รีวิว โดดเดี่ยวเที่ยวกระบี่: บินฟรีแพคเกจโปร โชว์ IlluManorah พาทัวร์เกาะ “เพราะเมืองไทยมีดี”

สวัสดีครับ ขอออกตัวก่อนเลยว่านี่เป็นรีวิวแรกในชีวิต หากมีข้อผิดพลาดประการใด ขอน้อมรับคำติชม กร่นด่าปาหินไว้แต่เพียงผู้เดียวครับ 
ที่มาของการรีวิวครั้งนี้คือได้แรงกดดันจากเพื่อนมาระยะนึงแล้วครับ เพราะจขกท.ชอบเดินทางคนเดียว ด้วยตั๋วโปรราคาถูก กินอยู่ง่ายๆ พักโฮสเทล หลายทริปที่ไปมา บางครั้งได้ข้อมูลที่อาจเป็นประโยชน์ต่อคนที่กำลังวางแผนเดินทาง แต่ที่ผ่านมาไม่ได้รีวิวเพราะ...ทำไม่เป็น 5555+ พอเวลาผ่านไป ตั้งใจจะทำรีวิวจริงๆจังๆ ก็...หัวรั่ว ลืมข้อมูล ว่าไปไหนมาบ้าง ทำอะไรมาบ้าง โอกาสนี้จึงตั้งใจอยากลองทำดู โดยเริ่มจากทริปในประเทศที่ไม่ต้องใช้พลังหาข้อมูลอะไรมากมาย ถือเสียว่าเป็นการบันทึกเรื่องราวกันลืมและแชร์ประสบการณ์ เพื่อต่อยอดในรีวิวต่อๆไปเมื่อมีโอกาสแล้วกันครับ

ขอเข้าเรื่องเลยนะครับ เรื่องของเรื่องเริ่มจากรู้สึกว่าอยากไปทะเล อยากได้ภาพแบบ หันหลังให้กล้องหันหน้าหาทะเลกับเขาบ้าง จึงหาเรื่องไป timer selfie ที่ไหนสักที่ จนได้เจอโปรของ expedia จองที่พักได้ตั๋วไปกลับฟรี เลยเลือกจองโฮสเทลที่อ่าวนาง ชื่อ Aonang 88 Hostel (เห็นชื่อครั้งแรก ดูแล้วดูอีกให้มั่นใจว่าไม่ใช่ม่านรูด กลัวได้นอนบนสังเวียนมวย) เลือกไปสามคืน ราคารวมตั๋วเครื่องบินไปกลับ จ่ายด้วยบัตรเครดิต 996.33 บาท มือไม้สั่นสวดมนต์ไปด้วย ภาวนาให้เน็ตเสถียรและไม่มีคนอื่นช่วงชิงไป สุดท้ายก็ successful พร้อมออกเดินทางไปสำรวจมรดกอันดามันกันครับ





ก่อนถึงวันเดินทางก็พอดีกับที่ศูนย์สิริกิติ์จัดงานท่องเที่ยว จขกท.มีตั๋วโปรไปกลับ Fukuoka ตอนเดือนกันยาอยู่เลยว่าจะไปหาพาสรถไฟของญี่ปุ่น ก็เลยได้ทัวร์สี่เกาะกับทัวร์เกาะห้องเป็นของแถม รูดการ์ดเหมือนเดิม ค่าเสียหายสองทัวร์ วันละทัวร์รวมอาหารกลางวัน, ประกันการเดินทาง และค่าเข้าอุทยานทั้งสองวัน ราคา 1700 บาทครับ (เรือหางยาวทัวร์สี่เกาะ 600 บาท / เรือหางยาวทัวร์เกาะห้อง 800 บาท + พายเรือคายัคที่เกาะห้อง 300 บาท) ในส่วนนี้ถ้าไปจองที่อ่าวนางน่าจะถูกกว่านะครับ แต่จขกท.เลือกเพราะต้องการใช้บัตรเครดิตจะได้ไม่ต้องพกเงินสดไปเยอะครับ

