รีวิว บ้านระเบียงดาวเต็ม เลยนอนที่บ้านสายหมอกแทน รีวิวดิบๆ แบบคนไม่เคยไปมาก่อน


สวัสดีครับ


29 มิ.ย. 59 (วันพุธ)

“อยากเที่ยวว่ะ”

พอความคิดนี้แว๊บเข้ามาในหัว ก็อย่าให้มันเสียเปล่าไปครับ ผมกางรัศมี 100 กิโลเมตรจากตัวเมืองเชียงใหม่เช่นเดิม เป็นระยะทางที่คิดว่าสามารถแว้นส์แมงกะไซด์คู่ใจไปได้โดยไม่ลำบากมากนัก แล้วที่ไหนที่ยังไม่เคยไป ... เชียงดาว ... ระเบียงดาว ... โอเค เสิร์ชหาเบอร์เลยครับ ก็ได้ข้อมูลจากคุณพี่[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ ช่วยไว้ โทรไปหาระเบียงดาว เพื่อที่จะขอซุกหัวนอนในวันเสาร์ที่ 2 ก.ค. 59 ปรากฎว่าที่พักเต็มยาวไปจนถึงสิ้นเดือน ผมรอไม่ไหวครับเพราะกลัวอารมณ์อยากเที่ยวมันจะมอดลงไปเสียก่อน ก็โทรหาที่อื่น ส่วนใหญ่จะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ แต่ผมโทรติดที่บ้านสายหมอก ดูรูปแล้วก็โอเค เลยจัดการจองเรียบร้อย เป็นเงิน 400 บาท พร้อมข้าวมื้อเย็นและมื้อเช้า เหตุผลที่ 400 เพราะบ้านของผมไม่มีห้องน้ำในตัว ต้องใช้ห้องน้ำรวม แต่ผมไม่ได้อะไรมากอยู่แล้ว กะจะไปนอนเต้นท์เสียด้วยซ้ำ แต่ได้บ้านก็ดีแล้วครับ จบเรื่องที่พัก ต่อด้วยเรื่องหาคนไปเที่ยวด้วยกัน ผมก็จัดการโพสลง Timeline ของไลน์ว่าจะไปพักที่นี่ วันนี้ ใครสนใจทักมาเลย พร้อมกับลงภาพประกอบการตัดสินใจเรียกแขก หึหึ แล้วก็รอให้ถึงวันเดินทางครับ...


2 ก.ค. 59 (วันเสาร์)

เงียบครับ... ไม่มีใครทักมาสักคน กรูต้องไปคนเดียวสินะ เอาวะ! อย่าไปกลัว!!!

8.00 น. เริ่มออกเดินทางไปกินข้าวเช้าที่ อมช. ก่อนเลย ข้าวคอหมูย่างพิเศษ 30 บาท อิ่ม บิดไป เป้าหมายแรกคือ ภูสันฟ้า เรสซิเด้นท์ เพราะเห็นภาพในเน็ตแล้วสวยดี รู้แค่ที่อยู่ว่าอยู่ในบ้านปง ต.อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ผมไม่ได้เปิดกูเกิ้ลแหมบเพราะตั้งใจจะประหยัดแบตมือถือไว้ บวกกับความเคยชินที่ไม่ต้องการใช้แผนที่ด้วย เมื่อบิดมาถึง ต.อินทขิล ผมก็มองหาป้ายเลยครับ บ้านปงอยู่ไหนว๊า ปรากฎว่าขี่เลยไปไกล ดีว่าแวะถามแม่ค้าขายข้าวสาลีข้างทางทัน เขาบอกให้ย้อนกลับไป เข้าซอยนี้ ขี่เลาะคลองชลประทานไปเรื่อยๆ ก็เจอเอง ภูชี้ฟ้าอ่ะ ... หา! ใช่เหรอครับ 5555 นี่คือการหลงทางครั้งที่ 1 ก็ขี่รถตามคำบอกเล่ามาเรื่อยๆ อ้าว! เจอวัดเด่นสะหลีศรีเมืองแกน (วัดบ้านเด่น) เข้าให้ ผมเคยได้ยินชื่อวัดนี้มาสักพักแล้ว เขาว่าสวย แต่เพราะอยู่ไกล ผมเลยไม่คิดอยากมา แต่เมื่อโชคดีเป็นทางผ่านแบบนี้ เดี๋ยวมาแวะครับ ขี่เลยไปไม่ถึงกิโล ก็เจอภูชี้ฟ้า เอ๊ย ภูสันฟ้า เรสซิเด้นท์ แล้วครับ สวยดีนะ แต่ผมไม่กล้าเข้าไปข้างในเพื่อขอถ่ายรูป เพราะผมไม่ได้จะไปนั่งกินกาแฟ เสียค่าบริการเพื่อแลกกับการเที่ยวชมด้านในให้เขา ก็เลยแอบถ่ายรูปอยู่ข้างนอกนี่ล่ะครับ ประหยัดตังค์ดีด้วย

