รีวิว 3 วัน 2 คืน พัทยาฮิลลิ่งทริป ณ Centric Sea Pattaya

สวัสดีค่ะ ชาวพันทิป 

เข็นกระทู้ ตามล่าหาพอดก๊ด จบไปแล้ว 
คราวนี้ ได้ฤกษ์ดี(?) สร้างกระทู้รีวิวการท่องเที่ยวเป็นทริปที่สอง 
ความจริงก็ไม่มีอะไรมากค่ะ แต่ตั้งปณิธานกับตัวเองไว้ ว่า "ชั้นจะต้องมีทริปให้รางวัลชีวิตกับตัวเองทุกเดือน"
ความจริงแล้ว หลังจากกลับจากเกาหลีก็สร้างทริปให้ตัวเองมาตลอด 
แต่วันนี้ เพิ่งถอยกล้องตัวใหม่ เลยถือโอกาสนี้มารีวิวทริปสโลไลฟ์ สไตล์คนขี้เกียจ  




ทริปนี้ มีผู้ร่วมชะตาชีวิตด้วยกันเป็นชะนีสามคน 
คนแรกคือเราซึ่งจุดประสงค์รองจากการพักผ่อนคือส่องโอ้ปป้า ส่วนคนที่สองเป็นชะนีผู้หวังไปส่องฝรั่ง และคนที่สามเป็นน้องในที่ทำงานอีกคน 
กว่าจะลงตัวว่าจะพักที่พักกันได้ ก็อีกสามวันเดินทาง เราตกลงใจกันว่าจะพักกันที่ Centric Sea Pattay ซึ่งเราจองผ่าน Booking ไป 

เราเริ่มจากการเดินทางจากขนส่ง กรุงเทพฯ-พัทยา ด้วยเวลา ๑๗.๐๐ น.
ความจริงตอนแรกนัดกันสี่โมงเย็น แต่ ด้วยความที่เวรเช้า ทำงานเลิกบ่ายสาม เลยเลทไปตามระเบียบ แต่ดีที่มีรถตลอด 
ระหว่างทาง ท้องฟ้าปลอดโปร่งดี แต่พอใกล้ถึงพัทยา ฝนตกจ้า เริ่มคิดแล้วว่า ถ้าฝนตก ทริปนี้นกแน่ๆ แต่พอไปถึงพัทยา ฝนก็หยุด 

เราเดินทางไปที่พักด้วยรถสองแถว ในราคา ๑๕๐ บาท สามคน เมื่อไปถึง ก็ติดต่อเจ้าของห้องแล้วเค้าก็พาไปดูห้อง 
ลักษณะของห้อง คือเป็นคอนโด แล้วเค้าให้เช่า 