มาถึงวันเดินทางครับตัดภาพมาที่สนามบินกระบี่ เป็นสนามบินเล็กๆ สังกัดกรมการบินพลเรือน ให้ความรู้สึกกันเองดีครับ 



ออกมาจากโถงขาเข้าก็เจอกับเคาเตอร์จำหน่ายตั๋วรถบัสเข้าเมืองเลยครับ สำหรับที่พักของเราอยู่ที่อ่าวนาง ค่าโดยสาร 150 บาท โดยแจ้งชื่อโรงแรมกับทางคนขับรถได้เลย รถจะวิ่งจากสนามบิน แวะส่งนักท่องเที่ยวตามทาง โดยแวะที่ตัวเมืองกระบี่ก่อน (ลงตัวเมือง ค่ารถ 90 บาท) แล้วจึงเดินทางมาส่งที่อ่าวนาง ถ้าโรงแรมติดถนนใหญ่ รถบัสจะจอดส่งหน้าโรงแรมเลยครับ แต่โรงแรมที่จขกท.จองมานั้นอยู่เข้าไปในซอยอ่าวนาง 8 พอเดินทางมาถึงแถวอ่าวนาง คนขับรถบัสก็มาจอดที่วินสองแถว แล้วก็เจรจาถ่ายโอนนักท่องเที่ยวให้สองแถวรับช่วงต่อ ส่วนนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ใช้เวลาเดินทางทั้งหมดชั่วโมงครึ่งครับ



ถึงแล้วครับที่พักของเรา Aonang 88 Hostel เป็นโฮสเทลเปิดได้ไม่นาน ถ้ารถราบางคันยังไม่รู้จัก ให้บอกว่าอยู่ตรงข้ามกับโรงแรมอารีธาราครับ



ตามสไตล์โฮสเทลก็คือนอนรวมครับ ที่นี่สะอาดสะอ้านดีมากทั้งห้องนอน ห้องน้ำ มีฟรีไวฟาย และพนง.ต้อนรับส่วนหน้าก็บริการดีมากครับ ถ้าใครยังไม่มีโปรแกรมทัวร์มา สามารถติดต่อได้ที่นี่เลยครับ มีครบทุกอย่าง ว่าแล้วก็เลยจัดแจงจองรถสำหรับวันกลับเพื่อไปสนามบิน ไฟล์ทกลับเวลา 07.45น. เลยเลือกเที่ยวเช้าสุด รถรับ 06.00น. จนท.แจ้งว่าถึงสนามบินไม่เกิน 7 โมงแน่นอน จขกท.ไม่มีสัมภาระเช็คอินอยู่แล้วคิดว่าน่าจะทัน แต่ก็กันเหนียวด้วยการทำออนไลน์เช็คอินไว้เลย วันกลับลงจากรถจะได้กระวีกระวาดไปที่จุดตรวจสัมภาระได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาเช็คอินครับ



โปรแกรมวันนี้คือจะมีรถมารับไปทานอาหารเย็น และดู PAKA SHOW ตอน 5 โมงครึ่งครับ มีจนท.โทรมายืนยันนัดหมายตั้งแต่ตอนอยู่บนรถบัสมาอ่าวนาง ระหว่างรอถึงเวลานัดหมายก็ออกเดินสำรวจรอบๆ ที่พัก กินข้าวกลางวันครับ จากที่พักหากเดินออกจากอ่าวนางซอย 8 มา เลี้ยวซ้ายจะเป็นย่านอ่าวนางครับ แต่ถ้าเลี้ยวขวาจะเป็นหาดนพรัตน์ธารา จขกท.ตัดสินใจเลี้ยวขวาเพื่อไปหาร้านอาหารฝากท้องยามบ่ายครับ

