รีวิว ร้อยคด พันเคี้ยว รักเดียว "เบตง" (ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง)

|| Everything in sight was lost in Silhouette ||





      ย้อนไปเมื่อสมัยป๊อปปี้เลิฟเคยมีคนรู้ใจบอกไว้แบบนี้ เพราะบ้านเค้าคนนั้นอยู่เบตง วันนี้เลยขอเอาแคปชั่นนี้มาใช้เนาะ((รีวิวแรกก็ใช้...รีวิวนี้ก็ยังจะใช้อ่ะ)) ถึงแม้เราจะไม่ได้มีโอกาสเจอกัน ถึงแม่ว่าเราจะยังไม่แอดเฟรนในเฟสบุ๊ค แต่ถ้าเค้ายังจำได้และเข้ามาอ่านก็อยากบอกว่า “คิดถึง”

      เบตงครั้งนี้เป็นการมาครั้งที่สอง ต่างจากครั้งแรกคือครั้งนี้เราจะมานอนค้างคืนกันในเมืองแห่งสายหมอกและที่สำคัญกว่านั้นคือเรามาที่นี่ในวันที่ 02.09.2559 เราตั้งใจมาเที่ยวที่นี่ในวันเกิดของเรา และเราอยากไปที่ที่เธอเคยไปมา “ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง”

      สารภาพตามตรงเลย....เราแอบส่องผ่านเฟสบุ๊คของเธอนะ ภาพโปรไฟล์ทะเลหมอกและจุดที่เธอไปนั่งถ่ายภาพ....เราไปนั่งจุดนั้นจุดเดียวกับเธอแล้ว และเราก็ทำได้เพียงกระซิบกับสายลมฝากผ่านไปบอกเธอว่า “เราอยู่นี่แล้วนะ เราคิดถึงเธอนะ เรายังอยากจะเป็นเพื่อนกับเธอ 
เราขอโทษถ้าเคยทำอะไรผิดไป ยกโทษให้เราด้วย”


การเดินทางครั้งนี้ปุ๊ปปั๊ปมาก ประมาณว่าคืนก่อนวันเกิดอยู่ๆ เราก็นึกอยากไปเบตงซะงั้น พอคิดได้ก็เก็บกระเป๋าทันทีตอนประมาณตีสอง ใช้เวลาเก็บพร้อมเช็คลิสต์กว่าจะเรียบร้อยก็ตีสี่ การมาครั้งนี้เราใช้วิธีขับรถมาเอง เริ่มจาก อ.หาดใหญ่ ออกจากที่นี่ประมาณ 9 โมงเช้า ใช้เวลาในการขับ 5 ชั่วโมง
กว่าๆ ด้วยความเร็ว 80-100Km/Hr. ระหว่างทางเราก็แวะจอดเก็บภาพตามแลนด์มาร์คที่เค้านิยมกัน อย่างที่นี่ สะพานวาด ((สะพาน ฮาลาบาลา)) 







14.30 น. โดยประมาณ เราก็มาถึงที่นี่ “เบตง” ด้วยความที่ว่าคิดจะมาปุ๊ปก็เดินทางปั๊ปมันก็เลยมาแบบ No Plan แบบไปตายเอาดาบหน้า ระหว่างทางเลยเสริชหาที่พักไว้พลางๆ ซึ่งหนึ่งในตัวเลือกที่ต้องการก็คือ “ไม่แพงและมีสระว่ายน้ำ” และแล้วหวยก็มาออกที่ River Rock Palm Resort & Spa ในราคา 600 บาท ค่ามัดจำ 200 บาท (ไม่มีอาหารเช้า) มีสระว่ายน้ำเล็กๆ ระดับน้ำสูงประมาณเอว ตอนแรกคิดว่าบ่อเลี้ยงปลาซะอีก (แอบผิดคาดไปนิดนึงแต่พอได้ลงแช่ก็โอนะ)













เตียงดูดวิญญาณ (นุ่มนิ่มน่านอนมากกกก)


มาถึงก็พักเอาแรงสองชั่วโมงกว่าๆ ตื่นมาก็แพลนเที่ยวต่อเลย ซึ่งเย็นขนาดนี้คงไปไหนได้ไม่เยอะ เลยตัดสินใจเดินทางมาเที่ยวที่นี่เป็นอันดับต้นๆ เลย “สวนหมื่นบุปผา” หรือที่เรียกอีกชื่อว่า “สวนดอกไม้เมืองหนาว” 