อันนี้แอบลักไก่เอาเป็นรูปวันกลับลงเพราะตอนไปถึง ทุกคนเทกระจาดของรกไปหมด 

เตียงนอน เป็นเตียงใหญ่หนึ่งเตียง แล้วก็มีโซฟา(?) ยาวๆ ติดกับผนัง นอนกันสามคนสบาย 




ส่วนของห้องน้ำ 



โซนนั่งเล่น ดูทีวี 



บริเวณกินข้าว และครัว  มีตู้เย็น เตาไฟฟ้า กาน้ำ หม้อ กะทะ และไมโครเวฟ  



มีเครื่องซักผ้าให้ 



เรานอนเอาแรงกันซักพัก ก็ออกเดิน จากห้อง ตั้งใจว่าจะไป walking street  ด้วยการเดิน เดินเลาะหาดไปเรื่อย มีความหิว
คุณเพื่อนเลยชวนกันกินแมคโดนัล คือเราเป็นประเภทกินง่าย อะไรก็กิน เลยกินไป พอกินเสร็จ ก็เดินต่อไปจนถึง walking street 
(ในส่วนของถนนคนเดินเราขอไม่พูดถึง เพราะคิดว่าหลายคนคงรู้จักอยู่แล้ว และคงมีคนที่สามารถรีวิวได้ดีกว่าเราเยอะเลย ^^ )
เราปิดท้ายคืนนั้นที่ Insomnia สนุกดี และมีความอาหารตา ๕๕๕ แต่สู้เจ้าถิ่นไม่ได้ค่ะ นกกันไป กว่าจะกลับถึงห้องก็ปาเข้าไปตีสี่ ๕๕๕๕๕ 
แล้วเรามีแผนว่า จะไปดูพระอาทิตย์ขึ้น หาข้อมูลมา เค้าบอกต้องขึ้นไปที่เขาพระตำหนัก ดูเวลาพระอาทิตย์ขึ้นตอน ๕.๕๕ คือ
ตอนนั้นตีสี่แล้ว ไม่ต้องนอนค่ะ อาบน้ำ เตรียมตัว ปลุกน้องมาอาบน้ำ พอลงไปข้างล่าง เจ้าหน้าที่ก็บอกว่า ทำไมไม่ดูบนตึกเราล่ะ วิวดาดฟ้าสวยนะมองเห็น 
ถ้าไปเขาก็ไปไม่ทัน แล้วยังมีคอนโดที่เป็นปัญหาอยู่บังอีกนะ เท่านั้นแหละค่ะ รีบขึ้นไปที่ชั้น ๔๔ ดาดฟ้าเลย
พอเห็นวิวเท่านั้น ถึงกับกรี๊ดค่ะ อยากนอนที่นี่เพราะสระว่ายน้ำนี่แหละค่ะ ของจริงสวยกว่าในรูปเยอะมากค่ะ  



รอจนแล้วจนเล่า เจ้าพระอาทิตย์ก็ไม่ออกมา ส่องแสงน้อยๆแค่นั้น 





นั่งเล่นรับลมเย็นๆ สบายๆ ก็เริ่มมีความง่วง แต่พึงระลึกได้ว่า ยังไม่ได้กินและยังไม่ได้นอน เลยตัดสินใจว่าจะไปหาอาหารทะเลมาทำกับข้าวกินกัน 
โดนค่ารถไปส่งตลาดอีก ๑๕๐ บาท ก็ได้พวกปลาหมึกกับกุ้งมาอย่างละหน่อย ทำกับข้าว กินเสร็จแล้วก็นอน ตั้งใจว่าช่วงบ่าย จะไปปราสาทสัจธรรม 

บ่ายสองครึ่ง หลังจากอายน้ำ โมดิฟายหน้าใหม่ก็ได้เวลาออกเที่ยวอีกที 
คราวนี้ เราเริ่มกันที่หน้าคอนโด ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะไปหาขึ้นรถสองแถวตรงใกล้ๆ walking street แต่ปรากฏ รถไม่เลี้ยว ตรงไปอย่างเดียว
สุดท้ายก็โดนเหมาไปอีก ๑๕๐ บาท 

แต่ที่ทำเราช็อกกว่าทางเข้าที่เข้าซอยดูลึกลับ ก็ค่าเข้าชมนี่แหละค่ะ ๕๐๐ บาท/คน เท่ากันทั้งคนไทยและต่างชาติ 
จะกลับตัวก็ไม่ได้แล้วทีนี้ ไหนๆก็มา เลยตัดสินใจเข้าชม 



เดินต่อไปเรื่อยๆ จะมีจุดตรวจตั๋ว ถ้าคนไหนใส่ขาสั้น ก็จะมีบริการให้ยืมผ้าคลุม มัดจำผืนละ ๒๐๐ บาท ตัวปราสาทจะอยู่ติดทะเล ต้องเดินลงบันไดตามทางไป 

การเข้าชมที่นี่ ขณะที่อยู่ในตัวปราสาท จะต้องใส่หมวกแข็งๆเหมือนวิศวะกรด้วย เพราะตัวปราสาทนั้น จะมีการทำไปและแก้ไขไปเรื่อยๆ
จะมีจุดที่สามารถเข้าชมได้ และไม่เปิดให้เข้าชม 



ช่อฟ้าไม่เป็นรูปพญานาค แต่เป็นช่อฟ้าที่เป็นรูปมนุษย์ที่มีศีลธรรมอันดี เหมือนนางฟ้าหรือเทพเจ้า 



ความรู้อะไรก็ไม่ค่อยมี ก็เดินวนไปหาทางขึ้น 





ทางขึ้น อยู่อีกฝั่งของปราสาท 





ห้องโถงกลาง มหาบุษบก การหลุดพ้น













เราเดินวนอยู่ไม่นานก็ต้องออก เพราะมองออกไป เห็นฝนตั้งเค้ามาจากกลางทะเลก้อนดำใหญ่มาก 