ร้านอาหารมื้อแรก ณ กระบี่ ชื่อร้าน The Beach – Seafood & Grill ตกแต่งร้านได้น่านั่งดีครับ วิวทะเลโปร่งๆ บรรยากาศสบายๆ แล้วมื้อแรกของเราก็เป็นผัดไทยครับ รสชาติไม่เลว กินกับไลท์เบียร์ ในขณะด้านนอกฝนเริ่มตกปรอยๆ ร้านนี้จึงเป็นที่หลบฝนชั้นยอดทีเดียว 



พอฝนหยุดก็เดินกลับที่พักครับ นั่งเล่นนอนเล่นรอเวลารถมารับ พอถึงเวลานัด ห้าโมงครึ่งเป๊ะ ก็มีรถตู้มารับหน้าโรงแรมเลยครับ ไปถึงลานแสดงประมาณหกโมงเย็นครับ 

ส่วนการแสดง PAKA Show: THE STARRY NIGHT OF KRABI ชุด IlluManorah นั้น จัดว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของกระบี่ครับ เพิ่งเปิดตัวปีนี้เอง ส่วนตัวจขกท.ชื่นชอบการแสดงแนวนี้อยู่แล้ว และติดตามแฟนเพจ PAKA SHOW PARK ทาง facebook มาได้สักระยะ ถึงเวลาไปเที่ยวกระบี่ จึงไม่พลาดติดต่อเข้าไปเพื่อขอ Industrial rate เพราะจขกท.ทำงานเกี่ยวกับแวดวงการท่องเที่ยว และเป็นมัคคุเทศก์อิสระถือโอกาสเข้าไปทำความรู้จักกับแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ เสียหน่อย ราคาพิเศษขออนุญาตไม่เปิดเผยนะครับ ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อได้ที่แฟนเพจข้างต้นเลย




ติดต่อรับบัตรเรียบร้อย ประตูโรงละครจะเปิดตอน 18.30น.สำหรับบุฟฟเฟต์ดินเนอร์ และเริ่มการแสดง 19.30น. ครับ ในส่วนนี้ด้านหน้าโรงละครมีซุ้มจำหน่ายของที่ระลึกด้วย สามารถเดินฆ่าเวลาได้ครับ ระหว่างเดินเล่นรอเวลาก็มีเซลที่ติดต่อไว้ออกมาต้อนรับ และนำเข้าส่วนจัดแสดงก่อนเวลา เพราะสักครู่จะมีทัวร์ลงครับ



ภายในส่วนจัดแสดงจะมีลักษณะเป็นโดม 360 องศา เวทียกพื้นสำหรับแสดงจะอยู่ตรงกลาง โดยมีโต๊ะรับประทานอาหารและไลน์อาหารบุฟเฟ่ต์ล้อมรอบ โต๊ะที่ทางเซลจองไว้ให้จขกท.ได้โต๊ะหน้าสุดเลยครับ ส่วนอาหารบุฟเฟ่ต์ส่วนมากเป็นอาหารไทยครับ ที่พิเศษคือมีอาหารพื้นบ้านด้วย ทั้งคั่วกลิ้ง น้ำพริกกุ้งเสียบ (อร่อยมาก) ผักลวก รวมถึงผลไม้ไทยครับ แตงโม สัปปะรด ต่างชาตินี่ตักเอาๆ สามารถตักมาที่โต๊ะได้เลยครับ ก่อนเริ่มการแสดงจะมีพนง.เดินเก็บจาน แต่ถ้ายังทานไม่หมดก็สามารถทานไปด้วยชมไปได้ด้วยครับ




การแสดงที่นี่สามารถถ่ายภาพนิ่งได้ครับ น่าจะเป็นเพราะยังอยู่ในช่วงโปรโมทการแสดง เนื้อเรื่องมีอยู่ว่ามีหญิงสาวเดินทางมาที่คณะโนราห์เพื่อเรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่น แต่เมื่อสวม “เทริด” ศิราภรณ์เอกลักษณ์ของโนราห์แล้ว เทริดได้พาหญิงสาวโลดแล่นในจินตนาการ ไปยังบาดาล และหิมพานต์ เพื่อเรียนรู้ชีวิตโนราห์ 