      17.05 น. เราอยู่ ณ ตรงปากทางต้องขับเข้าไปอีก 16 กิโลเมตร 

      ไปถึงเราก็ต้องแวะซื้อตั๋วเข้าชมสวนดอกไม้ ราคาคนไทย 20 หรือ 30 บาทต่อคน (จำไม่ได้อ่ะคะ แหะๆ)













ครั้งนี้ที่เรามาดอกไม้ไม่เยอะเท่าครั้งก่อน ดูโล่งๆ ไปเยอะ แอบเสียดายนิดนึง เก็บภาพประมาณชั่วโมงนึงก็ขับรถกลับเพราะใกล้จะทุ่มนึงแล้ว ระหว่างทางเห็นว่าบ่อน้ำพุร้อนยังไม่ปิดเราเลยยอมเสียเวลาสักอีกนิดเพื่อไปนั่งแช่เท้า อยากจะบอกว่า “ฟินมากค่ะ” รู้สึกผ่อนคลายสบายเท้า กว่าจะได้ขุดตัวเองให้ลุกขึ้นจากบ่อน้ำพุร้อนก็ทุ่มครึ่งเข้าไปแล้ว













ขาเข้าประตูเมืองเบตงจะมีป้าย OK Betong เป็นอีกหนึ่งจุดที่คนนิยมมาเก็บภาพกัน ครั้งที่แล้วเราพลาด ไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้ ครั้งนี้เลยขอแก้ตัวใหม่ เก็บภาพไว้เป็นที่ระลึก







จากนั้นไปไหนต่อน่ะหรออออ....เราพาตัวเองไปเก็บภาพรอบเมืองที่ อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ ซึ่งครั้งก่อนเราพลาดไม่ได้ลอดอุโมงค์เลยไม่ได้ไปเก็บภาพ “ไก่ยักษ์เบตง” และป้าย “เบตง ใต้สุดแดนสยาม เมืองงามชายแดน” แต่วันนี้เรามาทำการบ้านเพิ่มเติมแล้วนะ










เพลินกับการร่อนถ่ายรูปจนลืมไปเลยว่าตั้งแต่มาถึงเรายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย กะว่าจะไปถ่ายภาพตู้ไปรณีย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกต่อซะหน่อย เลยต้องเปลี่ยนแผนไปทานอะไรใกล้ๆ ซะก่อนเพราะตอนนี้ก็เกือบจะสี่ทุ่มแล้วววววว ขับวกไปวนมาไปเจอร้านอาหารอิสลามเห็นคนเยอะดี เลยแวะเติมพลัง
     หลังจากทานเสร็จก่อนที่หนังท้องจะตึง เดี๋ยวหนังตาก็คงจะหย่อน และก่อนที่เราจะสะสมไขมันไปมากกว่านี้เราต้องรีบเบิร์นเนาะ และภารกิจสุดท้ายของเราวันนี้ยังไม่สำเร็จ เราเลยขับไปที่ตู้ไปรณีย์ยักษ์เพื่อเก็บภาพสุดท้ายของวัน คืนนี้จะได้นอนตาหลับ (เอ๊ะ....พูดแปลกๆ)

แต่...

แต่...

แต่...
แต่พอลงไปเดินถึงบันไดทางขึ้นเราถึงกับก้าวขาไม่ออกค่ะ สตั๊นท์ไปสิบวิ จากนั้นเดินขาสั่นไปถ่ายภาพ ซึ่งกว่าจะยิ้มและได้ภาพนี้มาแทบต้องแลกด้วยน้ำตากันทีเดียว เพราะอะไรน่ะเหรออออออ คือ เราเจอผีค่ะ ผีตัวเป็นๆ ผีบินได้ แล้วบินว่อนอยู่แถวนั้นไม่ต่ำกว่าสามตัว มันคือ “ผีเสื้อ” เคยเห็นกันป่ะผีเสื้อตัวใหญ่ๆ ลายขาวๆ ดำๆ ยึ๊ยยยยยย...แค่เขียนบรรยายเราก็ขนลุก สยองสองหมื่นโยดไปแระ ไอ้ที่อยู่แถวนั้นเราว่ามันพีคแล้วนะ พอเหม่อมองฟ้า อาอ้าอ่าอ้าอาาาา เท่านันแหละ ท้องฟ้าวิปริตแปรปรวนทันใด (อังกอร์!!!) มวลหมู่ผีเสื้อบินว่อนฟ้า ประมาณว่าถ้าแหกปากกรี๊ดกลัวผีเสื้อจะบินเขาปาก เลยทำได้แค่รีบๆ ถ่ายให้มันเสร็จๆ แต่ยังมิวายโดนคนถ่ายให้แกล้งอัดวีดีโออีกแน่ะ....คนอะไรโครตใจร้ายเลย










