รีวิว ว่ากันว่า “นอนเขาค้อ 1 คืน อายุยืน 1 ปี”


ผมมาเที่ยวที่เขาค้อน่าจะเฉียดๆ 20 ครั้งเข้าไปแล้ว เขาค้อเป็นหนึ่งในอำเภอของจังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ที่มีบรรยากาศแทบไม่ต่างจากภาคเหนือตอนบนเลย หากใครชอบสัมผัสความเป็นภูเขา สัมผัสอากาศหนาว ผมว่าไม่จำเป็นต้องไปเที่ยวไกลถึงเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอนแล้ว เพราะเขาค้อสามารถตอบโจทย์ของคุณได้ครับ

เขาค้อมีอะไรให้ท่องเที่ยวเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวที่สร้างขึ้นใหม่ถ้าอยากรู้ว่าเขาค้อมีอะไรดี ตามผมไปเที่ยวด้วยกันครับ


ขอเริ่มที่วัดพระธาตุผาซ่อนแก้วก่อนเลยละกันครับ วัดพระธาตุผาซ่อนแก้วอยู่บนทางหลวงหมายเลข 12 (หล่มสัก-พิษณุโลก) บริเวณบ้านแคมป์สน จาก อ.หล่มสัก ผ่านเขาคดเคี้ยวสักเล็กน้อย ก่อนที่จะถึง บ.แคมป์สน ทางขวามือจะมองเห็นป้ายบอกทาง เข้าไปตามเส้นทางอีกสักนิดหน่อยก็จะถึงกับวัดพระธาตุผาซ่อนแก้วครับ  

พื้นที่ตั้งของผาซ่อนแก้ว โอบล้อมไปด้วยทิวเขาสลับซับซ้อนและมีถ้ำอยู่บนปลายยอดเขา มีชาวบ้านได้เห็นลูกแก้วลอยเหนือฟากฟ้าแล้วหายเข้าไปในถ้ำบนยอดผา ชาวบ้านแถวนั้นเชื่อว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุเสด็จมา เลยเรียกตามๆ กันว่า “ผาซ่อนแก้ว”






เจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้วสิริราชย์ธรรมนฤมิต ออกแบบให้เลียนแบบดอกบัวที่ซ้อนกัน 7 ชั้น เพื่อถวายแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนยอดเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุครับ


บริเวณใต้ฐานพระเจดีย์เป็นที่เก็บรวบรวมหลักธรรมคำสอน ภาพปริศนาธรรม และเป็นที่เจริญสติภาวนา สำหรับพุทธศาสนิกชนทั่วไป








เจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้ว ถูกออกแบบได้อย่างสวยงาม มีการนำกระเบื้องสีจากถ้วยโถโอชามเครื่องเบญจรงค์ ลูกปัด แก้วแหวนเงินทอง รวมถึงสิ่งมีค่าต่างๆ  เข้ามาประดับประดาตกแต่งองค์พระเจดีย์ ทำให้เกิดความสวยงามวิจิตรบรรจงเป็นอย่างมาก จนการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้จัดให้ที่นี่ติด 1 ใน 10 Dream Destination กาลครั้งหนึ่ง..ต้องไป ครับ




นอกจากจะมีการนำเอากระเบื้องสี ลูกปัด ลูกแก้วต่างๆ มาประดับองค์พระเจดีย์แล้ว บริเวณพื้นทางเดินรอบๆ พระธาตุก็มีการนำเอากระเบื้องสีมาประดับประดาด้วยเช่นกัน ดูแล้วสวยงามมากๆ ครับ



เสาพุทธชัยมงคล เสาหินขนาดใหญ่ที่แกะสลักด้วยความปราณีต โดยรอบทิศทั้ง ๔ ด้านของเสาหินนั้นได้ถ่ายทอดเรื่องราวที่พระพุทธองค์ทรงมีชัยชนะเหนือหมู่มารทั้งหลาย ซึ่งมีพระสมเด็จพุทธะชัยมงคลชนะมารทรงประทับอยู่ด้านบนสุดครับ





