รีวิว สังขละบุรีหน้าฝน เปียกๆก็สวยเด้อ

สวัสดีค่ะ กระทู้นี้จะพาไปเที่ยวสังขละบุรี ไปแบบไม่มีรถส่วนตัว แล้วยังไปหน้าฝนกันอีก หวัดไม่กินถือว่าประสบความสำเร็จ อิอิ



สรุปให้ก่อน เผื่อใครขี้เกียจอ่านยาวๆเนาะ
ทริปวันที่ 30,1,2  ที่ผ่านมาค่ะ
ค่ารถกรุงเทพ-กาญจนบุรี : รถตู้ 120 บาท ขึ้นได้ที่ อนุสาวรีย์ชัย หมอชิต และสายใต้
ค่ารถกาญจนบุรี-สังขละบุรี : รถตู้ 175 บาท ขึ้นที่ สถานีขนส่งกาญจนบุรี 
ส่วนนี้ พวกเราพลาดไปขึ้นรถทัวร์ปรับอากาศ แพงกว่าแถมนั่งพื้นด้วย อย่าพลาดกันเนอะ TT
ที่พักคืนแรก : ‎P.Guest House ห้องพัดลม ห้องน้ำรวม คืนละ 300 บาท นอนได้ 2 คน
ค่ารถสังขละบุรี-น้ำตกไทรโยคน้อย : รถตู้ 175 บาท ขึ้นที่คิวรถสังขละ
ที่พักคืนที่สอง : ไทรโยคน้อยบังกะโล 1,700 บาท นอนรวม 7 คน
ส่วนขากลับ กลับรถไฟฟรี ขึ้นที่สถานีน้ำตก ลงที่สถานีธนบุรี
ค่าใช้จ่ายอื่นๆ
ค่าเช่ามอเตอร์ไซค์ที่สังขละบุรี 200 บาท น้ำมันตอนได้รถมีเท่าไหนส่งคืนก็เติมเท่านั้น
ค่าข้ามชายแดนทัวร์พม่า 200 บาท
ค่าเรือชมเมืองบาดาลเหมาลำ 300 บาท
ค่ากินนู้นนี่นั่นจ่ายตามสบายค่าา

ส่วนรูปภาพถ่ายโดย กล้องดิจิตอลและกล้องฟิล์มค่ะ  

อะมา เข้าเรื่อง ด้วยทริปนี้เพื่อนชวนมาสักพักใหญ่ๆแล้ว ตัวเราตัดสินใจไม่ได้สักที เพราะพึ่งเรียนจบ ยังไม่มีงานทำ 
อยู่บ้านเฉยๆก็เกรงใจพ่อแม่แล้ว ยังจะหน้ามึนไปเที่ยวก็ยังไงๆอยู่ แต่สุดท้ายทนลูกตื้อเพื่อนไม่ไหว โอเคแก เราไปก็ได้

ทริปนี้มีผู้เข้าร่วมในตอนแรก 8 คนค่ะ เกินครึ่งยังไม่ทำงาน แต่เพื่อนอีกจำนวนนึงทำงานแล้ว สุดท้าย เลยมาจริงๆได้แค่ 7 คน 
ความยุ่งยากในการนัดพบก็ยังมีปัญหา เพราะต่างคนต่างแยกย้ายกันไปแล้ว สรุปเลยนัดเจอกันที่ขนส่งกาญจนบุรี 
คือแกจะมายังไงก็ได้ แต่ต้องมาเจอกันที่นี่ภายในเก้าโมงเช้านะเว้ย 

ตัดภาพข้ามมา นัดเจอกันแล้ว ขึ้นรถไปสังขละ เผื่อใครไม่รู้ ว่าสังขละบุรีเนี่ย โคตรไกล นั่งรถนานมาก ราวๆสี่ชั่วโมงได้ 
หลับมาตลอดทางมาตื่นเอาตอนรถขึ้นเขา ฝนตก วิวดีมาก

ทางผ่านค่ะ อำเภอทองผาภูมิ รถจอดส่งคนตรงนี้พักนึง 


ภาพนี้ระหว่างทาง ไม่เคยเกลียดสายไฟเท่านี้มาก่อน ฮาาา

นั่งไปอีกพักก็ถึงตัวอำเภอสังขละ จนเราลงรถพี่ฝนก็ยังไม่ยอมหยุดตก ยืนคอยก็แล้ว นั่งคอยก็แล้ว เลยตัดสินใจเรียกรถให้ไปส่งที่พักค่ะ
เข้าที่พักเรียบร้อย ฝนก็ยังไม่ยอมหยุด แต่เราจะรอไม่ได้ จัดแจงเช่ามอเตอร์ไซค์ซื้อเสื้อกันฝนแล้วซิ่งไปด่านเจดีย์สามองค์กัน
ระยะทางจากสังขละบุรีไปด่านเจดีย์สามองค์ประมาณ 25 กิโลเมตร ฝนก็ตกตลอดทาง ถึงด่านก็จะมีทัวร์คนไทยเนี่ยแหละค่ะ 
รับพาเที่ยวฝั่งพญาตองซูประเทศพม่า เสียค่าเสียหายคนละ 200 แลกบัตรทิ้งไว้ โดดขึ้นสองแถวแล้วก็ไปกันเลย


