รีวิว เมื่อฉันหลงรักเขา....การเจอกันครั้งแรกของเรา ณ ภูสอยดาว

กว่าเราจะได้เจอกัน ต้องใช้เวลามากกว่า 4 ปี 
ปิดข้ออ้างต่างๆนานา สิ้นสุดซักทีกับการลอยคอ Let's go สิคะ รออะไร >_____<



Day 0 : 28.07.59
_______________________________________________________________
จากการศึกษาข้อมูลในพันทิป หลายๆท่านให้ความเห็นว่า เดินทางด้วยรถทัวร์ของ
พิษณุโลกยานยนต์ นิยมสุด แต่ด้วยความที่เราไม่รีบบบบบ เลยสรุปมาได้รถทัวร์ของ บขส.99
รอบ 4 ทุ่ม สาย กทม. - ขนส่งพิษณุโลกแห่งที่ 2 ราคา 204 บาท ถูกได้อีกกก 

คือ ถึงเราจะไม่รีบ แต่เราก็ไม่ได้แบบ ไม่รีบขนาดนั้น 555
เอิ้นไปค่าาาา รถทัวร์เอิ้นได้อีกกกกก จอดทุกป้ายยย เอาเลยยย เอาที่สบายใจ (เสียงสูง)



มีแวะพักที่จุดจอดกบินทร์บุรี ให้เข้าห้องน้ำเฉยๆนะ (รถทัวร์ ป.2 ไม่มีห้องน้ำ)
อยากกินข้าวหรอ ซื้อเองสิ ตั๋วราคาเท่านี้แกจะอยากได้อะไรอีกกก อิอิ



นั่งเขย่ากันไป จะยืดขา จะยกขา ทำอะไรไม่สะดวกซักกะอย่าง เพิ่งรับรู้รสชาดของ ป.2 ก็วันนี้
(บ่นไปงั้นนาาา เห็นว่าไม่กี่ ชม. แล้วรอบเวลามัน โอเค๊รรรรร)
สรุป มาถึงจุดหมายปลายทาง ที่เรียกว่า ขนส่งพิษณุโลกแห่งที่ 2 ในเวลา ตี 4.20

เดินลงจากรถในสภาพแบบ ถูกปลุก ให้ไปทำงาน ให้ไปเรียน งี้ (ถูกปลุกให้ไปเที่ยว จะอีกแบบนึง) 
นี่ก็ถูกห้อมล้อมไปด้วยผู้คนมากมายก่ายกอง น้องในกลุ่มถึงกับแบบ เค้ามาขายอะไรกัน 555
ถ้าตั้งใจฟังจริงจัง จะจับใจความได้ว่า เหมารถไหม? ภูสอยดาวรึป่าววว? ประมาณนี้

ด้วยความที่เราศึกษาข้อมูลมาบ้าง เคยคุยกับ จนท มาแล้ว 
ว่าถ้าเหมารถของทางอุทยานจะอยู่ที่ 4,500 บาท ไป - กลับ รถกระบะ นาจาาา
เราก็แบบ "ฉันต้องนั่งรถกระบะหัวหวื่น ไปอีกกี่ ชม. กัน" เลยกะมาหารถเหมาเอาดาบหน้านี่ล่ะ

สรุปพี่แท็ก รถแวน 7 ที่นั่ง เสนอขายบริการในราคา 4,000 บาท
จ่ายเลย 3,000 ตอนมารับกลับค่อยจ่ายที่เหลืออีก 1,000 บาท
นี่ก็คิดนะว่า เออ มัดจำแพงเนาะ แต่เค้าคงไม่มาโกงเล็กๆน้อยๆ
เพื่อแลกกับอาชีพทำมาหากินหรอก เลยตอบตกลงไปแบบ สะลึมสะลือ ว่า "ไปค่ะ พี่สุชาติ"