กลับมาที่วัดบ้านเด่น ใหญ่โตดีครับ สวยงาม อุโบสถทำจากไม้สัก มีหลายอุโบสถด้วยกัน ผมว่าถ้าเป็นนักท่องเที่ยวสายวัดวาคงตื่นตาตื่นใจไม่น้อย แต่บังเอิญผมไม่ใช่สายนั้น เลยเข้าไปเก็บภาพเล็กๆ น้อยๆ ก็จากไปครับ 

สรุปทางมาภูสันฟ้า เมื่อเจอสามแยกเชียงดาว-เขื่อนแม่งัด ก็ให้เลี้ยวขวาเข้ามาทางเขื่อนเลย ขี่ไปอีกซัก 6-7 กิโลก็เจอแล้วครับ แต่ถ้ามาทางเขื่อน ผมก็จะไม่ได้ผ่านวัดบ้านเด่น ผมก็จะไม่ได้แวะ นี่แหละข้อดีของการหลงครับ 5555














11.30 น. ถึงตัวอำเภอเชียงดาวแล้ว จะมีป้ายบอกทางว่าให้เลี้ยวขวาไป อ.เชียงดาว ผมก็เชื่อตามป้ายครับ เลี้ยงมาก็เจอปั้ม ปตท. (รอดละตู รู้ว่ามีที่เติมน้ำมันแล้ว) ใกล้เที่ยง ต้องหาข้าวกิน ที่ดังๆ ก็ต้องเป็นข้าวขาหมูเชียงดาวสินะ ผมก็ขี่รถเข้ามาเรื่อยๆ ผ่านย่านที่ผมขอเรียกว่าตลาดวโรรสมินิละกัน เจอร้านขาหมูแว๊บๆ ไม่น่าใช่มั้ง อาจจะมีต่อข้างหน้าก็ได้มั้ง ขี่เลยไปไม่ถึงกิโล หมดระยะความเจริญแล้ว .... 5555 อะไรวะเนี้ย เอาไงดี ขี้เกียจเลี้ยวกลับ เลยหักขวาเข้าร้านบะหมี่หมูแดงข้างทางแทน ราคา 40 บาท กะว่าหาจะเปิดเว็บหาแหล่งท่องเที่ยวห้ามพลาดใน อ.เชียงดาว ไปด้วยเลย ... เมื่อเปิดดูก็เจอถ้ำเชียงดาว, ร้านกาแฟดอยเมฆ, น้ำตกศรีสังวาลย์ และร้านเสน่ห์ดอยหลวง เมื่อเปิดสถานที่เหล่านี้ผ่านกูเกิ้ลแหมบ... ห่างจากที่นี่ไป 20-30 กิโลทั้งนั้น ยกเว้นถ้ำเชียงดาวที่เดียว เหยยย ทำไมมันไกลเยี่ยงนี้ พี่แหมบหลอกเราหรือเปล่า ลองถามลุงคนขายก๋วยเตี๋ยวดูซิว่าในรัศมี 10 กิโลนี้มีร้านกาแฟหรือที่เที่ยวเจ๋งๆ ที่ไหนที่ห้ามพลาดบ้าง .... “ร้านกาแฟดีๆ เหรอครับ ... กาแฟอเมซอน ปั้ม ปตท. ครับ” ... อึ้ง ... นี่มุกป่ะครับลุง 555 นี่คือดีที่สุด ห้ามพลาดเป็นที่สุดแล้วหรือ เมื่อดูท่าทางลุงแกให้คำตอบที่ผมอยากได้ไม่ได้ เลยต้องขี่มอไซด์หาร้านกาแฟเองครับ ด้วยความหวังที่จะเจอร้านกาแฟเท่ๆ อาจจะแนวปูนเปลือย บ้านดินก็ได้ นั่งอยู่หน้าเคาท์เตอร์แล้วหยิบแผ่นพับแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่มีแจกที่ร้านเอามากางไว้ตามรอย ... ภาพตัดมา ไม่มีร้านกาแฟดังที่คิดไว้เลย จึงเลี้ยวเข้าร้านเชียงดาวเบเกอรี่ อยู่ห่างจากย่านความเจริญเกือบกิโล ก็ไม่ไกลหรอกครับ เข้าไปจะหน้าด้านถามว่าแถวนี้มีร้านกาแฟเจ๋งๆ ไหนครับ ก็ร้านเขาก็ขายกาแฟ จึงมิกล้า 5555 เลยสั่งเครื่องดื่มมาเป็นใบเบิกทางในการหาข่าว ชาเขียว ราคา 35 บาท เมื่อดื่มเสร็จก็เริ่มคำถามเดิม ... ในรัศมี 10 กิโลนี้มีร้านกาแฟหรือที่เที่ยวเจ๋งๆ ที่ไหนที่ห้ามพลาดบ้างครับ... ลูกเจ้าของร้านคิดอยู่ครู่นึง ก็ตอบว่าไม่มีครับพี่ เพราะที่ที่พี่อยากไปมันอยู่เกิน 10 กิโลทั้งนั้นเลย ส่วนที่เจ๋งๆ ก็คงเป็นถ้ำเชียงดาวที่เดียวแหละครับ โอเค ผมพอใจกับคำตอบละ 5555 ดูเวลาก็ 13.00 น. แล้วด้วย ไม่อยากรีบขึ้นไปที่พักเลย แต่อยู่ต่อไปก็ไม่มีอะไรให้เที่ยวอยู่ดี ขึ้นที่พักก็ได้แว๊ 