โดยรวมแล้วเนื้อเรื่องดูง่ายครับ ต่างชาติดูได้ เน้นให้เห็นคุณค่าของศิลปะและความเชื่อท้องถิ่น นักแสดงที่นี่ไม่ได้เรียนการแสดงมาครับ แต่ทุกคนตั้งใจทำและทำออกมาได้ดีมาก เพื่ออนุรักษ์มรดกในชุมชนจริงๆ น่าสนับสนุนครับ 





เมื่อการแสดงจบรถตู้ที่จะพาเรากลับไปยังที่พักก็จะจอดอยู่ด้านหน้าแล้ว เมื่อกลับถึงที่พักเรียบร้อยก็อาบน้ำเข้านอนเอาแรง วันที่สองจะมีรถมารับช่วง 08.30-09.00น. เพื่อไปทัวร์สี่เกาะครับ


มาต่อวันที่สองนะครับ เช้านี้ ตื่น 07.30น. ครับ อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ลงมารอรถมารับไปทัวร์สี่เกาะ ระหว่างรอ ทางโฮสเทลมีน้ำชากาแฟร้อนและบิสกิตให้บริการตัวเองครับ เป็นว่าพอรองท้องก่อนไปทัวร์ ประหยัดมื้อเช้าได้หนึ่งมื้อ 



รถที่มารับเป็นรถสองแถวครับ มาถึงเกือบเก้าโมง ถือว่าอยู่ในช่วงเวลาที่แจ้งไว้ ไม่เลท แล้วก็ออกเดินทางพร้อมนักท่องเที่ยวคนอื่นที่รถรับมาก่อนหน้าไปท่าเรือ พอมาถึงท่าเรือก็จัดกลุ่มใหม่ เพราะที่มาด้วยรับมาไปหลายโปรแกรมครับ พอได้กลุ่มที่จะไปทัวร์สี่เกาะแล้วก็เซ็นชื่อรายงานตัวรับสติ๊กเกอร์ติดเสื้อ และหน้ากากดำน้ำแล้วไปขึ้นเรือกัน วันนี้เป็นคนไทยฉายเดี่ยวคนเดียวในกลุ่มครับ



ก่อนขึ้นเรือจะต้องฝากรองเท้านะครับ เท่ากับว่าวันนี้ทั้งวันเราจะเท้าเปล่าจนถึงตอนเย็นเลย ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจะยึดรองเท้าทำไม น่าจะเป็นเรื่องการควบคุมคนในกลุ่ม และการรักษาความสะอาด เกาะแรกวันนี้เป็นทะเลแหวกที่เกาะทับครับ เดินทางประมาณครึ่งชั่วโมง แต่เป็นครึ่งชั่วโมงที่น่ากลัวมาก คลื่นลมอันดามันช่วงโลวซีซันโหดมากครับ โดยเฉพาะกับเรือหางยาว นั่งไม่ติดกระดานสวดมนต์ไม่จบบทกันเลยทีเดียว กลุ่มนักท่องเที่ยวจีนเกาหลีนี่กรี๊ดกันดังมาก บางคนถึงกับเอาถุงมาจ่อปากกันเลย กว่าจะไปถึงเกาะทับก็เปียกกันทั้งตัวเพราะฝ่าคลื่นน้ำกระเซ็นมาตลอดทาง ฝนตกอีก พังกันตั้งแต่ยังไม่ถึงที่หมาย มีแต่ไกด์ของเราเท่านั้นครับที่มีสีหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น



แต่พอลงจากเรือได้ฝนก็หยุด เลยได้เห็นเกาะแหวกแบบไม่อึมครึม ข้อดีของช่วงโลวซีซันคือคนน้อย ฟ้าไม่สดใสเท่าไร แต่พอฝนหยุดก็โอเคแล้วครับ