ขึ้นรถแล้วถึงแกะกล้องออกมาเก็บรูปได้บ้าง วิวสองข้างทางสวยมาก เขียวไปหมด แล้วฝนพึ่งหยุด เมฆหมอกลอยกันเต็ม


แว๊บแรกช็อคมาก ทำไมคนขับแช่ขวานานขนาดนี้ ตกลงเขาขับขวากัน หน้าแตกเงียบๆ ฮาๆๆๆ






บรรยากาศวัดเสาร้อยต้น เสาเยอะมากก กว้างมาก แล้วก็เงียบมากเช่นกัน


ถัดจากวัดก็มาแวะตลาด มีร้านเครื่องดื่มร้านอบายมุขทั้งหลาย ของไม่ลงภาพเนอะ 
เชิญชิมนี่เลย หมูจุ่มพม่า มันคือทุกอวัยวะของหมู เอามาต้มตุ๋น แล้วก็หั่นเสียบๆไม้ จิ้มน้ำจิ้มซดน้ำซุบ อร่อยเหาะ 
แต่ยอมรับว่ามันดูไม่ค่อยสะอาดเลย ใครมีปัญหาท้องไส้ไม่แข็งแรงเราไม่แนะนำให้ทานเนอะ เดี๋ยวจะอาหารเป็นพิษยุ่งยากหมดสนุก

จากตลาดทีแรกมีที่ให้ไปอีก แต่เรามาถึงด่านเย็นเกินไป อยู่นานไม่ได้ ต้องกลับข้ามแดนไป จึงจัดแจงข้ามด่านกลับมา
แล้วก็ซิ่งกลับสังขละกัน ฝนตกเหมือนเดิม ตลอดทาง


กลับมาก็แวะถ่ายรูปสะพานมอญซักที เดี๋ยวเค้าจะว่ามาไม่ถึงสังขละบุรี




บรรยากาศชาวแพ จะเห็นเห็นว่าน้ำน้อยมากๆ จนแพสองฝั่งเกือบจะติดกันอยู่แล้ว แสดงว่าหน้าแล้งนี้ยาวนานมาก แล้งมากจริงๆ

ออกจากสะพานเราก็หาข้าวเย็นกัน ไปหยุดที่ร้านปิ้งย่างร้านนึง เจอน้องเคียวนายแบบสังขละ ตัวจริงน้องหล่อคมเข้มมาก
ทานเสร็จก็กลับที่พัก ฝนยังตกแบบต่อเนื่อง หลับกันสบาย รอเช้าอีกวัน

เช้ามา เราตื่นสายไปหน่อย ลุกเกือบหกโมง จากที่นัดกันตอนแรกตีห้า ฝนก็ยังพรำๆ ล้างหน้าล้างตาแปรงฟันแล้วก็ลงไปท่าเรือของที่พัก 



ได้ภาพสะพานคู่กับหมอก ของจริงสวยมาก แต่เราถ่ายทอดออกมาไม่สวยเท่าตาเห็น

จากนั้นก็ซิ่งไปสะพาน เพื่อเดินข้ามอีกฝั่งไปใส่บาตรกัน ชุดใส่บาตรหาซื้อตามร้านค้าแถวๆนั้นเลยค่ะ ซื้อแล้วจะแต่งตัวแบบชาวบ้านก็ได้ด้วย
อย่างที่บอก เราตื่นสายกัน ไปถึงพระเดินเกือบจะสุดแถวแล้ว เกือบใส่บาตรไม่ทัน ดังนั้นใครจะไปให้ทันใส่บาตร 
ควรข้ามสะพานราวๆ หกโมงเช้าค่ะ มีเวลาให้เดินชมวิวบนสะพานด้วย


ระหว่างรอใส่บาตร 

ใส่บาตรเสร็จก็หาข้าวเช้ากินกัน ได้ร้านโจ๊กแถวๆนั้น เติมหมี่กรอบไม่อั้น


ใครมาแล้วไม่เจอป้าคนนี้ถือว่าพลาดค่ะ ป้าเป็นคนสร้างความครื้นเครงให้สังขละเลยทีเดียว ถ่ายฟรีอีกต่างหาก