นี่คือสีหน้าก่อนน้ำตาจะร่วงเผาะเพราะกลัวผี  เจอวิดีโอแอบถ่ายฮากว่านี้สิบเท่า 


((กลับมาจากเบตงเราส่งข้อความไปถามแอดมิน “เบตงใต้สุดสยาม OK Betong” เกี่ยวกับผีเสื้อ เค้าตอบมาว่าช่วงนี้ของทุกปีก็เป็นแบบนี้แหละ ค่ะ...ค่ะ...เราจะจำไว้ ถ้าเป็นไปได้เราจะไม่มาหน้านี้ที่เบตงอีกล้าววววววว แงๆๆๆๆ เรากลัวผี ช่วยเราด้วยยยยยยย))


จากนั้นก็ไม่มีกระจิตกระใจทำอะไรต่อ กะว่าจะไปเก็บภาพที่หอนาฬิกากะนกนางแอ่นที่เกาะตามสายไฟฟ้าซะหน่อยแต่ต้องเป็นอันยกเลิกเพราะตรงนี้ ผีก็เยอะแถมเยอะเป็นพิเศษ เพราะเปิดประตูรถก็จ๊ะเอ๋กับเศษปีกเป็นสิบๆ ทั่วท้องถนน ผีบางตัวเหลือแค่ปีก บางตัวเหลือครึ่งท่อน โอ้วววววแม่เจ้าลมแทบจับ กลับรีสอร์ทไปแช่น้ำในบ่อปลาดีกว่า หวังว่าคงไม่ตามไปหลอกหลอนนะ ไม่งั้นคืนนี้ตูหลับไม่ลงแน่
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ถึงรีสอร์ทเอารถไปจอดหน้าห้องพักมอง ซ้าย ขวา หน้า หลัง แถวนี้ไม่มีผีแฮะ ท้องฟ้าโล่งไร้แมลง ไร้ผี เดินออกไปหน้ารีสอร์ทสักหน่อยเผื่อมันตั้งรกรากอยู่แถวนั้น ด้วยความซวยเลยไปจ๊ะเอ๋มาตัวนึง แต่ดูแล้วมันคงบินเล่นอยู่แถวนั้นแหละ เลยรีบวิ่งเข้าห้อง แต่....






แต่....






แต่....

แต่อย่าคิดว่าจะนอนนะ ฮะฮะฮ่าาาา เราขึ้นมาเปลี่ยนชุด เปลี่ยนเพื่อลงไปแช่น้ำตอนห้าทุ่มกว่าๆ พร้อมเอาน้ำส้ม ขนมขบเคี้ยวลงไปทานข้างสระ มันเป็นกิจกรรมก่อนนอนที่ดีเลิศมากๆ ว่าป่ะล่ะ ว่าแล้วพยูนก็ลากร่างลงน้ำ แช่น้ำไปเปิดยูทูปดูหนังไปก็เที่ยงคืนกว่าๆ แล้วถึงเวลาเกยตื้นเข้านอนสักที นอนพักเก็บแรงต่อเพราะพรุ่งนี้เรามีนัดเดทสำคัญกับทะเลหมอกอัยเยอร์เวง ซึ่งต้องตื่นโครตเช้าอ่ะจ้าาาาา




04.30 น. ตึ่งดึงดึงดึ๊งๆ ตึ่งดึงดึงดึง เสียงปลุกจากมือถือไอพ่น เอ๊ยยยย...ไอโฟนก็ดังขึ้น นี่เรานอนไปแค่สองชั่วโมงเองนะ ยังไม่อยากลุก แต่เราก็ไม่อยากพลาดอ่ะ บอกแล้วเรามาที่นี่เพื่อฉลองวันเกิดโดยการไปทะเลหมอก จะเลิกล้มความตั้งใจก็ยังไงอยู่เลยต้องฉุดกระชากลากถูตัวเองออกมาจากเตียงดูดวิญญาณ แล้วล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้า ขับรถออกมาจากรีสอร์ทก็เกือบตีห้าแล้ววววววว