ผมก็ขี่รถกลับไปเข้าเซเว่น ซื้อน้ำเปล่าขวดใหญ่และน้ำเก็กฮวยยี่ห้อสัตว์ใหญ่ไปเผื่อยามค่ำคืน หึหึ ค่าเสียหาย 69 บาท ถ้าออกจากเซเว่น (ซึ่งก็มีอยู่เซเว่นเดียว โลตัสเดียว ในตัว อ.เชียงดาว) ก็ให้เลี้ยวกลับไปทางร้านเชียงดาวเบเกอรี่ ผ่านไปไม่ถึงกิโลก็จะเจอป้ายบอกให้เลี้ยวซ้ายเผื่อไปถ้ำเชียงดาว ก็ขี่ไปตามป้ายครับ เจอสี่แยกถนนใหญ่ ก็ตรงไปอีก เจอแยกไหนไปต้องสนใจให้ตรงไปเรื่อยๆ ก็จะเจอวัดถ้ำเชียงดาวอยู่ด้านซ้าย ซึ่งก็อย่างที่บอก ผมไม่ใช่สายวัดวา แถมยังไม่ใช่สายเข้าถ้ำอีกด้วย จึงยกมือไหว้อยู่ด้านนอกไกลๆ ก็พอ และเพื่อความแน่ชัดในจุดหมาย ผมถามแม่ค้าขายไก่ย่างอีกครั้งว่าถ้าตรงขึ้นไปทางนี้จะไปถึงระเบียงดาวใช่ไหม

“แม่ครับ ถ้าซื่อไปตางนี้คือไประเบียงดาวแม่นก่อครับ”
“แม่นละลูก ซื่อไปเลย 15 กิโลตามป้ายบอก ถึงแน่นอน”

ขอบคุณครับ (เทคนิคของผมคือ ถ้าเจอพ่อค้าแม่ค้าที่มีลูกสาว ให้เรียกเขาว่าพ่อ/แม่ แต่ถ้ามีลูกชาย ให้เรียกว่าอ้าย/น้า/ลุง/ป้า ตามแต่จะเรียก จะทำให้เขาบอกทางได้ดีขึ้นครับ.... เกี่ยวเหรอ 5555)

เมื่อขี่เลยวัดมา ก็จะเจอเกสต์เฮ้าส์ที่มีบริการอาหารและเครื่องดื่มอยู่หลายเจ้าเลย อ่าว นี่ไง นี่ก็ถือเป็นร้านกาแฟชิลๆ ได้นะ 555 แต่ผมไม่แวะแล้วครับเพราะมีเป้าหมายที่แน่นอนอยู่แล้ว ระหว่างทางก็เจอแก๊งค์แบคแพคเกอร์ชาย-หญิง กลุ่มหนึ่ง ประมาณ 6-7 คนได้ โบกรถอยู่ แล้วก็มีรถเก๋งและรถกระบะทะเบียนเชียงใหม่จอดรับด้วยนะ อะไรจะใจดีปานนั้น ผมนึกว่าคงเป็นนักท่องเที่ยวจีนหรือญี่ปุ่นแหละมาแนวนี้นะ ผมก็ขี่มอไซด์ต่อไปมาจนเจอด่านเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว (ชื่อตามป้ายผมจำไม่ได้ ขออภัยด้วยครับ) เสียค่าเข้า 20 บาทครับ แล้วก็ขี่ขึ้นไปเลย ค่อยๆ ขี่ขึ้นไปก็ได้ครับ รถของผม เวฟ-100 ขี่ขึ้นได้ชิลๆ ถนนค่อนข้างดี มีบางช่วงที่มีถนนแตก ทำให้ขลุขละบ้าง แต่ถ้าค่อยๆ ไปก็ถึงแน่นอน ผมเคยเห็นบางคนขี่รถมอไซด์ไม่แข็ง ขี่ติดประมาท ทำให้เกิดอุบัติเหตุก็บ่อยครั้ง ผมว่ามันไม่คุ้มกันหรอกครับ เที่ยวแบบนี้ความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ ถึงช้าแต่ชัวร์ดีกว่า