Day 1 : 29.07.59
_______________________________________________________________
สรุปพอขึ้นแท็กซี่ได้ นั่งหัวโยกต่อไปอีก 1.30 ชม. จ้าาาา ถึงตลาด 6 โมงเช้าพอดี
มาแวะเพื่อตุนเสบียงกรังก่อนขึ้นภูฯ แอบบอกนิดนึงว่าที่นี่มีทั้งตลาดสด
มีทั้ง โลตัสเอกเพรส และ เซเว่น เชิญเลือกช้อปปิ้งกันตามนิสัยได้เลยจ้า

นอกจากของสดที่เราซื้อตุนขึ้นไปแล้ว เรายังแอบซื้อมื้อเช้าและมื้อกลางวันไปทานด้วยเลย
(แต่ถ้าจะไม่ซื้อ สามารถไปซื้อได้อีกครั้ง ที่ร้านค้าสวัสดิการของอุทยาน นะคะ น้ำดื่มก็เช่นกัน)



พี่แท็กให้เวลาช้อปปิ้งเราประมาณ ครึ่งชม. แต่เชื่อเถอะว่าเกิ้นนนน 
อ่อ ที่ตลาดมีห้องน้ำให้ทำธุระนะคะ อยู่ด้านหลังตัวตลาดเลย
พอซื้อข้าวของกันเรียบร้อย เราจะนั่งรถต่อไปอีก ประมาณ  1 ชม. นะคะ

(สำหรับบางคนที่ไม่ได้เหมารถมาตั้งแต่ ขนส่ง แบบเรา 
แต่เลือกที่จะนั่งรถประจำทาง สายชาติตระการที่ออกตอน ตี 5
สามารถมาหารถยนต์เพื่อเหมาไปภูฯได้แถวนี้นะคะ มีทั้งรถกระบะ และ รถสองแถว) 
มีน้องกลุ่มนึง ขึ้นภูฯ พร้อมเรา เหมารถกระบะได้ในราคา 1,800 บาท จากตลาด - ภูสอยดาว (ไป-กลับ)
(ขอบคุณข้อมูลจากนุ้งฟ่างนุ้งเนิสค่ะ) 



บอกเลยเส้นทาง 1 ชม. ต่อจากนี้ เป็นอะไรที่แบบ ชวนเมารถมากก แนะนำให้นอนหลับนะคะ หลับไปเลยค่ะ
หรือไม่ถ้าอยากจะดูเส้นทาง แนะนำอย่าเพิ่งทานอาหารก่อนขึ้นรถค่ะ เสียดายของค่ะ

เห็นป้อมเล็กๆเขียวๆ นั้นไหม นี่คือจุดชำระค่าเข้าอุทยานค่ะ 40 บาท จ่ายกันไปค่ะ



สรุปเรามาถึงที่ทำการอุทยานจุดแรก ในเวลา 9.00 น. จุดนี้มีห้องน้ำห้องอาบน้ำ ไว้ให้บริการ
แล้วจุดนี้ยังเป็นจุดที่เราต้องฝากของให้ลูกหาบ กก. ละ 30 บาท (แท็กติดกระเป๋าอีกใบละ  5 บาท) 

รวมถึงจ่ายค่าเช่า เต้นท์ ถุงนอน หมอน เบาะรองนอน (กรณีไม่ได้เตรียมมา)
แต่ถ้าเตรียมมาเป็นของตัวเอง ก็จ่ายแค่ค่าเช่าพื้นที่สำหรับกางเต้นท์ เท่านั้นค่ะ
เราว่า ถ้าจะเตรียมมาก็เตรียมมาให้ครบ ถ้าไม่เตรียมก็ไม่ต้องเตรียมมาเลยดีกว่า
เพราะมันจะแพง ถ้าเลือกเช่าเพียงบางอย่าง

นอกจากนี้ยังมีค่ามัดจำขยะอีก กลุ่มละ 200 บาท



ร้านค้าสวัสดิการของทางอุทยานค่ะ มีขายทั้งอาหาร เครื่องดื่ม
และของใช้ทั่วไป เผือใครลืมซื้อ สามารถมาตามเก็บได้ที่นี่ค่ะ
อาคารอยู่ไม่ไกลจากจุดแรกที่เราฝากของให้ลูกหาบค่ะ



