสร็จแล้วก็เข้าที่พัก เราได้บ้านหลังริมสุด ไปทางอ่าวสมเด็จ นอนกัน 3 คน แต่ได้บ้านสำหรับ 5 คน สบายเลย 


เนื่องจากเป็นวันอาทิตย์  มีคนพักไม่มากนัก แต่โซนบ้านพักที่เรานอนก็เต็ม มีพี่อาร์ต อยู่บ้านติดกัน และมีน้องอีกกลุ่มนึงอยู่ติดกับบ้านพี่อาร์ต 
ภายในบ้านมีแค่ ผ้าห่ม หมอนให้แค่นี้ มีหลอดไฟ1ดวง ให้แสงสว่างตลอดคืน  เราเข้าห้องพักแล้วก็เปิดหน้าต่าง จัดการแบ่งที่นอนกันเสร็จ ไม่มีอะไรทำ มานั่งคุยกันหน้าระเบียงบ้านเอาขาจุ่มน้ำคลายร้อน  มองดูวิวทิวทัศน์และผู้คน  ที่นี่มีทัวร์แบบOne day tripมาลงเยอะพอสมควร มาทานอาหาร เล่นน้ำแล้วก็กลับไป ด้วยความที่เป็นแพที่วิวสวยและอยู่ใกล้ที่สุดด้วยกระมัง เลยมีคนแวะเวียนมาอย่างไม่ขาดสาย 

จากนั้นเราคุยกัน ละสายตาจากหน้าจอ มาจ้องหน้ากันเองแทน 

คุยกันอย่างออกรสถึงอากาศที่สุดจะร้อนดั่งเดือนเมษายน เราตกลงกันได้ว่า พวกเราจะไม่ทนอีกแล้ว!!!! จัดการใส่ชูชีพให้ตัวเอง โดดน้ำหน้าบ้านนั่นล่ะ ว่ายหลบแดดอยู่ขอบหลังคาบ้าน  ค่อยยังชั่วหายร้อนไปพักใหญ่ๆ

  

ขึ้นมาจากน้ำไม่นาน ฝนก็ตั้งเค้า เราก็เลยนั่งเล่นกันที่หน้าบ้านต่อ ไม่ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะห้องน้ำที่นี่เป็นห้องน้ำรวมค่ะ แยกห้องอาบน้ำกับห้องส้วมชัดเจน ระหว่างนั่งเหงาๆ ก็ถ่ายรูปกันไป เพราะเรามีช่างภาพมืออาชีพมาด้วย  

ฝนตกหนักบ้างเบาบ้างเป็นเวลาค่อนข้างนาน คลายร้อนไปได้นิดนึง พวกเราก็เลยฟังเพลงชิลล์ๆ แล้วก็งีบเอาแรง 


พอฝนหยุด เคกับแพรวก็ออกไปพายคายัค ไป 3 คน ดูจากน้ำหนักตัวข้าพเจ้าก็เกรงเรือจะจม ก็เลยอยู่บ้านเป็นหมาเหงาเฝ้าของ  ไม่นานนักคายัคของเคกับแพรวก็พายมุ่งหน้าไปสามเกลอ ค่อยๆหายลับไปจากสายตา...
นี่คือความรู้สึกของเค “เรากับอิแพรวก็ตัดสินใจพายคายัคออกไปที่เขา 3 เกลอกันคร่า (เรือมันนั่งได้ทีละ 2 คนก็ให้หมิวเฝ้าของให้ก่อน) คิดว่ามันคงไม่ไกลมากหรอกแค่ตรงหน้านี้เอง พอไปได้ครึ่งทาง ทำไมมันยังไม่ถึงสักทีวะ แขนเริ่มจะล้า จะกลับก็มาไกลและ ฟ้าก็ยังเปิดอยู่ ไหนๆ ก็มากันขนาดนี้แล้ว ก็ลุยให้ถึงคร่ะ (มารู้ระยะทางที่หลังว่าระยะทางประมาณ 4 กิโลกว่าๆ)
ในที่สุดเราก็พายมาจนถึง ตอนที่เรามาถึงคือไม่มีเรือลำอื่นๆ อยู่เลย คงเพราะมันเย็นแล้วเค้าก็ไม่มีนักท่องเที่ยวมากันบวกกันเป็นวันอาทิตย์ที่คนส่วนใหญ่ทยอยกลับ คือมันสวยมาก เงียบสงบ ไปถึงนี่ขอตะโกนให้ลั่นก่อนเลย เราจอดเรือฟังเสียงรอบๆ กันประมาณ 30 นาทีได้ก่อนที่จะพายกันกลับมา ขากลับที่ไวมาก เพราะความหิว บวกกับมันไม่ต้านกระแสน้ำเหมือนตอนขามา ใช้เวลารวมๆ ก็ 2 ชม. พอดี (ช่วงนี้สิ่งที่พลาดที่สุดเลยก็คือ ไม่มีกล้องถ่ายรูปคร๊าบบบบ ไม่มีแม้แต่มือถือเลย คือมันเป็นช่วงที่พายุฝนเพิ่งผ่านไป เราก็ไม่กล้าที่จะเสี่ยงเอาติดมาด้วยเพราะไม่รู้ว่ามันจะตกอีกเมื่อไหร่ ทุกภาพจึงเก็บอยู่ในความทรงจำได้แค่นั้น)
พอเราพายกลับมาถึงแพนี่ก็เรียกว่าหิวโซเลย หมดแรงแขน และไหม้เกรียมกันเบาๆ (แดดมันเริ่มออกตอนเย็น) เราก็กินกันพุงกางเลย” 
เมื่อรอครบองค์ประชุม เราก็ไปกินข้าวกัน กับข้าวเย็นนี้ถือว่าอลังการที่สุด มีปลาแรดตัวใหญ่มากทอด แพนี้ทำพวกผัดๆอร่อยอ่ะชอบ (นอกเรื่องนิดนึง) กินกันจนพุงกาง และนี่คือโฉมหน้ากับข้าว (รูปจากมือถือเค้าเองงง)