ในที่สุดก็มาถึงป้ายบอกทางว่าเลี้ยวซ้ายคือถึงบ้านระเบียงดาว เฮ้ย แต่ผมไม่ได้พักที่ระเบียงดาวนี่ มันต้องเลยไปอีก ดังนั้น ไม่เลี้ยวครับ 555 ตรงไป สักพัก เริ่มไม่ใช่ละ เลี้ยวกลับมาดูทางเข้าระเบียงดาวใหม่ เห็นป้ายเล็กๆ บอกว่า “บ้านสายหมอก” ... ครับ! นั่นแหละครับ หลงจนวินาทีสุดท้ายจริงๆ ก็ขี่เข้าไป สิ่งที่เห็นคือบรรดาบ้านไม้ไผ่ มุงด้วยหลังคาจาก เรียงรายกันมากมาย มีป้ายบอกทางเป็นระยะว่าเลี้ยวซ้ายบ้านระเบียงดาวนะ เลี้ยวขวาบ้านนั้นนะ เข้าไปอีกเลี้ยวซ้ายบ้านนี้นะนั้นนะ ส่วนบ้านสายหมอกอยู่เกือบๆ ท้ายของจุดที่รถจะเข้าไปได้ และนี่คือบ้านสายหมอกครับ







ต่อไปจะเป็นการรีวิวแบบตรงไปตรงมาตามที่ผมเห็นและความคิดของผมเองนะครับ ดอยหลวงเชียงดาว มีบาดแผลพอสมควรเลย จากการโดนตัดต้นไม้หรือการเผาก็แล้วแต่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร อย่าดราม่าก็แล้วกันครับ แค่อยากให้จัดโซนให้ดี ที่ตรงไหนจะเพาะปลูกทำการเกษตรก็ทำ ถ้าจะไม่ทำ ย้ายที่ใหม่ ก็ปลูกต้นไม้ทดแทน จุดขายของที่นี่ที่นักท่องเที่ยวอยากเห็นก็คือดอยหลวงเชียงดาว และป่าอันอุดมสมบูรณ์นี่ล่ะครับ ก็เข้าใจว่าบางทีการท่องเที่ยวก็ไม่ใช่ช่องทางทำมาหากินหลักของคนที่พื้นที่ แต่ก็อยากฝากไว้เฉยๆ ครับ บ้านพักแถบนี้ไม่ได้มีแค่ระเบียงดาวจริงๆ นั่นแหละครับ แต่ที่ระเบียงดาวดัง อาจเพราะมาก่อนเกิดขึ้นก่อน แล้วที่พักอื่นๆ ค่อยตามมา เมื่อผมถามชาวบ้านแถวนั้นว่าถ้าผมมาที่นี่อีกครั้ง มันจะมีที่พักเพิ่มขึ้นมากกว่านี้อีกไหม เขาก็บอกว่าอาจจะมี แต่ไม่ได้เกิดจากนายทุน เพราะแถบนี้เป็นเขตอนุรักษ์ นายทุนเข้าไม่ได้อยู่แล้ว ที่นี่เป็นสิ่งที่บรรพชนของเขาทำไว้ให้ แต่ก็ต้องดูอีกทีว่าจะมีการบริหารจัดการอย่างไร เท่าที่ผมเดินดูจากปากทางเข้ามา จะเจอบ้านระเบียงดาวเป็นที่แรก แล้วจะเจอบ้านอื่นๆ อยู่เรียงรายกันไป มีประมาณ 6-7 บ้านมั้งครับ แต่ละบ้านก็จะมีที่พักอีกประมาณ 10 หลัง จุดเด่นของแต่ละที่ไม่ต่างกันเลยครับ คือมีบ้านและระเบียงของบ้าน และมีระเบียงส่วนกลาง ซึ่งทั้งหมดนี้จะหันหน้าเข้าหาดอยหลวงเชียงดาว เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปกัน จุดขายคือจุดเดียวกันคือดอยหลวงเชียงดาวและวิว สามารถเดินเข้าบ้านนั้นบ้านนี้ได้อย่างอิสระ ในระยะทางประมาณ 500 เมตร จากปากทางเข้าบ้านระเบียงดาวมาจนถึงที่พักบ้านท้ายๆ (แต่อย่าไปยุ่มย่ามกับที่พักจะดีกว่าครับ เพราะใจเขาใจเรา บางทีก็ต้องการความเป็นส่วนตัวเนอะ) ดังนั้นการจะเลือกว่าเราจะนอนบ้านไหนดีนะ ส่วนตัวผมเองผมเลือกอันที่ผมโทรติดและว่างครับ 5555 ง่ายๆ เลย เพราะวิวแทบจะเหมือนกันอยู่แล้ว แถมยังเดินไปถ่ายรูประเบียงนั้นระเบียงนี้ได้อีก คือจะถ่ายรูปที่ไหนก็แล้วแต่ ก็จะเช็คอินว่าอยู่ระเบียงดาวอยู่ดี เพราะที่นี่มันดังได้ก็เพราะระเบียงดาว 5555 เรื่องสัญญาณโทรศัพท์ มีนะครับ แต่ขีดเดียว สามจีก็เช่นกัน 555 ดังนั้นการจะอัพรูปอวดแบบทันทีทันใด ก็แล้วแต่บุญพาวาสนาส่งว่าเดินไปถูกจุดที่มันมีสัญญาณหรือเปล่า ราคาที่พักเท่ากันหมด คือคืนละ 500/คน รวมอาหารมื้อเย็นและมื้อเช้า เมนูก็แทบจะเหมือนกัน ข้าวเย็นคือไข่เจียว ต้มจืด น้ำพริกอะไรสักอย่าง และผัดผัก ส่วนข้าวเช้าก็จะเป็นข้าวต้มและกาแฟ ที่พักแต่ละแห่งจะมีแผงโซล่าเซลไว้รับแสงแดดแปลงเป็นไฟฟ้า ดังนั้น เมื่อมืดที่นี่ก็จะมีไฟฟ้าให้แสงสว่างหรือชาร์ตแบตโทรศัพท์ได้ แต่เมื่อพลังโซล่าเซลหมด ไฟก็ดับทันที วัดดวงกันเอาเองครับ เพราะแต่ละวันเขาก็ใช้ไฟกันจนหมด อีกวันก็ชาร์ตใหม่ ไม่มีการเก็บสำรองครับ อ้อ ถนนทางเข้าบ้านต่างๆ มีบางช่วงเป็นดินแดงนะครับ ดังนั้นเวลาฝนตกก็เตรียมตัวติดหล่มไว้ให้ดี น่าจะมีเพียงเท่านี้นะครับเท่าที่คิดออก















