รีวิว เมืองอะไรไม่รู้ ยิ่งดู ยิ่งมีเสน่ห์ ก็ "น่าน" ไง

หากเอ่ยถึง "น่าน"  แล้วล่ะก็ "น่าน" เป็นจังหวัดเล็กๆ เรียบง่าย และมีเสน่ห์ในตัวไม่น้อยเลย สำหรับเราเอง เคยไปน่านครั้งแรกตอนยังเป็นนักศึกษา ได้ทั้งเที่ยว และประสบการณ์อะไรต่างๆ เยอะเลย จากนั้นก็มีโอกาสได้ไปเที่ยวน่านอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้มันทำให้เราหลงรักจังหวัดนี้แบบเต็มหัวใจกันเลยทีเดียว ตามมาดูกันค่ะว่าเมืองนี้เค้ามีอะไรน่าเที่ยวกันบ้างน้ออออ
มาถึงน่านแล้ว สิ่งแรกที่ต้องทำก่อนเลยคือ "ที่พัก" นั่นเอง หลังจากที่ search หาข้อมูลในเน็ตมากมาย สุดท้ายเรามาได้ที่ "คุ้มเมืองมินทร์" ค่ะ ที่พักเล็กๆ น่ารักทีเดียวเชียวค่ะ เป็นบ้านไม้สีเขียว-ครีมสองชั้น ตกแต่งสไตล์โคโลเนียล



ส่วนภายในห้องก็เน้นความเรียบง่าย นำความเก่าและใหม่มาผสมผสานกันได้อย่างลงตัว ขณะเดียวกันเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ แอร์ ทีวี ตู้เย็น


ส่วนใครที่อยากสัมผัสห้องพักแบบเกสต์เฮ้าส์ ที่น่านก็มี "ศรีนวล ลอดจ์" เกสต์เฮ้าส์เล็กๆ ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนไปนอนบ้านคุณตาคุณยาย ขณะเดียวกันก็ยังมีความเป็นส่วนตัว แถมราคาเบาๆ อีกด้วยนะขอบอก



ได้ที่พักเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราไปเที่ยวกันเลยดีกว่า "วัดภูมินทร์" เป็นที่เที่ยวแรกที่ไม่ควรพลาด เพราะเป็นวัดสำคัญคู่บ้านคู่เมืองน่านมาเป็นเวลาช้านาน ความโดดเด่นของวัดภูมินทร์ คือเป็นวัดที่สร้างทรงจัตุรมุขหนึ่งเดียวในประเทศไทย ที่ดูคล้ายตั้งอยู่บนหลังพญานาคขนาดใหญ่  2 ตัว แหนพระอุโบสถเทินไว้กลางลำตัว  ทั้งยังมีความเชื่อที่เล่าสืบๆ ต่อกันมาว่าหากใครได้ไปลอดท้องพญานาคแล้วจะได้กลับมาเยือนเมืองน่านอีก จะเชื่อหรือไม่ก็ลองลอดดู เราลอดมาแล้ว และได้กลับมาเยือนเมืองน่าน 2 ครั้งแล้วล่ะ





อีกหนึ่งไฮไลท์ของที่นี่หนีไม่พ้นภาพจิตรกรรมฝาผนังซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญถึงมากที่สุดต้องยกให้ภาพ “ปู่ม่าน ย่าม่าน” ซึ่งอยู่ใกล้กับประตูทิศตะวันตก เป็นภาพขนาดใหญ่ใกล้เคียงกับขนาดคนจริงของชายหนุ่มและหญิงสาวในชุดแต่งกายแบบพม่าหรือแบบไทยใหญ่ ในอิริยาบถยืนเคียงกัน ฝ่ายชายจับบ่าหญิงสาวและใช้มือป้องปากเหมือนกำลังกระซิบกระซาบถ้อยคำบางอย่างข้างๆ หู ซึ่งไม่มีใครทราบว่ากระซิบว่าอย่างไร อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะไปที่ไหนของเมืองน่าน ก็มักจะเห็นภาพปู่ม่าน ย่าม่านเต็มไปหมด และภาพนี้ก็ได้รับการขนานนามว่าเป็นภาพ “กระซิบรักบันลือโลก” และกลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองน่านไปเรียบร้อยแล้ว