ผลัดกันอาบน้ำ 1 ทุ่มก็พร้อมเข้านอน  เรียกได้ว่านอนเร็วที่สุดในรอบ 20 ปี เลยก็ว่าได้ ยุงก็กัด ง่วงก็ง่วง เพราะตื่นตั้งแต่ตี2 ถึงสนามบิน ตี 4 เพลียจากการเดินทางและเล่นน้ำ แต่ก็พยายามจะหลับ ตอนหัวค่ำอากาศค่อนข้างร้อน เลยควักแป้งเย็นออกมาทา (ส่วนตัวเป็นคนขี้ร้อนมากค่ะ) แล้วนอนต่อ แพเปิดไฟกันสว่างไสว ได้ยินเสียงบ้านข้างๆ(พี่อาร์ต) คุยกับเคอยู่แว่วๆ เพราะเขาชอบถ่ายรูปเหมือนกัน 

เวลาตี 3 เคออกมาถ่ายดาว

นอกเรื่องนิดนึงค่ะ พูดถึงพี่อาร์ต แกมานอนที่นี่ 1 คืน ในราคา 300 บาท ไม่เอาอาหาร เอาแค่ที่พักอย่างเดียว ซึ่งน่าเสียดายมากเลย อาหารอลังการมาก (คหสต.)  พอตกดึกฝนก็ตกตลอด อากาศก็เย็นลง นอนสบายมาก แต่จะได้ยินเสียงน้ำกระทบเสาตลอด ถ้ารำคาญแนะนำให้ฟังเพลงค่ะ แต่ฟังๆไปก็เพลินดู อยู่กับธรรมชาติ ตื่นเช้ามาด้วยอารมณ์ที่แจ่มใส ฟ้าสางแล้ว หมอกลอยอ้อยอิ่งเหนือยอดเขา ที่นี่ต่างจากภาคเหนือตรงที่ว่า หมอกไม่ลอยละพื้นน้ำ กลับลอยบนยอดเขาแทน บรรยากาศนี่สุกจะบรรยาย ฟินน้ำตาไหล 





ด้วยความที่เรายังไม่ได้พายคายัคเลย จึงบอกกับเคและแพรวว่า ไปพายคายัคก่อนนะ เคจับเรือให้เรานั่งส่งพายให้ ลุยเดียว

ตอนแรกก็ว่าจะไปเก็บบรรยากาศกลางเขื่อนยามเช้าแค่นั้น ทำไปทำมา เห็นสามเกลออยู่ลิบๆ ช่างเย้ายวนใจเหลือเกิน คิดว่าคงไม่ไกลมาก จึงได้ พายออกไป ไกลขึ้นๆ แต่ก็ยังไม่ถึงสักที นึกถึงคำบอกเล่าของแพรวและเคทันที ในใจก็คิดว่าไม่น่าเล้ยยยยย แต่พอมองตรงไปข้างหน้า อีกนิดเดียวๆ กว่าจะถึงเล่นเอาเหนื่อยล้ามาก พอถึงสามเกลอ เป็นอะไรที่ดีใจมาก ตะโกนลั่นคุ้งน้ำเลย และทำการเซลฟี่ ถ่ายรูป ดีที่พกมือถือมา เพราะว่ามีซองกันน้ำมาด้วย จึงได้ทำการเก็บภาพบรรยากาศไว้ ด้วยฝีมืออันอ่อนด้อย 5555+ (เอารูปมาเทียบกัน นี่รู้เลยใครถ่าย อับอายเล็กๆ)