ด้วยความที่ผมไปคนเดียว แต่คนอื่นๆ เขาไปกันเป็นกลุ่ม แต่เมื่อมาถึงที่นี่ ก็เหมือนมีอะไรบางอย่างให้ทักทายกันได้ แก๊งค์แบคแพคเกอร์ก็มาพักที่บ้านสายหมอกด้วยครับ 5555 เลยได้พูดคุยกัน เลยรู้ว่าเขาเป็นคนไทย มาจาก กทม. แต่ผมก็ไม่ได้ถามรายละเอียดอะไรมาก ส่วนใหญ่เขาก็ถ่ายรูปสวยกันทั้งนั้น ผมนี่สิ อุปกรณ์ก็มี แต่ถ่ายรูปกาก 5555 ดังนั้นขออภัยไว้เลยนะครับว่าถ้าจะเข้ามาดูรูปสวยๆ ผมคงไม่มีให้ ส่วนรูปไหนที่สวยหน่อย สีดีๆ หน่อย นั่นผมขอมาจากแก๊งค์แบคแพคเกอร์เองครับ (ถ้ากระทู้นี้ไปผ่านตาน้องเข้า โปรดโพสรูปสวยๆ มาช่วยเหลือกระทู้นี้บ้างนะครับ 5555) ไปคนเดียว พี่ผู้ดูแลที่พักจึงจัดให้ ข้าวเย็นตอน 17.00 น. นั่งที่ระเบียงส่วนกลาง นั่งกินคนเดียวด้วย! แหม่ จิตใจพี่ทำด้วยอะไร ปฏิบัติราวกับผมเป็นบุคคลพิเศษ ผมนี่เกรงใจนักท่องเที่ยวคนอื่นมาก เด่นอยู่คนเดียวเลยโถ่ ก่อนจะกินก็ถ่ายรูป มัวแต่ถ่ายรูป จากที่มีเมฆบังแดดอยู่ดีๆ สักพักแดดฟาดกลางหลังเข้าให้ ร้อนโว้ย! กินไปสักพัก ฝนตก! 55555 ครบทุกรสชาติของชีวิตจริงๆ ฤดูฝนแบบนี้ อย่าหวังจะได้เห็นดาวเลยครับ และแล้วก็ถึงจุดที่ยากลำบากอีกครั้งของชีวิต... การอาบน้ำ ... เอาวะอย่าไปกลัว อุณหภูมิน่าจะสัก 26-27 องศาได้ น้ำเย็นก็ลุย อาบสุ่มมืดอีกต่างหาก เพราะการที่หลอดไฟจะติดก็ต้องเสียบปลั๊ก แต่ปลักรูไม่พอ ทำให้แต่ละบ้านมีไฟฟ้าใช้ ส่วนผมอาบน้ำสุ่มมืดอยู่คนเดียว เพราะเป็นห้องน้ำรวม 55555 น้ำแรงดีไม่มีตกครับ อาบได้อย่างสบายใจ อาบเสร็จ ฝนยังคงตกแปะๆ อย่างต่อเนื่อง ได้เวลาสร้างภาพแล้ว นำน้ำเก็กฮวยยี่ห้อสัตว์ใหญ่ออกมา จุดเทียนหน้าระเบียงบ้านตัวเอง ซัมม่อนเหล่าเพื่อนพ้อง (ผมเห็นเฟสนักท่องเที่ยวคนหนึ่ง ไปไหนเขาก็พกตัวมินเนี่ยนไปถ่ายรูปด้วย