และที่เห็นองค์พระสีขาวนั่งเรียงกันอยู่ 5 องค์ เคียงคู่กับเจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้วนั่นก็คือ พระพุทธเจ้าห้าองค์ ปัจจุบันดำเนินการก่อสร้างคืบหน้าไปได้เยอะแล้วครับ ฐานของพระพุทธเจ้า 5 องค์ จะเป็นพระมหาอุโบสถ โดยชั้นที่ 1 และ 2 จะจัดให้เป็นที่พักของผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรม และในส่วนบริเวณอื่นใช้เป็นที่ประกอบศาสนกิจ สวดมนต์ ฟังธรรม และปฏิบัติธรรมครับ


สำหรับผู้ที่จะมาเยี่ยมชมที่วัดแห่งนี้ ควรแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อย ควรถ่ายรูปในกิริยาที่เหมาะสม รักษาความสงบ ไม่ส่งเสียงดัง ไม่ควรเดินเข้าไปในพื้นที่ของผู้ปฏิบัติธรรม ช่วยกันรักษาความสะอาด ไม่นำสัตว์เลี้ยงเข้าไปในวัด และที่สำคัญเลย ดูแต่ตา มืออย่าต้อง ถ้าทุกคนสัมผัสกับกระเบื้องที่ใช้ตกแต่งองค์พระธาตุ อาจทำให้วัสดุที่ตกแต่งหลุด เกิดความเสียหายได้ครับ

สำหรับภาพของพระธาตุผาซ่อนแก้วนั้น ผมนำภาพจาก 2 ช่วงเวลามารวมกัน เลยทำให้เห็นท้องฟ้าที่แตกต่างกันครับ


หากขับรถเลยจากวัดพระธาตุผาซ่อนแก้วต่อไปอีกสักนิด จะพบกับร้านกาแฟเปิดใหม่ “PINOLATTE”  ซึ่งอยู่สูงขึ้นไปจากวัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว

ร้านนี้ตั้งอยู่ที่สูง จึงสามารถชมทิวทัศน์ได้แบบเต็มๆ ตา มองเห็นทะเลภูเขา รวมถึงวัดพระธาตุผาซ่อนแก้วได้อีกด้วย ถือเป็นจุดแข็งของร้านนี้เลยครับ 



ทางร้านได้จัดมุมให้ลูกค้าได้นั่งจิบเครื่องดื่มทั้งร้อนและเย็น รวมถึงของว่างหลากหลายชนิดอยู่หลายมุมเลยครับ





หน้าตาของว่างต่างๆ ครับ ราคาค่อนข้างสูงเลยทีเดียว ราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 160 บาทครับ สำหรับรสชาติผมว่ากลางๆ แต่ก็ถือซะว่า เป็นราคาค่าของว่าง+ค่าบรรยากาศครับ 


เครื่องดื่มก็ราคาสูงเช่นกัน เมนูร้อนราคาเริ่มที่ 70-95 เมนูเย็นราคาเริ่มที่ 75-120 บาท เมนูปั่นราคาเริ่มที่ 90- 135 บาท  ผมสั่ง Strawberry Milkshake  ราคา 125 บาท ขอบอกว่าหวานมากๆ เลยครับ



วิวที่สามารถมองเห็นได้จากร้าน PINOLATTE ครับ


ไปเที่ยวจุดอื่นกันต่อครับ ออกจากร้าน PINOLATTE ผมมุ่งหน้าสู่แยกแคมป์สน เลี้ยวซ้าย มุ่งหน้าสู่ อ.เขาค้อ





เดี๋ยวนี้เส้นทางที่มุ่งหน้าสู่ อ.เขาค้อ จะพบกับไร่สตอเบอรี่อยู่ตลอดสองข้างทางเลยครับ ผมว่าการเข้าชมไร่สตอเบอรี่ของที่เขาค้อเข้าถึงได้ง่ายกว่าทางเชียงใหม่เยอะเลย นักท่องเที่ยวที่จะซื้อสตอเบอรี่กลับบ้านสามารถเข้าไปเก็บผลในไร่ได้เลย พันธุ์ที่ปลูกจะเป็นพันธุ์พระราชทาน 80 ช่วงที่ผมไป ราคาผลใหญ่ กิโลกรัมละ 400 บาท สำหรับผลเล็กกิโลกรัมละ 200 บาทครับ 

เย็นนี้ผมมีโปรแกรมไปเก็บแสงสุดท้ายที่ อนุสรณ์สถานผู้เสียสละเขาค้อ ระหว่างทางมองเห็นเจดีย์สีขาวสูงเด่นประสง่าอยู่ข้างทางครับ