น้ำตกข้างๆร้านเลย ทานข้าวไป ฟินไป บรรยากาศ คือ ดีย์


หลังจากฝากของให้ลูกหาบ ชำระค่านู่นนี่นั้น เสร็จแล้ว
จนท. จะมีรถอีแต๊กไว้บริการ เพื่อส่งทุกท่านไปยังตีนภูฯ นะคะ



ขอเรียกจุดนี้ว่าที่ทำการอุทยานจุดที่ 2 นะ ด้านหน้าทางเข้าแบบในหุบเลยค่ะ จะมีร้านอาหารไว้บริการอีกจุดนึง 
มีประมาณ 3 - 4 ร้าน ดูจากลักษณะน่าจะไม่ใช่ของอุทยานฯ เหมือนให้ชาวบ้านเข้ามาสัมปทานมากกว่า



ก่อนเข้ามาถึงจุดนี้ จะมี จนท. ตรวจบัตรนิดหน่อย น่าจะขอดูว่าจ่ายค่าเข้าอุทยานฯ มารึยัง



ลานสน 6.5 กม. หนทางช่างยาวไกลนัก "ไปกันเถอะค่ะ พี่สุชาติ"



ระยะแรกของการเดิน ในช่วงต้น ยังคงเดินเลียบน้ำตกไปเรื่อยๆค่ะ



สวยงามตามท้องร่องกันไป



บันไดเหล็กก็มี สะพานไม้ก็มา ลุ้นๆไปค่ะ



ต่อด้วย บันไดดิน ค่ะ 


เนินส่งญาติแล้วค่ะ ญาติกลับได้ค่ะ รออะไร !!



สัตว์โลกน่ารัก มุ้งมิ้งไปอี๊กกกก



เดินวนไปข่ะ !!!



ขอพูดถึงเรื่องรองเท้า สักนิ๊ดดดดด
ทริปนี้สมาชิกในกลุ่ม ใส่รองเท้าเดินขึ้น-ลงภูฯ กันได้หลากหลายมากกกก 
มีทั้งสตั๊ดดอย (สอยมาจากภูกระดึง) ,รองเท้าจีนแดง (ซื้อใน กทม. ลองเสริชหาเอา บ้านน่าจะมีเน็ตกันชะ)
รองเท้าแตะช้างดาว แล้วก็รองเท้ายางของ Baoji
โชคดีตรงที่ รอบนี้ ไม่มีใครทะเลาะกับรองเท้าเลยยย ดีงามพระรามแปดมากกก

แต่ถ้าจะให้แนะนำจริงๆ ก็จะแนะนำว่า รองเท้าอะไรก็ได้ที่ไม่กัดเท้าเรา
ซึ่งถ้าดอกยางใต้พื้นรองเท้า ดอกลึกๆ ก็จะดีมาก
(ดอกลึกๆนี่ ส่งผลดีเวลาเดินพื้นดินในที่ เปียกๆแฉะๆ อ่ะ)

เพิ่งเนินที่ 2 ค่ะ นี่คิดไปคิดมา ควรตามญาติกลับตั้งแต่เนินแรก 



เนินที่ 3 เนินป่ากอ และ เนินที่ 4 เนินเสือโคร่ง ไม่ได้ถ่ายรูปเอาไว้ อยากรู้ไหมว่าเพราะอะไร??