ขากลับนี่หฤโหดกว่าขาไป เพราะแดดเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ 

ท้องก็หิว จ้ำไม่คิด พายไม่มีหยุด ต่างจากขาไปมาก Slow Life สุดๆ ในที่สุดก็ถึงทันเวลากินข้าวเช้า ในใจคิดว่าจะไม่ทันแล้วววว อดกินแน่ๆ (เรื่องกินเรื่องใหญ่)


พอมาถึงปุ๊บก็ดิ่งมากินข้าวต้มปลา กับหมี่ผัด ด้วยความโหยหิว อย่างที่สุด (ไม่มีภาพนะคะ หิวมากกก) จนพี่คนที่ดูแลแพขำใหญ่เลย ถามว่าลดไปกี่ขีด นี่ควรจะดีใจใช่ไหม ทานเสร็จ เราก็ไปอาบน้ำ เก็บข้าวของ เพื่อรอนั่งเรือออกจากแพ 

เราแทบจะเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ออกจากแพ เขาไปกันหมดแล้วตั้งแต่เช้า ระหว่างรอเรือก็ให้อาหารลาที่เรากินไปทั้ง3มื้อ เป็นการตอบแทน 555+ 



จากลากันไปด้วยภาพยามเช้าอีกภาพ และ ภาพหน้าบ้าน



ระหว่างทางนั่งเรือกลับ ก็ชมวิวทิวทัศน์แปลกตา  


จนถึงท่าเรือ

เรา3คนก็มานั่งพักในเต้นท์เพื่อหารถตู้ต่อไปยังเมือง ระหว่างนั้นเราก็ คุยกันว่าจะเอาไงต่อไป 
ตอนแรกก็กะว่าจะหารถเข้าเมือง ไปนั่งโง่ๆในเมือง หาของกินเรื่อยๆให้พุงแตก  ระหว่างนั้นเราก็พบว่ามีประชากรอีกกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่ก่อนหน้าเราแล้ว นั่นคือน้องๆ4คน ที่มาพักแพเดียวกับเรานั่นเอง (แต่ไม่เคยคุยกัน) 

น้องเขาก็กำลังหารถเข้าเมืองพอดี แพรวกับเคก็เลยไปคุยกะน้องเขาว่าจะช่วยหารค่ารถเข้าเมือง ตอนแรกน้องเขาจะไปแค่บ้านตาขุนเพื่อไปต่อรถเข้าเมืองเองเพราะประหยัดกว่า พวกเราขอให้ลุงคนขับรถตู้พาไปถ่ายรูปที่สันเขื่อนก่อน พวกเราก็ทำการแยกย้ายถ่ายรูป เคก็ชวนน้องๆเขามาถ่ายรูปด้วยกัน ถามไถ่กันถึงชื่อเสียงเรียงนาม นั่นก็คือ นุ่น เพ้นท์ จ๋าย และโตโต้  และสถานศึกษา ซึ่งนั่นคือที่มาของบังเอิญทริปนั่นเอง เพราะว่าทุกคนนั้นล้วนเป็นเด็กม.เกษตรฯ เหมือนกันหมดทุกคน หมิว แพรว เค  KU67 และน้องๆ รุ่น  KU71 มันช่างเป็นอะไรที่บังเอิญจริงๆ 






ลุงคนขับรถก็ดีมาก พาไปทุกที่ พาไปจุดชมวิวในเขื่อน รอบเขื่อน พาไปดูบ้านพัก 


พาไปสะพานแขวน ระหว่างนั้นก็ชักภาพกันอย่างเมามัน 



ถามไปถามมาน้องเขาก็ขึ้นเครื่องเวลา 3 ทุ่ม เหมือนกัน เพียงแต่คนละสายการบิน เราก็เลยมาตกลงกันว่า เราไปเที่ยวที่อื่นกันไหม เหมารถลุงนี่ล่ะ ไป ทุกคนก็โอเค๊ ส่งหน้าม้าอย่างเราไปเจรจา สนนราคาอยู่ที่ 2500 บาท พร้อมน้ำมัน ไปเขาสก และไปส่งที่สนามบิน ระหว่างนั้นลุงก็พาไปแวะปางช้าง พวกเราก็ได้ถ่ายรูปกับลูกช้าง มันขี้เล่นและเป็นมิตรกับทุกคน  