เกาะต่อมาเป็นเกาะไก่ครับ เรือจะจอดให้ถ่ายรูปจากจุดที่เห็นเกาะเป็นรูปหัวไก่ก่อน



ต่อมาจึงพาไปยังจุดดำน้ำซึ่งไม่สามารถเห็นหัวไก่แล้ว จากนั้นก็ลงน้ำเลยครับ มีปลาเล็กๆอยู่บ้าง ไกด์ของเราแจ้งแล้วว่าห้ามให้อาหารปลา แต่ก็มีคนไม่ฟังแอบเอาขนมปังลงไป ทำให้มีปลาเข้ามาแถวเรือเยอะพอสมควร ถ่ายรูปง่ายดี แต่ไม่ดีต่อระบบนิเวศน์ครับ อย่าทำตาม
  



อันนี้เรือของเรา ถ่ายจากจุดดำน้ำ ดูเล็กไปเลยเทียบกับมวลน้ำแน่นๆ กับคลื่นลมของทะเลหน้ามรสุม



ต่อมาก็จะไปกินข้าวกลางวันกันที่เกาะที่สามครับ คือเกาะปอดะ มื้อกลางวันเป็นข้าวกล่องง่ายๆ ส่วนน้ำหยิบได้ตลอดจากบนเรืออยู่แล้ว ก็ถือลงไปที่เกาะด้วย แต่ต้องทิ้งในถุงแล้วนำกลับขึ้นเรือไปทิ้งบนฝั่งอีกที



Mission completed 5555+



ต่อมาที่สุดท้ายเป็นหาดไร่เล และถ้ำพระนาง เราลงเรือกันบริเวณหน้าโรงแรมรายาวดี บนหาดไรเล แล้วก็เดินเท้าไปอีกฟากของแหลม ก็จะเป็นชายหาดเล็กๆ ริมหน้าผาสูง ในถ้ำริมหน้าผาเป็นศาลพระนาง ที่เคารพบูชาของชาวเรือที่นี่ครับ




จบทริปวันนี้กลับเข้าฝั่ง ก็มีรถพากลับไปส่งที่โรงแรม อาบน้ำอาบท่า แล้วออกไปเดินเล่นริมหาดอ่าวนางต่อ 
ปิดท้ายวันด้วยเบียร์เย็นๆ จากร้านสะดวกซื้อ กับวิวนี้ ฟินถึงโลกหน้าเลยครับ



วันที่สามตื่น 07.30น. เหมือนเดิมครับ เพราะรถจะมารับเวลาเดิมคือระหว่าง 08.30-09.00น. ลงมาดื่มกาแฟที่ล้อบบี้โรงแรมเหหมือนเดิม แล้วก็มีรถมารับครับ แต่วันนี้ไม่ได้ตรงไปรวมพลที่ท่าเรือครับ เราไปเช็คชื่อกรุ๊ปทัวร์กันที่หน้าหาดอ่าวนาง วันนี้ทีมงานแจ้งว่าคลื่นลมแรงกว่าเมื่อวาน เรือหางยาวออกจากฝั่งไม่ได้ จะอัพเกรดให้เป็นสปีดโบ๊ทฟรี ดีไปอย่าง เพราะของเมื่อวานทรมานมาก เรารวมพลกันที่รูปปั้นปลาครับ 



แล้วก็นั่งต่อไปท่าเรือเดิม ท่าเดียวกับเมื่อวานครับ 



พอมาถึงท่าเรือก็เหมือนเมื่อวานเลยครับ แจกหน้ากากดำน้ำ ยึดรองเท้าก่อนขึ้นเรือ แล้วมุ่งหน้าสู่เกาะห้องกับ ใช้เวลาเดินทางเกือบชั่วโมง เป็นคนไทยคนเดียวในกลุ่มตามเคย วันนี้คลื่นลมแรงกว่าเมื่อวานจริงๆ เพราะทางไปเกาะห้องนั้นเป็นร่องน้ำด้วย ขนาดสปีดโบ๊ทยังกระแทกจนระบมไปทั้งตัว ถ้ามาเรือหางยาวไม่ไหวแน่