ฝนตกจ้าาาา ตกจนเสื้อกันฝนขาดดด ดด 555 
น้ำป่าไหลหลากมากกกกก อะไรคือการเดินสวนน้ำขึ้นมา พูดด ด



มาได้ถ่ายรูปกันอีกที คือช่วงที่กำลังจะพ้นเนินสุดท้าย อ่านไม่ผิด
ดูปากณัชชานะคะ เนินสุดท้ายยยยย "เนินมรณะ"



สาระ ในส่วนของสัตว์เลื้อยคลานทั้งหลายนั้น  ทาก เทิก แมลงนู่นนี่นั่น
ทริปเรา ไม่เจอทากเลยซักกะตัวเดียว 
แต่มีพี่ลูกหาบบอกว่า ถ้าอยากเจอ ขอให้ลงไปสำรวจเส้นทางน้ำตกสายทิพย์ ค่ะ 

ส่วนที่เราพบเจอเยอะสุด คือเป็น พวก ยุง กับ ตัวคุ่น 
แนะนำว่า ควรมีพวกซอฟเฟล ตะไคร้หอม หรือพวกยาที่เค้าเคลมว่าป้องกันตัวคุ่น ติดไปด้วย จะดีมากกกก

ทริปเรา ด้วยความที่เดินสวนกระแสน้ำที่ไหลหลากลงมา ตามแนวทางเดินขึ้น
ปะทะ ทั้งไส้เดือน และตะขาบ ที่พยายามหนีน้ำ
กรี๊ดสิคะ รออะไร รอเพื่อนมาแห่นาคหรอคะ !!

พอขึ้นมาถึงลานสน ลานสำหรับกางเต้นท์ สิ่งแรกที่จะทำนะคะ
ไปเอาของที่ฝากพี่ลูกหาบขึ้นมาค่ะ (พี่ลูกหาบเดินแซงจนลงไปขนขึ้นมาอีกรอบโล้ววว)
ณ ที่ทำการอุทยานจุดที่ 3 ไปค่ะ ไม่ต้องชำระเงินนะคะ
จุดนี้ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเงินค่ะ เราชำระกันมาตั้งแต่ข้างล่างแล้ว

จนท.ถามว่า "ขึ้นกันมาตั้งแต่กี่โมง" เราตอบไปว่า "10 โมงค่ะ"
แล้ว จนท. ก็ขำ ย้อนถามกลับมาว่า "แล้วมาถึง 4 โมงเย็นเนี้ยนะ กิโลละ ชม." 5555
นานไปอี๊กกก ขึ้นเช้า แต่เดินขึ้นมาถึงพร้อมคนที่ขึ้นตอนบ่าย



สิ่งที่ต้องทำเป็นลำดับถัดไป คือ รับอุปกรณ์เครื่องนอนค่ะ อุ้มไปค่ะ เต้นท์ไหนเลือกเอาค่ะ



ขนของกันเสร็จแล้วใช่ไหม ไปต่อค่ะ เรื่องปากท้อง สำคัญค่ะ
เช่าค่ะ ใครไม่ได้เตรียมมา เลือกเลยค่ะ จะเตาถ่าน เตาแก๊สกระป๋อง
ตะแกรงปิ้ง หม้อหูเดียว กระบวย ที่คีบถ่าน กาต้มน้ำ ขนกลับเต้นท์ไปค่ะ



จะเช่าเตาถ่านเพื่อ??? เป่ากันหน้าดำหน้าแดง กว่าจะติด ผ่านไป 3 ชม.



ขอพูดเรื่องน้ำดื่มซักเล็กน้อย สำหรับใครที่ค่อนข้างซีเรียส
กลัวน้ำฝนที่ จนท. รองให้กินในแท้งค์น้ำจะไม่สะอาด
ขอให้เตรียมน้ำดื่มไปเองจะดีมากๆ เพราะน้ำในแท้งค์มันเหลืองมากๆ

ส่วนเรา ตอนแรกก็ว่าจะซีเรียสนะ แต่คือไม่ได้ซื้อขึ้นไปไงก็ต้องไปรองน้ำเหลืองๆนั้นละกิน
(นี่ขนาดกลับมาถึงบ้านเป็นอาทิตย์ละ ยังนั่งคิดนอนคิดตีลังกาคิดอยู่เลย
ว่ากินน้ำผิดแท้งค์รึป่าว  อาจจะมีแท้งค์น้ำสำหรับกิน แต่หาไม่เจอกันเอง งี้ 555)

มีความพัฒนา ไปตักน้ำในลำธารนั่นละ กิน เหลืองน้อยกว่าอี๊กกก

แต่ยิ่งอยู่นานวันไป ภูมิต้านทานมันกล้าแกร่งมากขึ้น เกิดการพัฒนาแบบก้าวกระโดด
เพียงแค่วันที่ 2 ของการขึ้นภูฯ สิ่งที่ทำคือ รองน้ำฝนกินเองจ้าา บ้าบอออออออ!!