กลางวันเราได้ไปทานอาหารร้านอร่อย ภายนอกดูเหมือนจะเจ๊ง แต่ภายในนี่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ลูกคนก็มีมาตลอด อาหารรสชาติจัดจ้านถึงใจเลยเชียว (เผ็ดน้ำตาไหล) ตอนแรกนึกว่าลุงจะมากินด้วย แต่เปล่า ลุงแอบดอดไปกินข้าวที่บ้าน ซึ่งบ้านแกอยู่ไม่ไกลจากแถวนั้น (ภาพของกินของเก๊าเอง)



ไม่เพียงเท่านั้น ลุงแกพาไปเที่ยวถ้ำปลา ซึ่งมีปลาอยู่มากมายก่อนไปเที่ยวเขาสก 


เรามุ่งหน้าสู่เขาสก แต่ดันทำสะพาน ทำให้ต้องย้อนกลับไป 8 กิโลเมตร หนทางนั้นเปลี่ยว และขรุขระมาก เนื่องจาก 2 ข้างทางเป็นป่ายาง และสวนผลไม้ หัวสั่นหัวคลอนกันเลยทีเดียว เป็นอะไรที่สงสารรถมากๆ และในที่สุดพวกเราก็ถึง หนทางความยากลำบากยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เรายังต้องเดินเท้าไปอีก 3 กิโลเมตร เพื่อไปชมน้ำตกน้ำตกบางหัวแรด ซึ่งเป็นส่วนที่เราเดินเข้าไปกันเองได้ ถ้าลึกกว่านั้นต้องให้เจ้าหน้าที่อุทยานนำไปและเดินป่าใช้เวลานานมาก ซึ่งพวกเรามีเวลาจำกัด และสภาพรองเท้าแต่ละคนไม่พร้อมมาก พวกเราก็เดินไปคุยไป ชมธรรมชาติ ถ่ายรูป 


จนถึงน้ำตก โอ้ววววว เพื่อแค่นี้หรอ 55555+ นี่คือคำอุทาน น้ำตกไม่ได้ใหญ่โตหรือสวยอลังการมากอย่างที่คาดคิด (หวังมากไป) แต่เงียบสงบ (อาจเพราะเป็นวันธรรมดา) น้ำใส ไหลเย็นมากๆ น่าพักผ่อน 



พวกเราพักเข้าห้องน้ำ และซื้อน้ำดื่มเย็นๆ  เพราะตรงนั้นมีเจ้าหน้าที่อุทยานประจำการอยู่ พวกเราถ่ายภาพ กันอยู่พักใหญ่ๆ ก็กลับ เพราะเวลาจำกัด เดินโง่ๆกลับไปที่รถ เดินไปคุยไปพวกเราสนิทกันอย่างรวดเร็ว  

และทำการแอดเฟรนกัน เพื่อแลกภาพถ่าย “มิตรภาพนั้นเกิดขึ้นได้เพียงแค่เรายิ้มและพูดคุยกันเท่านั้นเอง” และแล้วเวลาการจากลาก็มาถึง เราเดินทางถึงสนามบิน และถามเบอร์ติดต่อลุงกร คนขับรถและนำเที่ยวอย่างดี โอกาสหน้าจะได้ใช้บริการลุงแกอีกครั้ง พวกเราก็ล่ำลา และทำการถ่ายภาพร่วมกันอีกครั้ง ที่สนามบินสุราษฎร์ธานี 

เก็บไว้เป็นที่ระลึกเก็บไว้ดู และสัญญาว่าจะเขียนรีวิวนี้บันทึกเป็นความทรงจำส่วนตัวของพวกเรา และบอกเล่าประสบการณ์และข้อมูลให้ผู้ที่สนใจ หวังว่าจะมีประโยชน์กับเพือนๆบ้างไม่มากน้อยนะคะ  