    ระยะทาง 30+กิโลก็จริงแต่ใช้เวลาขับเป็นชั่วโมงเลยน้า เพราะมันโค้งเยอะ ขับเร็วไม่ได้เลย เราไปถึงอัยเยอร์เวงก็เกือบๆ จะหกโมงแล้ว ระหว่างทางมีรถไปทางเดียวกันประปราย คงขึ้นไปทะเลหมอกเหมือนกัน ก่อนถึงตีนทางขึ้นเขาเราเจอผู้ร่วมชะตากรรมอีกเพี๊ยบและส่วนมากเป็นสิงห์และสก๊อยจ้า ขับมอไซด์ขึ้นไปกันคงฟินกับความเย็นยามเช้าน่าดู 

    และแล้วเราก็มาถึงจุดชมวิวทะเลหมอกจนได้ หกโมงแล้วแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นจ้า มีเวลาเซลฟี่ดื่มด่ำกับทะเลหมอกได้สักพัก เราก็ขึ้นไปยังจุดชมวิวที่ 1 ((จุดนี้คนเยอะมากกกก แถมเรานึกว่าเราหลงไปยังต่างประเทศเพราะเค้าสปีกภาษามาลายูกันซะ 97%ที่รู้เพราะเราขอช่วยให้พี่คนนึงถ่ายรูปให้ คุยไปคุยมาเค้าบอกว่ามาจากหาดใหญ่คนเดียวเหมือนกัน))













จากนั้นไปจุดชมวิวที่ 2 กันนนน จุดนี้คนไม่เยอะเพราะวิวไม่สวยเท่าจุดแรก และหมอกก็กำลังกระจายเพราะความร้อนจากไอของดวงอาทิตย์เริ่มสาดส่อง และเราก็ได้เวลากลับลงเขาซะที








และจุดสุดท้ายที่เรามาแวะระหว่างลงเขาคือ จุดชมวิวที่ 3 ซึ่งจุดนี้มีอาหารเช้าและของทานเล่นขาย แต่คนเยอะเหลือเกิน เรามันประเภทไม่ชอบแย่งกันนั่ง แย่งกันซื้อ และแย่งกันกินอยู่แล้ว เลยเดินไปเก็บภาพจุดชมวิวก่อน ตรงนี้มีป้ายทะเลหมอกอัยเยอร์เวงก่อนเดินขึ้นไปจุดชมทะเลหมอก












คนน้อยลงแล้ว โต๊ะเก้าอี้เหลือเฟือ ทำการยึดโต๊ะพร้อมสั่งอาหารเป็นก๋วยจั๊บไก่ 30บาท ((ขอเติมกระเทียมเจียวไปเยอะเลยเพราะมันกรอบและหอมมาก)) และข้าวคลุกกะปิเพิ่มไก่ย่าง 35บาท((รสชาติพอทานได้)) และชาดำเย็น 20บาท ((ซึ่งรสชาติเหมือนน้ำล้างแก้ว วิญญาณชามาชัดๆ))







8โมงนิดๆ เรากลับลงจากทะเลหมอกและกะว่าจะเที่ยวต่อที่อุโมงค์ปิยะมิตร แต่ดั๊นนนนน...ขับเลยไปซะนี่ไม่ทันสังเกตป้าย เลยเข้าที่พักนอนเอาแรง((อีกแล้ว)) ตื่นมาก็เกือบเที่ยงแล้วเจ้าค่ะ จะรออัลไล อาบน้ำแต่งตัว เพราะที่นี่เช็คเอ้าท์ได้ถึงบ่ายโมงแน่ะ จากนั้นก็คืนกุญแจรับตังค์มัดจำคืนแล้วบึ่งรถไปยังอุโมงค์ปิยะมิตร แล้วเก็บภาพตามรายทางตั้งแต่ปากทางเข้า















ค่าเข้าที่นี่คนละ 30บาท จ้า ((เก็บตั๋วไว้ให้ดีๆ น้าเพราะขึ้นไปข้างบนต้องใช้เวลาเดินเข้าถ้ำซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของพวกคอมมิวนิตส์ฮะ)) เดินเทรคกิ้งออกกำลังกายกัน เบิร์นไขมันแถมได้ความเพลิดเพลินอีกแน่ะ ที่นี่เป็นที่อยู่ของจีนคอมมิวนิสต์เก่า ก็จะมีพวกสิ่งก่อสร้างตามรายทาง 










เรามาถึงบนเขาก็จะเจอป้าคนเก็บตั๋ว คุยกันอยู่สักพัก ได้ความรู้เยอะเหมือนกัน จากนั้นก็มุดเข้าถ้ำสำรวจกันเล้ยยยย