ไม่ใช่ว่าถือขวดรอให้ฝนตกลงมาใส่นะ แต่...ถือขวดรองน้ำจากผ้าใบ (ผ้าฟางสีฟ้าๆ)
ที่เอามาขึงทำหลังคากันฝน (ก่อนหน้าที่จะเอามาขึงกันฝน มันเคยถูกปูพื้นเพื่อเป็นที่นั่งทานข้าวมาก่อน)

คือแบบ ต้อง strong !! ขนาดไหน อะไรคือถูกสุขลักษณะ  ณ ตอนนั้นอย่ามาถาม สะกดไม่ถูกจ้าา

ด้วยความที่เป็นคนชอบพกนู่นพกนี่ รื้อกระเป๋าเจอจับเลี้ยงที่เป็นซองๆผงๆสำหรับชงกับน้ำร้อน
เราก็เลยเอามาต้มใส่กาน้ำร้อนซะเลย น้ำก็ยังคงเหลืองอยู่นะ
เพียงแต่มันมีกลิ่นหอมๆหวานๆเพิ่มขึ้นมา (แก้ร้อนในกันไปอี๊กกก)

สำหรับเรามันดีกว่าการกินน้ำต้มกระด้างๆอยู่นะ ซึ่งถ้าเราจะต้องออกทริปประมาณนี้อีก
เราจะไม่ลืมเอาไปแน่นอน จะเอาชาจีนใบๆติดไปด้วย
จิบชาร้อน ท่ามกลางหมอกจางๆ ฟินนาเลเกิ้นนน

เรื่องปากท้องสำคัญค่ะ จะไม่ยอมให้เรื่องนี้ตกไปง่ายๆค่ะ

มีปัญหาตบตีกันมาตั้งแต่ก่อนออกเดินทางแล้วค่ะ ว่าเราจะเลือกทาน ข้าวสวย หรือ ข้าวเหนียว
ประเด็นคือ ไม่มีใครหุงข้าวแบบเช็ดน้ำเป็น ก็เลยตกลงปลงใจกันว่า งั้นนนน ข้าวเหนียว



กำตังค์จะไปถอยหวดกับหม้อนึ่งละ ทางบ้านบอกมาว่า 
เฮ้ยยย หุงข้าวสวยไม่ต้องเช็ดน้ำหรอก แค่ใส่น้ำให้เท่าประหนึ่งหุงแบบหม้อไฟฟ้าก็พอ

เท่านั้นล่ะ ทุกอย่างก็คลี่คลายไปในทางที่ดี 
พอหุงจริงก็ได้ตามที่ทางบ้านสั่งสอนกันมาเลยทีเดียวเชียว
ทานได้ ทานได้ดีด้วย ไม่แฉะเหมือนข้าวหมาล่ะ



ในส่วนของกับข้าวนั้น นี่พยายามเลือกกับข้าวแบบกันพลาด เผือหุงข้าวไม่สวย
กลายเป็นข้าวต้ม กับข้าวที่เตรียมกันมานั้น จะได้ยังพอไปกันได้

กับข้าวจะหน้าตาประมาณนี้ทุกมื้อ อาจมีเสริมบ้าง อย่าง ยำผักกาดดองกระป๋อง
ไข่ผัดหัวไชโป้ว หรือไม่ก็ปรับเป็น ยำไข่เค็ม ยำกุนเชียงกันไป 



ในส่วนของตำปูปลาร้าจานนี้นั้น ได้รับการอนุเคราะห์จากน้องลูกหาบคนนึง คือ ดีย์ (แซ่บพอๆกับหุ่นลูกหาบนั้นละ ฮึๆ)