ระหว่างเดินไปลงเรือ ได้มุมใต้สะพานมาบ้าง


เรือจะพาทัวร์เมืองบาดาล แต่ก่อนมันเป็นเมืองปกติ ต่อมามีเขื่อน ทำให้น้ำท่วมเมือง จึงกลายเป็นเมืองบาดาลไป 
ตอนน้ำลดวัดเก่าๆก็จะโผล่ขึ้นมาให้เห็น ช่วงที่เราไป น้ำแห้งมาก จนเห็นวัดตั้งอยู่บนพื้นดินปกติ




วัดชื่อดังของเมืองบาดาลคือวัดวังก์วิเวการามเดิม และ วัดสมเด็จเก่า 
ในส่วนของวัดสมเด็จเก่านั้น ไม่ได้จมน้ำค่ะ แต่ทางมาวัดจมน้ำทั้งหมด ทำให้กลายเป็นวัดร้างกลางเนินเขา

ทัวร์เมืองบาดาลเสร็จก็ได้เวลากลับกัน เพื่อให้ทันอาบน้ำและออกจากโรงแรม


นั่งเรือกลับมาถึงใต้สะพาน ได้มุมเสยมาอีกมุม


ทางเดินแพไม้ ในช่วงน้ำเยอะสามารถเดินข้ามไปอีกฝั่งได้ แต่ตอนนี้เค้าไม่ต่อแพ เพราะน้ำน้อยเกินไป

หมดแล้วกับสังขละบุรี เก็บของคืนมอเตอร์ไซค์ แล้วก็ขึ้นรถตู้มาลงน้ำตกไทรโยคน้อย ค้างที่ไทรโยคน้อยบังกะโล 
เพื่อรอขึ้นรถไฟตอนตีห้ากลับกรุงเทพกัน
ที่แรกเราจะไปเดินน้ำตก แต่เจ้าของที่พักบอกว่า น้ำไม่ค่อยมี เลยไปเดินในเมืองแล้วก็กลับมาตั้งวงที่ห้องยาวๆกันไป

เช้าตีห้า เราเรียกสองแถวมารับให้ไปส่งที่ถานีรถไฟน้ำตก รถไฟออกประมาณตีห้าครึ่ง นั่งไปหลับไปจนมาถึงสถานีถ้ำกระแซ
ก็ลุกมาดูสะพานมรณะในมุมของคนบนรถไฟ


โค้งมรณะ ฟ้ายังสว่างไม่มาก เราเลยถ่ายภาพค่อนข้างยาก


วิวข้างทาง เริ่มเก็บภาพได้เพราะมีแสงแล้ว

ออกจากสะพานมรณะนั่งชมวิวข้างทางไปจนถึงกาญจนบุรีแล้วก็แยกย้ายกันกลับ เป็นอันจบทริปเปียกๆของเราค่ะ

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ด้านล่างคือภาพฟิล์มจากสังขละบุรีค่ะ เราหัดถ่ายภาพฟิล์มได้ 6 ม้วน ทริปนี้เป็นม้วนแรกที่พาออกเที่ยว ได้เท่านี้ ปลื้มใจค่าา



เย็นวันแรก หลังกลับมาจากด่านเจดีย์สามองค์



ตอนเช้า จากท่าเรือของที่พัก



ระหว่างเดินข้ามสะพานไปใส่บาตร


ใส่บาตร




ระหว่างเดินไปลงเรือ



บรรยากาศเมืองบาดาล 


วัดแรก เราจำชื่อวัดไม่ได้ แต่โอกาสจะเห็นวัดนี้บนพื้นดินยากมากๆ เพราะอยู่ต่ำกว่าวัดอื่นๆ โดยทั่วไปจะเห็นเพียงแค่ครึ่งเดียวค่ะ



วัดวังก์วิเวการามเดิม



ปูนปั้นประดับต่างๆยังคงอยู่ แต่หายตามน้ำไปทุกๆปี 



หอระฆัง บางปีเห็นแต่ยอด บางปีไม่เห็นเลย ถ้าน้ำไม่แห้ง จะมาชมต้องนั่งเรือมา ดำน้ำมาชมค่ะ


น้องคอยนั่งขายดอกไม้สำหรับไว้พระในโบสถ์



จนวันกลับเราก็ยังหนีฝนไม่พ้น นี่คือบริเวณตลาดสังขละ แม่ค้ากำลังตั้งตลาด ฝนก็เท

จบจริงๆแล้วค่ะ ใครจะไปช่วงนี้สามารถไปได้ สวยด้วย อาจจะเปียกแฉะไปหน่อย แต่ได้อีกมุมมองแน่นอนค่ะ ขอบคุณค่ะ 


ที่มา Pantip
Cr. ตั้งมา 28 ชื่อ ได้ชื่อที่ 29