ผมเลยเลียนแบบครับ 5555 พกโปเกม่อนมาด้วยเพื่อการนี้ อะไรดีๆ เราเลียนแบบครับ) ตั้งกล้องถ่ายภาพ เมื่อสร้างภาพจนสาแก่ใจแล้ว ผมก็ไปนั่งคุยกับพี่ผู้ดูแลที่พักที่เคาท์เตอร์ เพราะจุดนี้มีนักท่องเที่ยวเอาโทรศัพท์มาชาร์ตแบตเต็มไปหมด มันจะต้องมีสาวๆ มานั่งรอแบตเต็มบ้างละวะ ... ปรากฎว่าไม่มีเลยครับ ถถถถถ อยู่บ้านใครบ้านมันกันหมด นั่งพูดคุยกันเฮฮามาก อิจฉาจัง หันไปคุยกับพี่ผู้ดูแลบ้างดีกว่า ผมก็ถามเรื่องที่เที่ยวที่ห้ามพลาดในรัศมี 10 กิโลเช่นเดิม เขาก็ตอบอย่างตรงไปตรงมาว่าไม่มี เพราะที่เชียงดาวก็มีดอยหลวงเชียงดาวนี่แหละเป็นไฮไลท์เดียวเลยก็ว่าได้ ถ้าไม่มีที่นี่ก็คือจบเลย เชียงดาวจะเป็นแค่อำเภอที่เป็นทางผ่านไปดอยอ่างขางอย่างเดียวเลย ว่าแล้วพี่แกก็ยุให้ขึ้นดอยหลวงเชียงดาว 5555 ค่าใช้จ่ายทุกอย่างในการขึ้น 2,500 บาท/คน รวมลูกหาบ ไกด์ ของกิน เต้นท์ ทุกอย่างแล้ว เจอราคานี้สำหรับคนอยู่เชียงใหม่ ผมว่ายังแพงไปนะ แต่ก็ไม่แน่หากขึ้นไปแล้วเห็นวิวข้างบน มันอาจคุ้มค่าก็ได้ คุยสัพเพเหระจนน้ำเก็กฮวยหมด ประมาณ 3 ทุ่ม ผมก็ขอตัวไปนอนแล้วครับ แถบนี้เราจะได้ยินเสียงทุกอนู ใครเดินไปเดินมาหน้าบ้านหลังบ้าน ใครเหยียบบ้านดังแอ๊ดๆ รู้หมด ผมกำลังเคลิ้มๆ จะหลับ “ป๊อก” 5555 บ้านข้างๆ เล่นป๊อกเด้งกันครับ ผมได้ยินแล้วล่ะ เล่นทีละบาทสองบาท ผมก็อยากแจมเหมือนกัน ติดตรงที่มีแต่แบงค์ไม่มีเหรียญ กำลังจะหลับ “เก้าหลัง” 55555 ลุงเจ้ามือแม่มเป็นยูกิโอ เกมกลคนอัฉริยะแน่ๆ ดวงดีอะไรขนาดนั้น นี่ถ้าผมไปเล่นด้วยคงหมดตัวเป็นแน่ ... เสียงฝนขับกล่อม เสียงสัตว์แข่งกันร้อง เสียงวงไพ่เปิดเพลง ได้ยินเพลง ค้น-สล๊อตแมชชีน ด้วย ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งได้อีกแล้ว หลับ...