เจดีย์สีขาวที่เห็นนั่นคือพระบรมธาตุเจดีย์กาญจนาภิเษก เป็นสถาปัตยกรรมผสมผสานทั้งแบบสุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทร์ ยอดเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระอัฐิธาตุของพระพุทธเจ้าที่อัญเชิญมาจากศรีลังกา ภายในเจดีย์เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์มากมายครับ ใครมาเที่ยวเขาค้อแล้ว แนะนำให้แวะสักการะพระธาตุแห่งนี้เพื่อความเป็นสิริมงคลนะครับ


จากพระบรมธาตุเจดีย์กาญจนาภิเษกไปยังอนุสรณ์สถาน ระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตร แต่ช่วงใกล้ๆ ถึงอนุสรณ์สถาน เส้นทางค่อนข้างสูงชัน คงต้องขับรถกันด้วยความระมัดระวังนะครับ

ผมแวะพักชมวิวกันบริเวณด้านข้างของพิพิธภัณฑ์อาวุธฐานอิทธิ จุดดังกล่าวจะทำเป็นระเบียงให้ขึ้นไปชมวิวมุมกว้างของเขาค้อได้ครับ สวยงามเลยทีเดียว


บริเวณใกล้ๆ ทางเข้าพิพิธภัณฑ์อาวุธฐานอิทธิ ได้ปลูกต้นค้อ ที่มาของชื่อ “เขาค้อ” ไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ชมด้วยครับ 

ภายในพิพิธภัณฑ์อาวุธฐานอิทธิ เคยเป็นฐานปืนใหญ่ยิงสนับสนุนการสู้รบ ปัจจุบันกลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง ที่จัดแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ใช้สู้รบในสมัยนั้น มีห้องจัดนิทรรศการแสดงเกี่ยวกับอุปกรณ์ เครื่องใช้ เสื้อผ้า อาวุธของคอมมิวนิสต์ด้วย ที่นี่เปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 07.00-17.00 น.

จากพิพิธภัณฑ์อาวุธฐานอิทธิไปไม่ไกล ก็จะมาถึงอนุสรณ์สถานผู้เสียสละเขาค้อแล้วครับ


แท่งหินอ่อนรูปทรงสามเหลี่ยมขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขาถูกสร้างขึ้นเพื่อเตือนใจคนไทยทั้งชาติว่า “ยามใดที่คนไทยขัดแย้งกัน จะต้องมีการสูญเสียอย่างผู้กล้าหาญ 1,171 ชีวิต ที่จากรึกไว้กับองค์อนุสรณ์ จงอย่าให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก”

สำหรับรูปทรงสามเหลี่ยมนั้น ออกแบบให้มีความหมายตามขนาดและรูปร่าง รูปทรงสามเหลี่ยมหมายถึงการปฏิบัติการร่วมกันระหว่างพลเรือน ตำรวจ และทหาร, ฐานอนุสรณ์สถานกว้าง 11 เมตร หมายถึง พ.ศ.2511 อันเป็นปีเริ่มการปฏิบัติการรุนแรงของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ในพื้นที่เขาค้อ, ความสูงจากแท่นบูชาถึงยอดอนุสรณ์สถาน 24 เมตร หมายถึง พ.ศ.2524 อันเป็นปีที่เปิดยุทธการครั้งใหญ่, ความสูงจากฐานถึงยอดอนุสรณ์สถาน 25 เมตร หมายถึงปี 2525 อันเป็นปีสิ้นสุดการต่อสู้ด้วยอาวุธ ความกว้างฐานสามเหลี่ยมด้านละ 2.6 เมตร หมายถึงปี 2526 อันเป็นปีเริ่มการก่อสร้างอนุสรณ์สถานผู้เสียสละแห่งนี้ครับ



ด้านข้างของอนุสรณ์สถานผู้เสียสละเขาค้อ มีการจำลองฐานการสู้รบ เป็นเนินเตี้ยๆ มีหลุมหลบภัย มีกระสอบทราย บังเกอร์ ซึ่งในอดีตที่แห่งนี้เป็นฐานแห่งแรกที่ทหารไทยยึดคืนมาได้จากการสู้รบกับคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยครับ


บริเวณฐานการสู้รบจำลองนี้ยังเป็นจุดชมวิวเมืองเขาค้อได้อย่างสวยงามจริงๆ  มองเห็นพระบรมธาตุเจดีย์กาญจนาภิเษกด้วยครับ