ออกมาเจอการแสดงพอดี 



ใกล้ๆกันมีกรงอะไรไม่รู้อยู่เลยเข้าไปดู เจอเจ้านี่เข้า ชะนีบ้ากระต่ายอย่างเราเลยอดไม่ได้ที่จะถ่ายมา น่ารัก เห็นละคิดถึงกระต่ายตัวเอง ๕๕๕๕๕ 

มีความชุมนุม ซ่องสุมกำลัง



บริเวณจุดชมวิว 



หลังจากนั้น ฝนก็เทลงมาแบบไม่ทันตั้งตัว แผนที่ว่าจะกลับไปเล่นน้ำแล้วก็ดูพระอาทิตย์ตกที่คอนโดเริ่มสั่นคลอน 
รออยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงฝนก็หยุดตก แต่ฟ้าก็ยังมืดอยู่ดี เลยชวนน้องไปถ่ายรูปเล่นกันที่ Art in paradise แทน 
(ขอข้ามขั้นตอนในช่วงนี้เช่นเคย ปล. ล่าสุดค่าเข้าชม ณ วันที่ ๙ ราคา ๒๐๐ บาท สำหรับคนไทย) 
พอออกมา ฝนก็ยังปรอยๆ แต่เริ่มเห็นแสง แล้วก็มองเห็นตัวคอนโด น้องเลยชวนเดินกลับ เราก็โอเค เดินกลับกันก็ได้ 
ระยะทางจริงเกือบสองกิโลเมตรได้ 

พอกลับมาถึงห้องฝนหยุดแล้ว!!!! ไปเล่นน้ำกัน!! 





หลังจากเล่นน้ำกันจนอิ่มแล้ว ก็คุยกันว่าไปอีกดีมะ ไปเที่ยว walking street กันอีกทีเถอะ ก็เลยโอเค กินข้าวแล้วไปกัน 





ปิดฉากคืนที่สองแบบไม่ค่อยดีเท่าไหร่ กำลังฟิน แต่น้องอยากกลับแล้วก็เลยโอเค กลับก็กลับ ไม่ได้อะไรทั้งนั้น มีความชวดโอ้ปป้าไปอีก

ตื่นเช้าวันสุดท้าย ความจริงตั้งใจว่าจะตั้งนาฬิกาปลุกไว้เก้าโมง แต่ดันปลุกแปดโมง เลยชวนน้องขึ้นไปถ่ายรูปที่สระอีกที 



แล้วก็วนมาที่สวน ชั้นสาม 



พอเก็บของเก็บอะไรเสร็จ ตอนแรกว่าจะไปตลาดน้ำสี่ภาคต่อ แต่ขี้เกียจกัน น้องที่ไปด้วยบอกมาทะเลแต่หนูยังไม่ได้เหยียบทะเลเลยนะพี่ 
เท่านั้นแหละค่ะ หน้าสั่นกันเลยทีเดียว ๕๕๕๕ เราชอบทะเลแต่เราไม่ค่อยชอบเล่นน้ำทะเล เพราะคัน งานนี้เลยขอบาย

ไอติมตัดอันละ ๒๐ บาท 




ตัดสินใจว่ากลับกันเถอะ เดี๋ยวต้องไปทำงานเวรดึกกันต่อ เลยโอเค กลับก็กลับ ก็เสียค่ารถไปอีก ๒๐๐ บาท เพื่อไปขึ้นรถบัสไปลงเอกมัย 


สรุปค่าใช้จ่ายทั้งหมด 

ค่าที่พัก ๓๔๐๐ บาท ( ๒ คืน) 
ค่าเดินทาง  ๙๖๐ บาท 
หาร ๓ = ๑,๔๕๓ บาท  

ค่าบัตรเข้าชม 
ปราสาทสัจธรรม: ๕๐๐ บาท
Art in paradise: ๒๐๐ บาท 

ค่ากิน ขอไม่พูดถึงนะคะ เพราะแต่ละคนมีสไตล์การกินที่ไม่เหมือนกัน 

สุดท้าย หวังว่ารีวิวนี้ จะมีประโยชน์สำหรับคนที่มองหาการพักผ่อนใกล้ๆกรุงเทพฯ 
แบบสบายๆ นอนดีๆ วิวสวยๆ  ไม่รีบเร่ง ไม่ใช่ทัวร์ และไม่มีอะไรเลย ๕๕๕ 

ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ 

tttttakky


ที่มา Pantip
Cr. สมาชิกหมายเลข 1220793