3 ก.ค. 59 (วันอาทิตย์)

เสียงไก่ขันปลุกให้ตื่นตั้งแต่ตี 5 ไม่ได้ยินเสียงไก่ขันมานานมากแล้ว เพราะอยู่ในเมืองไม่มีบ้านไหนเลี้ยงไก่แล้ว แต่ช่างไก่มันครับ ผมตื่น 6 โมง ออกมาซึมซับบรรยากาศซึ่งก็เป็นภาพเดิมภาพเดียวกับตอนเย็นของเมื่อวาน เมฆยังคงลอยบดบังดอยหลวงเชียงดาวอยู่เป็นอาจิณ คนที่ถ่ายรูปได้แบบว่ามีแสงแดด มีทะเลหมอก มีเมฆ มีดอยหลวง อะไรแบบนี้ ผมมาเจอด้วยตัวเองผมนับถือมากๆ ไปเอาภาพแบบนั้นมาจากไหน 5555 ผมมานี่เจอแต่หมอกบัง ไม่มีแดดสีส้มสีเหลืองอร่ามอะไรเลย และก็เช่นเดิม ผมถูกปฏิบัติแบบ VIP นั่งกินข้าวต้มที่ระเบียงส่วนกลางคนเดียวอีกแล้ว! มีคนแอบถ่ายรูปด้วย ไม่ใช่ใครที่ไหน น้องแก๊งค์แบคแพคเกอร์นี่เอง ผมไม่รอช้าหน้าด้านขอรูปจากเขา พอดูปุ๊บ เช้ดดดด! สวย! 5555 ทำไมตูถ่ายไม่ได้แบบนี้มั่งแว๊ ในความคนเดียว ก็ยังมีความโชคดีที่มีคนถ่ายรูปให้นะครับ พอ 8.30 น. ผมก็เห็นว่าไม่น่าจะมีอะไรแล้ว ประกอบกับแขกล็อตใหม่ทยอยเดินเข้ามาดูบ้านพักกันแล้ว ผมเลยเช็คเอาท์ คุยกับพี่ผู้ดูแลอีกนิดหน่อย เลยทำให้ได้ความรู้ใหม่ว่า ฤดูฝนเป็นฤดูแต่งงานของชาวบ้านที่นี่ พี่เขาว่าถึงฤดูผสมพันธุ์แล้ว 5555 ผมมาพินิจวิเคราะห์ด้วยตัวเอง น่าจะมาจาก ฤดูฝนก็ทำไร่ทำนาเสร็จแล้ว ไม่มีอะไรทำ แต่งงานกันดีกว่าตัวเอง จะได้มีอะไรทำ 55555 พี่ผู้ดูแลบอกว่า ครั้งหน้าให้ผมพาเพื่อนมาด้วยนะ ไม่ดีกว่า พาแฟนมาด้วยนะ 

ผม: ไม่มีแฟนครับ กะมาหาข้างบนนี่ ไม่เจอแฮะ 555
ผู้ดูแล: ครั้งหน้าพาแฟนมาด้วยเลยครับ จะได้อีกอารมณ์หนึ่ง
ผม: แหม่ พามาก็ทำอะไรเขาไม่ได้พี่ ทำก็ชาวบ้านชาวช่องรู้หมด แอ๊ดๆๆๆๆ
ผู้ดูแล: 5555 ก็เก็บเสียงหน่อยสิครับ

ผมคิดในใจ ของแบบนี้มันเก็บเสียงได้ด้วยเหรอพี่ ยิ่งจังหวะ Signature moves แล้วตามด้วย Finisher ด้วยแล้ว 55555 

ลาจากที่นี่ด้วยความประทับใจครับ ผมว่าผู้ดูแลทุกคนอัธยาศัยดี ดูแลแขกดี พูดจาดี ไม่ว่าที่พักไหนก็แล้วแต่ เป็นปัจจัยสำคัญให้เกิดการบอกต่อเลยล่ะ ต่อให้คุณมีวิวดีแค่ไหน แต่คุณต้อนรับแย่ คือจบ สำหรับผม คุ้มค่ากับ 400 บาทที่เสียไปครับ