ในส่วนของการอาบน้ำนั้น (พูดถึงท้ายสุด แปลว่าไม่สำคัญ 555)

บนยอดภูฯ มีห้องน้ำห้องอาบน้ำเป็นกิจลักษณะ แยกชายแยกหญฺิง
สำคัญคือในห้องน้ำ ไม่มีน้ำ สิ่งที่เราต้องทำคือเช่าค่ะ ขันน้ำ และ ถังน้ำ (แถวบ้านเรียกกระแป๋ง)

ที่แรก เราสามารถเอาถังน้ำไปจ้วงตักในลำธารหลังห้องน้ำได้เลย
(อยากเล่นน้ำในลำธารหรอ ได้สิ ซักประเดี๋ยว จนท.จะมาเก็บค่าลงเล่นน้ำคนละ 500 บาท)

ที่สอง เราสามารถเอาถังไปรองน้ำจากก๊อก ตามภาพ รอนานหน่อย บางทีคนเยอะ บางทีน้ำในถังหมด



พอค่ะ เราจะจบเรื่องการอาบน้ำไปเพียงเท่านี้ค่ะ

Day 2 : 30.07.59
_______________________________________________________________

อากาศกำลังดีค่ะ ไม่หนาว เย็นๆ กลางคืนก็ฝนตกทั้งคืน พกเสื้อแขนยาวติดไปบ้างก็ดี



ถ่ายรูปกับดอกหงอนนาคไปมากมายก่ายกอง 
สรุป ดอกท่านจะบานยามโดนแสงแดดค่ะ ตอนนี้ก็หุบกันไป



ไปต่อค่ะ วันนี้เราจะไปตามหาหลักกิโล ไทย - ลาว กันค่ะ



เราทิ้งเวลาไว้กับตรงนี้ยาวนานมากค่ะ เป็นครึ่งค่อนวัน ทำอะไรน่ะหรอคะ ?!



ตรงนี้มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือไงคะ 5555 ได้โอกาสโทรบอกพ่อบอกแม่ซักที
ว่าปลอดภัยเรียบร้อยดีมาก (มี AIS กับ TRUE นะ ส่วน DTAC ได้ข่าวว่า ตายยยย)



"เธอเห็นท้องฟ้านั้นไหม เห็นเงาของเมฆรึป่าวว" คลอเพลงเบาๆ 



เห็นยอดเขานั้นไหมคะ ตอนนี้เราเพียงรอให้ ปิ่นพระศิวะฉายแสง เมื่อถันพระอุมาปรากฏ 
เพียงเท่านั้น เราก็จะสามารถหาทางขึ้นไปยังเทือกเขาพระศิวะ ได้สำเร็จ (เพชรพระอุมาไปอี๊กกก)
   


เอาใหม่ ๆ ที่เห็นไกลๆ นั้น คือยอดเขาสูงสุดของภูสอยดาว ค่ะ 
เปิดให้พิชิตในช่วงฤดูหนาวเท่านั้น นาาา 

พอเสร็จจากตรงนี้ เราแพลนจะไป น้ำตกสายทิพย์ต่อค่ะ 
เค้าว่าอยู่ห่างจากลานสนประมาณ 1 กม. ใช้เวลาเดินไปกลับประมาณ 1- 2 ชม.
สรุปฝนตก เลยไม่ได้ไป จะทำอะไรได้ นอกจากนอนตายอยู่ในเต้นท์

Day 3 : 31.07.59
_______________________________________________________________

นี่จะกลับแล้วนะ ไม่กลับได้ไหม งอแง



ตื่นเช้ามาก็เก็บของค่ะ เครื่องนอนต่างๆ อุปกรณ์ทำครัว อุปกรณ์อาบน้ำ
ทุกสิ่งอย่าง ขนไปคืนที่เดิมทั้งหมดค่ะ
เก็บกระเป๋าใส่ถุงดำกันฝนให้เรียบร้อย เอาไปชั่งกิโล ฝากลูกหาบลงค่ะ
(ลูกหาบคนเดิมกับที่ขนของเราขึ้นมา ของใครของมันค่ะ )
รวมถึงขยะของเราทั้งหมดด้วยนะคะ เอาขึ้นมาเท่าไร เอาลงไปให้หมด