ปล. สามารถติดตามผลงานของ เค ได้ที่ https://www.facebook.com/PPK.Photo/

:::คำแนะนำ:::
- ควรพกยากันยุง พวกซอฟเฟลไปด้วยนะคะ เนื่องจากยุงค่อนข้างชุมเลยทีเดียว
- อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ควรพกยาและอุปกรณ์กันฝนไปด้วยนะคะ เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวฝนตกสลับกัน
- ควรพกยาคลายกล้ามเนื้อ ไปด้วยค่ะ กรณีจะพายคายัคไปสามเกลอ
- แพนางไพรมีสัญญาณโทรศัพท์ค่ะ แต่มีเพียงค่ายเดียวคือ ค่าย AIS ค่ะ
- ควรจองรถตู้ไปรับที่สนามบินล่วงหน้า (คิวรถ เปิด6.00น. - ปิด18.00น.)
- น้ำในเขื่อนลึกมากค่ะ แนะนำให้สวมชูชีพก่อนเล่นน้ำ
- แนะนำให้ซื้อน้ำดื่มเข้าไปสำรองด้วยนะคะ ห้องพักไม่มีน้ำดื่มให้
- ห้องพักไม่มีพัดลม ไม่มีปลักไฟ กรุณาเตรียมเพาเวอร์แบงค์ พัดลมพกพา หรือพัด ไปด้วยนะคะ
- ห้องพักไม่มีกลอนประตูนะคะ รักษาความปลอดภัยทรัพย์สินมีค่ากันเองค่ะ พยายามอย่าพกไปเยอะ
- อุทยานแห่งชาติเขาสก อยู่ห่างจากเขื่อนฯไกลพอสมควร นั่งรถประมาณ 1 ชั่วโมงค่ะ ไม่ได้อยู่ใกล้กัน



:::รายละเอียดการติดต่อและค่าใช้จ่าย :::
รถตู้จากสนามบินไปเขื่อนฯ  โทร 077-287059 ราคา 200 บาท (รถหมด 18.00น.)
รถตู้จากเขื่อนไปสนามบิน โทร 086-6926241 ราคา 200 บาท
รถตู้จากในเมืองไปเขื่อน บริษัท พันทิพย์ (ตลาดเกษตร1) โทร 077-2722330 ราคา 100 บาท
ปล.มีรถโดยสารต่อจากบ้านตาขุน(ก่อนถึงเขื่อนฯ) ไปในเมืองได้ค่ะ ราคาถูกกว่า รู้สึกจะประมาณ 70 บาท
แพนางไพร โทร 081-3657423 ราคา 800 บาท รวมอาหาร 3มื้อ และที่พัก 
    - คายัค มัดจำไม้พาย 500 บาท เช่า 100 บาท/ลำ/วัน
    - ค่าเรือ ราคา 2000 บาท ให้ทางแพติดต่อให้ค่ะ (ราคานี้อยู่แล้ว) นั่งได้เต็มที่ 10 คนค่ะ ยิ่งคนมากก้ยิ่งหารถูกมากเรือจะค้างคืนอยู่ที่แพกับเราด้วยนะคะ แต่จะอยู่คนละส่วนกับเรา
    - ชูชีพ เป็นของเรือ จะให้เรายืมไว้เล่นน้ำค่ะ
รถตู้นำเที่ยว :  โทร 061-1412619 (ลุงกร) ราคา 2500 บาท รวมน้ำมันและนำเที่ยวหลายที่เลยค่ะ คุ้มค่ามากค่ะ

:::สรุปค่าใช้จ่าย:::
ค่าตั๋วเครื่องบิน ไป 507 บาท กลับ 554 บาท รวมค่าภาษีสนามบิน ค่าธรรมเนียมน้ำมัน ค่าเค้าเตอร์เซอร์วิส ราคา 1528บาท/คน 
ค่าที่จอดรถยนต์สนามบินดอนเมือง 500/คืน 2 คืน 1000บาท เป็นเงิน 334 บาท/คน
ค่ารถตู้จากสนามบิน-เขื่อน 200บาท/คน
ค่าเข้าอุทยาน(เขื่อนฯ) 40บาท/คน 
ค่าเรือ 2000บาท/ลำ คิดเป็น 667 บาท/คน
ค่าที่พักพร้อมอาหาร 3 มื้อ ราคา 800 บาท/คน (เหมาหัว)
ค่าเช่าคายัค 100/ลำ  คิดเป็น 34 บาท /คน
ค่ารถตู้นำเที่ยว 2500บาท คิดเป็น 417 บาท/คน
ค่าเข้าอุทยานแห่งชาติเขาสก 40 บาท/คน
===== > ค่าใช้จ่าย รวม 4,060 บาท/คน
*****ราคานี้ไม่รวมค่าอาหารระหว่างวันนะคะ

จากกันไปด้วยมุมมหาชน และความคิดถึง ณ แพนางไพร



ที่มา Pantip
Cr. เลย์ออเดิร์ฟ