จากนั้นเรามุ่งหน้าไปยัง "พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน" เพื่อไปชมปูชนียวัตถุชิ้นสำคัญ นั่นคือ "งาช้างดำ" ซึ่งตามประวัติกล่าวไว้ว่า ได้มาจากเมืองเชียงตุง ตั้งแต่ครั้งโบราณ เมื่อเจ้ามหาพรหมสุรธาดา เจ้าผู้ครองนครน่านองค์สุดท้ายถึงแก่พิราลัย เจ้านายบุตรหลานจึงมอบให้เป็นสมบัติของแผ่นดินพร้อมหอคอย


งาช้างดำนี้เป็นงาปลีเปลือกสีน้ำตาลเข้ม ขนาดความยาว 97 เซนติเมตร วัดโดยรอบ 47 เซนติเมตร มีน้ำหนักประมาณ 18 กิโลกรัม ส่วนปลายมนมีจารึกอักษรธรรมล้านนา ภาษาไทยกำกับไว้ว่า "กิ่งนี้หนักหนึ่งหมื่นห้าพัน" หรือประมาณ 18 กิโลกรัม

ที่เที่ยวสุดท้ายของวันนี้  ต้องขับรถนอกเมืองออกไปซักนิด เพื่อไปนมัสการพระธาตุที่ "วัดพระธาตุเขาน้อย" นอกจากนี้จะได้เห็นทิวทัศน์ของเมืองน่านกว้างไกลไปสุดสายตาแล้วยังทำให้เราได้เห็นน่านในอีกมุมมองหนึ่ง สวยไม่ใช่เล่นเลยทีเดียว 



เหน็ดเหนื่อยกันมาตลอดทั้งวันแล้ว ขอแวะไปเติมพลังให้ร่างกายกันที่ร้าน "ขนมหวานป้านิ่ม" ร้านขนมหวานชื่อดังถ้าใครมาน่านแล้วไม่ได้กิน นับว่าไปไม่ถึงจริงๆ นะ 
ขนมหวานขึ้นชื่อของป้าต้องยกให้ "บัวลอยไข่หวาน"  ที่แป้งนุ่ม หอม หวานอร่อย ถึงขนาดที่พี่จุ้ย-ศุ บุญเลี้ยงนำไปใส่ในเนื้อร้องของเพลง "น่านน่ะสิ" ส่วนเมนูที่เราเทใจให้เต็มๆ ต้อง "ไอศกรีมกะทิสดข้าวเหนียวมะม่วง" ไอศกรีมรสหวาน หอม ข้าวเหนียวนุ่ม ตัดกับรสเปรี้ยวอมหวานของมะม่วงได้อย่างลงตัว


ร้านของหวานอีกร้านที่อยากให้ไปลองชิมกันดูคือร้าน  "i SUGAR" ร้านเค้กตกแต่งในสไตล์ยุโรป มีมุมน่ารักๆ ให้ถ่ายรูปเพียบ ส่วนเค้กก็หน้าตาน่ารักไม่แพ้ตัวร้านเลย มีทั้งเค้กแฟชั่น และเมนูเครื่องดื่มที่น่าลิ้มลองอีกมากมาย





อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ไม่รู้ว่ามีใครอยากจะไปสัมผัสความน่ารัก เล็กๆ และมีเสน่ห์ของ "น่าน" เหมือนที่เราเคยได้ไปเจอมาบ้างมั้ยนะ 

ขอบคุณที่ติดตามคร่า


ที่มา Pantip
Cr. สมาชิกหมายเลข 3286522