        ทางออกที่นี่มี 6จุด ซึ่งจุด6นี่แหละที่ไกลสุด เราเคยมาที่นี่ครั้งแรกและออกตรงจุดสาม วันนี้เราขอออกจุดห้านะ ในถ้ำอากาศถ่ายเทมาก ไม่ร้อน มีลมพัดเอื่อยตลอดเลยรู้สึกเย็นซะมากกว่า จากนั้นเราก็ไปปิดทริปที่ต้นไม้พันปีแล้วก็ขับกลับลงจากอุโมงค์ปิยะมิตร 























    จากนั้นเราก็เดินไปต่อยังต้นไม้พันปี ทางลงค่อนข้างชันแต่สร้างเป็นบันไดก็สะดวกมากมายเชียวแหละ เก็บภาพอยู่นานเพราะรอให้ทัวร์จีนและ นทท.คนอื่นไปหมดก่อนจะได้ไม่มีคนมาแย่งซีนเราไง แหะๆ ^^”
    ตอนนั่งรอแถวนั้นเราเห็นคุณลุงคนนี้นั่งพักอยู่ที่โขดหินอีกฝั่ง แต่พอ นทท.ไปเกือบหมด เหลือเรากะเพื่อนร่วมชะตาอีกคนคุณลุงก็มูฟตัวเองมาตรงนี้ ซึ่งเราก็ถึงบางอ้อกันทีเดียว เพราะเจ้ารูปปั้นจ๋อ สิงห์ ป้ายชื่อต้นไม้ และรูปปั้นที่อยู่รอบๆ ต้นไม้พันปีคุณลุงคนนี้เป็นคนโบกปูนและสร้างมันขึ้นมา อะเมซิ่งหิงห้อยมากกกก ฝีมือคุณลุงนี่ยอดเยี่ยมไปเลยค่ะ ((มิน่าตอนเพื่อนเราบอกว่าอยากได้ภาพนั่งถ่ายภาพคู่กะลิง ลิงมันเหม่อข้างบนเพื่อนเราก็ทำตาม เราเลยบอกว่าอยากถ่ายมั่งเพราะน่ารักอ่ะ ตอนนั้นปลายสายตาของเราเห็น “คุณลุงแอบยิ้ม”)) 














ภาพสุดท้าย...หาเราเจอมั๊ยยยยยยยย


ออกมาจากอุโมงค์ปิยะมิตรมาที่จอดรถเราก็หาซื้อไอติมหม่ำดับร้อน ผลพลอยได้คือ สอย “น้อยโหน่ง” มาได้ลูกนึง ซึ่งมันใหญ่กว่าหน้าเราอีกนะ ผลนี้ 120บาท และก่อนที่จะเสียทรัพย์ไปมากกว่านี้เราเลยจำเป็นต้องขับออกได้ฤกษ์กลับหาดใหญ่แล้วล่ะ 





    และ “ลูกนี้...เพื่อแม่” ยังไม่พอก่อนกลับเราแวะบ่อน้ำพุร้อนเพื่อช้อป ชิมทุเรียนกันก่อนจ้า หมอนทองโลละ 60บาท ก้านยาวโลเท่าไหร่จำไม่ได้ และได้ชิมพวงมณีทุเรียนสายพันธุ์จากประเทศมาเลเซียฟรีๆอีกครึ่งซีก เพราะลูกมันแตกแล้วพี่เค้าเลยแกะให้ชิมตรงนั้นเลย สรุปได้หมอนทองลูกละสี่โลมาลูกนึง ก้านยาวลูกละโลสี่ขีด ทุเรียนกวนสามชิ้นสองร้อย(ครึ่งกิโลกว่าๆ ประมาณแปดขีด) รวมค่าเสียหาย 530บาท เอาไปฝากเสด็จแม่ เป็นค่าปิดปากที่หายตัวไปโดยไม่บอกกล่าว 555++




THE END



จบแล้วฮะ....ทริปวันเกิดของเราที่เบตงปีนี้  เอาไว้ปีหน้าค่อยมาดูกันใหม่เนาะ ว่าเราจะหนีออกจากบ้านไปเที่ยวไหน วันนี้บะบ๊ายยยยยย








ปล.วีคหน้าเราไปภูเก็ตนะ ถ้าไม่ดองเค็มเอาไว้...เราจะมารีวิวให้แล้วกัน


ที่มา Pantip
Cr.Pianoinlove