สำหรับโปรแกรมเกาะห้องนี้ ทุกจุดแวะจะสามารถดำน้ำตื้นแถวชายหาดได้ โดยจุดแรกนั้น จขกท.ได้ซื้อแพคเกจพายเรือคายัคมาตั้งแต่ต้นแล้ว พอมาถึง ทางไกด์ที่มาด้วยก็ไปติดต่อเรือคายัคให้พาย 1 ชั่วโมงครับ เอาเข้าจริงๆ พายได้แค่สิบห้านาทีก็จอดแล้วครับ คลื่นแรงมาก ถ้าต้องพายไปถึงอ่าวห้อง คงต้องพลิกคว่ำกลางทางแน่ๆ ตรงนี้ถ้าใครต้องการพายเรือคายัค แนะนำให้มาตัดสินใจหน้างานดีกว่าครับ ไม่จำเป็นต้องซื้อมาล่วงหน้า เพราะจะได้ดูสภาพอากาศด้วย




ออกจากจุดแวะจุดแรกเรือก็จะพาไปวนที่ห้องลากูน โดยเข้าไปในช่องเขาเล็กๆ ภายในเป็นสระธรรมชาติ มีลักษณะคล้ายห้อง น้ำใสมากครับ จุดนี้ถ้าพายเรือคายัคมาใช้เวลาครึ่งชั่วโมง แต่เรือสปีดโบ๊ทใช้เวลา 2 นาที




ต่อมาก็ไปทานอาหารกลางวันที่เกาะเหลาลาติง ตรงนี้หากต้องการเล่นน้ำก็เล่นได้เช่นกัน



ทานข้าวเสร็จก็ไปต่อกันที่เกาะผักเบี้ยครับ ส่วนตัวแล้ว จขกท.ชอบที่นี่ที่สุดครับ เงียบสงบ น้ำใสสะอาด นอนตากลมเพลินมาก




เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ แป๊บเดียวก็ถึงเวลากลับฝั่งแล้ว



จริงๆ วันนี้หลังจากเสร็จจากทัวร์เกาะห้องแล้ว ตั้งใจจะไป Night market ในตัวเมือง เนื่องจากตรงกับวันศุกร์ แต่ด้วยว่าเมื่อคืนที่ผ่านมามีเหตุความไม่สงบหลายจุดในภาคใต้ รวมไปถึงมีไฟไหม้ที่อ่าวนาง! ใกล้ๆกับที่ไปนั่งดูพระอาทิตย์ตกเมื่อวานนั่นเอง ทำให้มีประกาศงดถนนคนเดินเพื่อหลีกเลี่ยงจุดชุมนุมคนจำนวนมาก คืนนี้จึงได้แต่กลับไปเดินแถวอ่าวนาง แล้วก็นวดไทยประกอบชิ้นส่วนที่หลุดไปกับสปีดโบ๊ท ที่ร้านข้างๆ โฮสเทลครับ

จบกระทู้นี้ด้วยเช้าวันสุดท้าย ออกเดินทางด้วยรถตู้ที่จองไว้กับโรงแรมตั้งแต่ 06.00น. ไปยังสนามบินครับ ใช้เวลาเดินทาง 45 นาที ทันขึ้นเครื่องเวลา 07.45น. พอดี โดยขาออกในประเทศจะอยู่ที่อาคาร 2 ครับ หลังจากลงรถตู้แล้ว เดินเข้ามาในอาคาร 1 แล้วมาทางซ้าย จะมีทางเชื่อมไปอาคาร2 ครับ



บ๊ายบายกระบี่ หากมีขอผิดพลาดประการใด ขอน้อมรับไว้ ณ ที่นี้ ขอบคุณครับ


ที่มา Pantip
Cr. ZhengDaGuangMing