นอกจากนี้ยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกได้อีกด้วย



บรรยากาศหลังพระอาทิตย์ตกไปแล้ว แสงสุดท้ายเริ่มปรากฏให้เห็นครับ


ยามพลบค่ำ บริเวณฐานการสู้รบจำลองสามารถมองเห็นดาวบนดินในตัวเมืองเขาค้อได้ด้วย สวยงามมากๆ ครับ


ผมย้อนกลับมาทางแยกแคมป์สนอีกครั้งเพื่อเข้าสู่ที่พัก คืนนี้ผมเข้าพักที่ The Imperial Phukaew Hill Resort ครับ ซึ่งโรงแรมอยู่ไม่ไกลจากแยกแคมป์สนมากนัก




บรรยากาศภายในโรงแรมถือว่าร่มรื่นมากๆ มองไปทางไหนดูสดชื่นไปหมด




ตัวอาคาร Lobby จะอยู่คนละจุดกับห้องพัก Check in แล้วจะมีรถของโรงแรมนำไปยังห้องพัก อาคารในส่วนนี้ประกอบไปด้วย Lobby ห้องอาหาร และห้องสัมมนาครับ


บริเวณ Lobby


มีที่ให้แขกได้นั่งพักผ่อนระหว่างรอ Check in ครับ


มีสระว่ายน้ำอยู่บริเวณอาคารหลังนี้ครับ



ห้องพักของผมคืนนี้เป็นแบบ Hillside Chalet Deluxe จากถนนภายในโรงแรม จะต้องอาศัยแรงขาเดินขึ้นไปตามห้องพัก เส้นทางที่เดินขึ้นจะมีความลาดชัน แต่ทางโรงแรมได้ทำเป็นทางเดินไว้ให้ อาจลำบากสักนิดสำหรับผู้สูงอายุครับ


เมื่อเปิดประตูห้องพักเข้ามา ด้านซ้ายมือจะเป็นห้องน้ำ ส่วนด้านขวามือจะเป็นพื้นที่สำหรับแต่งตัว มีตู้เสื้อผ้า รวมถึงโต๊ะทำงานให้ครับ



ถัดจากพื้นที่แต่งตัวจะเป็นเตียงนอนครับ ภายในห้องจะเป็นพื้นต่างระดับ เล่นระดับ 3 ระดับ คือ พื้นที่แต่งตัว, เตียงนอน และพื้นที่นั่งเล่นครับ



บริเวณพื้นที่นั่งเล่น มีทีวีเครื่องเล็กๆ และเตาผิงไฟให้ด้วย แต่ดูจากสภาพแล้วเตาผิงไฟยังไม่ผ่านการใช้งานครับ


ในส่วนของห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ วางติดอยู่กับโถสุขภัณฑ์ ผมว่าการวางตำแหน่งยังไม่ค่อยลงตัวเท่าที่ควร เนื่องจากเวลานั่งโถสุขภัณฑ์ ขาจะไปติดกับอ่างอาบน้ำเลยครับ



สำหรับห้องอาหาร จะอยู่ชั้นล่างของ Lobby ครับ

โดยรวมแล้วสภาพห้องจะเก่าไปสักนิด การเดินขึ้นห้องพักต้องเดินขึ้นในเส้นทางที่ค่อนข้างชัน ห้องพักและ Lobby/ห้องอาหาร อยู่คนละจุดกัน  สำหรับบรรยากาศภายในโรงแรมถือว่าโอเคครับ

ภายในโรงแรมมีในส่วนของกิจกรรม Adventure ซึ่งไม่รวมอยู่ในค่าห้อง หากต้องการจะเล่นกิจกรรมใดก็เสียค่าบริการเป็นจุดๆ ไปครับ


เช้าวันใหม่ ผมตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง เพราะตั้งใจจะไปชมแสงแรกของวัน จริงๆ จุดชมวิวที่สามารถชมทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้นที่ใกล้ที่สุดกับที่พักของผมเห็นจะเป็นร้าน PINOLATTE ครับ แต่ผมเลือกที่จะไปดูทะเลหมอกที่เขาตะเคียนโงะ เพราะจุดนี้ผมยังไม่เคยไปครับ