ขากลับ หมอกลง ถนนเปียก เพิ่งมาทราบว่าทางที่ขึ้นมามันชันพอสมควรเลย ต้องใช้เกียร์ 1 ลงเลยครับ โดยเฉพาะช่วงที่ถนนแตกขลุขละ ยิ่งต้องลงอย่างระมัดระวัง เพราะรถอาจปัดได้ตลอดเวลา เหมือนเดิมครับค่อยๆ ลงมาไม่ต้องรีบ พอพ้นด่านก็บิดได้เลย มาถึงทางแยกถนนใหญ่ที่ตรงไปจะเข้าตัวอำเภอเชียงดาว ผมก็เลี้ยวขวาเพื่อกลับเชียงใหม่ อ่าว มีร้านอาหารร้านกาแฟน่านั่งอยู่ถนนเส้นนี้ 2-3 ร้านแน่ะ ถถถถ แต่ผมไม่สนใจแล้วครับเพราะผมมีเป้าหมายอยู่ที่ร้านกาแฟริมรินอยู่แล้ว ร้านกาแฟนี้ผมเคยมีครั้งหนึ่ง ประทับใจบรรยากาศเป็นพิเศษ ถ้ากลับเข้ามาเชียงใหม่ ก่อนถึง อ.แม่ริม สังเกตป้ายบอกทาง จะมีคำว่า “ริน” อยู่ ก็ชะลอความเร็วลง ร้านกาแฟแกจะมีป้ายเดียวกับคลินิกทันตกรรม 5555 ด้านในจะเป็นร้านแนวไม้ๆ วิวด้านหลังเป็นทุ่งนาและทิวเขา ชิลดีครับ ผมสั่งชาเนสทีเย็น 50 บาท และบลูเบอรี่รีสเค้ก 75 บาท มาปิดทริปโดยสมบูรณ์ // จบ








สรุปค่าใช้จ่าย

ค่าน้ำมัน 100-.
ค่าซอฟเฟลและแชมพู 64-.
ข้าวคอหมูย่าง 30-.
บะหมี่หมูแดง 40-.
ชาเขียว 35-.
น้ำดื่มขวดใหญ่และน้ำเก็กฮวยยี่ห้อสัตว์ใหญ่ 69-.
ค่าผ่านด่าน 20-.
ค่าที่พัก 400-.
ค่าเนสทีและขนม 125-.

รวมทั้งสิ้น 883 บาท 

ไม่ถึงพันบาท สำหรับคนเชียงใหม่ ถือว่ารับได้ครับ เพราะค่าที่พักสำหรับหนึ่งคืน ก็เหมาะสมดี ปกติเที่ยวแบบไปกลับตลอด นอนบ้างก็ดี

ปล. ซอฟเฟล ไม่ได้ใช้ มีแมลงมาตอมบ้าง แต่พออาบน้ำเสร็จ แมลงหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ ส่วนน้ำเปล่าก็ไม่ต้องซื้อมาก็ได้ เพราะที่พักมีน้ำเปล่าให้ 1 ขวดอยู่แล้ว

ปล.2 เบอร์ที่พักต่างๆ ถ้าโทรติดเจ้าไหน ก็เอาเจ้านั้นเถอะครับ หรือจะเสี่ยงดวงด้วยการ walk-in ก็แล้วแต่ แต่แนะนำให้จองเถอะ

ปล.3 พี่ผู้ดูแลบอกว่า สถานที่แห่งนี้เหมาะแก่การมาพักผ่อน อยู่เฉยๆ ปูเสื่อหน้าระเบียงนอนอ่านหนังสือ อะไรเทือกนี้ แต่ถ้าจะสังสรรเฮฮา ก็ได้ แต่ก็ควรนึกถึงผู้ที่มาพักคนอื่นด้วย ผมสรุปเองว่า เรื่องการใช้เสียงดังเป็นมารยาททางสังคมละกันนะครับ ที่ไหนใช้เสียงได้แค่ไหน อันนี้เราคงไม่ต้องให้ใครมาบอก อยู่ร่วมกันอย่างใจเขาใจเรากันนะครับ

ปล.4 หากจะขี่แมงกะไซด์ไปบ้านระเบียงดาว ผมลองจัดลำดับความยากของเส้นทางเทียบกับสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ที่ผมเคยขี่แมงกะไซด์ไปมาแล้วตามความคิดของผมเองไว้เพื่อประกอบการตัดสินใจครับ เพราะปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า
ขุนช่างเคี่ยน-ดอยปุย > บ้านระเบียงดาว > ม่อนแจ่ม > ดอยอินทนนท์ > สะเมิง(สำหรับเที่ยวงานสตอเบอรี่)

ปล.5 ระยะทางรวมทั้งหมดไป-กลับ ประมาณ 180 กิโลเมตร รวมหลงอะไรหมดแล้วครับ 555

ปล.6 อย่าเพิ่งเบื่อกระทู้บ้านระเบียงดาวนะครับ เหตุที่มาตั้งกระทู้รีวิวเพราะว่าตอนผมหาข้อมูลว่าระเบียงดาวเป็นอย่างไรบ้าง ผมไม่ค่อยเจอการรีวิวแบบที่ผมทำนี่ ทำให้ผมขี่รถหลงอยู่หลายครั้ง 555 เลยอยากตั้งกระทู้เป็นแนวทางในการเดินทางดูน่ะครับ

ปล.7 ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยนะครับ

ที่มา Pantip