ต้องอาศัยงมเส้นทางกันไปตลอดทางเพราะไม่รู้พิกัดว่าเขาตะเคียนโงะอยู่ตรงไหน ผมเลือกใช้เส้นทางที่ผ่าน สวนสัตว์เขาค้อ ,น้ำตกศรีดิษฐ์ วิ่งไปจนถึงสามแยกที่เลี้ยวขวาจะไปหนองแม่นา ให้เลี้ยวซ้ายเพื่อมุ่งหน้าไปยังพระตำหนักฯ จากสามแยกนี้ไปไม่ถึง 5 กม. จะมองเห็นถนนที่จะพาขึ้นไปยังเขาตะเคียนโงะทางด้านซ้ายมือครับ


ผมมาถึงยังเขาตะเคียนโงะราว 05.45 น. ฟ้ายังไม่สว่าง ยังพอมองเห็นกลุ่มดาวอยู่บ้างครับ




เพียงไม่นาน แสงแรกเริ่มปรากฏให้เห็นหลังเขาย่า และค่อยๆ เปลี่ยนสีไปตามเวลา




ไม่นานนักพระอาทิตย์ดวงโตก็โผล่ขึ้นมาทักทาย







เมื่อแสงเริ่มปรากฏ ผมก็เริ่มเห็นสายหมอกชัดขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าวันนี้หมอกจะไม่จับตัวหนาเป็นทะเลหมอกเหมือนที่ผมเคยเห็น แต่ก็ยังเห็นสายหมอกบางๆ ที่ปกคลุมผืนป่าอยู่เบื้องหน้า สวยไปอีกแบบครับ แสงสีทองที่สาดส่องมายังสายหมอก ทำให้หมอกกลายเป็นสีทองด้วยเช่นกัน สักพักจากสีทองกลับกลายเป็นสีขาว ดูไม่ต่างอะไรกับขนมสายไหมเลยครับ



จุดชมวิวเขาตะเคียนโงะ เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับชมทะเลหมอกของเขาค้อครับ ที่นี่มีจุดเด่นอยู่ที่สามารถชมวิวได้ 360 องศาเลย ถ้าหากโชคดีเจอทะเลหมอกหนาๆ จะทำให้เรารู้สึกเหมือนว่าได้ยืนอยู่บนเกาะที่รายล้อมด้วยก้อนหมอกครับ


จากจุดชมวิวเขาตะเคียนโงะ ผมย้อนกลับมายังเส้นทางเดิม เพื่อแวะชมบรรยากาศยามเช้าของอ่างเก็บน้ำรัตนัย ซึ่งเป็นต้นกำเนิดการเกิดหมอกครับ








หลายคนอาจจะสงสัยว่าอ่างเก็บน้ำรัตนัยอยู่ตรงไหน ถ้าหากเราขึ้นไปยืนบนจุดชมวิวหน้าที่ว่าการอำเภอเขาค้อ หากมองลงมายังเบื้องล่างจะเห็นอ่างเก็บน้ำอยู่หนึ่งอ่างฯ นั่นแหล่ะครับคืออ่างเก็บน้ำรัตนัย ยามเช้าบรรยากาศที่อ่างเก็บน้ำรัตนัยดีมากๆ มีสายหมอกบางๆ ลอยขึ้นมาจากผิวน้ำ ไม่ต่างอะไรกับ Dry ice เลย เบื้องหลังโอบล้อมไปด้วยทิวเขา บรรยากาศดูไม่ต่างอะไรกับปางอุ๋งเลย บริเวณอ่างเก็บน้ำสามารถกางเต้นท์ได้ครับ แต่ต้องขออนุญาตกับเจ้าหน้าที่ก่อนนะครับ แต่ถ้าหากใครไม่อยากกางเต้นท์ ก็มีบ้านพักภายในอ่างเก็บน้ำด้วย โดยสามารถติดต่อผ่านโครงการชลประทานเพชรบูรณ์ได้ครับ

“นอนเขาค้อ 1 คืน อายุยืน 1 ปี” เป็นจริงหรือเปล่านั้นผมไม่รู้ เพราะพิสูจน์กันไม่ได้ แต่สิ่งที่ผมรู้คือทุกครั้งที่ผมมาที่เขาค้อ ผมรู้สึกสดชื่น ได้ผ่อนคลาย ได้มาสัมผัสความหนาว มันเหมือนเป็นการชาร์จแบตเตอรี่ในร่างกายของผมให้ผมมีกำลังที่จะต่อสู้กับโลกแห่งความเป็นจริงกันต่อไป


ที่มา Pantip
Cr. ลุงเสื้อเขียว