ทานอาหารรองท้องไปนิดหน่อย อย่าลืมเตรียมไปทานระหว่างทางด้วยนะคะ
เช้าวันนี้เดินลง เวลาประมาณ 9.30 น ต้องทำเวลาหน่อยค่ะ เพราะนัดพี่แท็กไว้ บ่าย 3

โน๊ตไว้เลยค่ะ * นัดแนะเวลากับรถที่เหมามาให้เรียบร้อยค่ะ ว่าเราจะลงมาถึงตีนภูฯ 
แบบพร้อมที่จะออกเดินทางกลับกี่โมง ข้างบนสัญญาณโทรศัพท์แทบไม่มี



"ไม่เอาสิแอม ตรงนี้เล่นน้ำไม่ได้นะ"  555



ฝนตกปรอยๆ ระหว่างทาง เสื้อกันฝนนี่ ใส่ๆ ถอดๆ ถอดๆ ใส่ๆ ใส่ๆ ถอดๆ



สามเฒ่าผู้ยิ่งใหญ่ของภูสอยดาว ต้นใหญ่มว้ากกก



เราว่าป้ายสีเงิน เป็นอะไรที่อ่านข้อมูลบนป้ายยากมากๆเลยนะ สังเกตมาหลายป้ายละ นี่พูดลอยๆ



สรุป เราลงมาถึงตีนภูฯ ประมาณบ่ายโมงตรง ทำเวลาดีมากก 3 ชม.ครึ่งเอง
จะมีรถอีแต๊กมารอรับ เพื่อไปส่งยังจุดที่เราเรียกว่า ที่ทำการอุทยานจุดที่ 4 (จุดที่ลูกหาบเอาของมากองๆ)

จ่ายตังค์กับ จนท. จ่ายทุกอย่าง ทั้งค่าฝากของลูกหาบขาลง ค่าเช่าอุปกรณ์ทำครัว ค่าเช่าอุปกรณ์อาบน้ำ
และอย่าลืมเอาค่ามัดจำขยะ 200 บาท ที่จ่ายไปตอนแรกคืนด้วยนาา จากนั้นก็รับกระเป๋า



รื้อกระเป๋า แล้วอาบน้ำได้เลยค่ะ มีห้องน้ำไว้บริการ ข้างๆอาคารเลย



พออาบน้ำเสร็จ ทานข้าวต่อเลยจ้าาา ร้านอยู่ข้างๆกันนั้นล่ะ ร้านข้าวติดน้ำตก ราคาอาหารปกติค่ะ

อาบน้ำแล้ว ทานข้าวเเล้ว ไปค่ะ กลับบ้านเราค่ะ
ออกเดินทางจากอุทยานฯ ประมาณ บ่าย 2 ครึ่ง ไปถึง ขนส่งแห่งที่ 2 ประมาณ 5 โมงเย็น

เช็ครอบรถทัวร์ มีของพิษณุโลกยานยนต์รอบ 5 โมงครึ่ง ถามว่าไปไหม ตอบ ไม่ไปค่ะ 
รอไปของ บขส.99 รอบ 2 ทุ่มครึ่งนุ่นนน เพื่อ???  ไม่รีบกลับบ้านกันรึคะ



รอตั้งหลาย ชม. ทำอะไรดี กินสิคะ รออะไร ทริปนี้คือทริปกิน ไม่รู้หรอ!!



กินวนไปค่ะ



ปิดท้าย ภูสอยดาวไปด้วย ภาพนี้นาาาา แสงสวยไปอี๊กกก
Credit. ยืมภาพนุ้งแอมมา



พบกันใหม่ กับรีวิวหน้า จะไปไหนดีนาาา
(ถามเป๋าตังค์ เป๋าตังค์บอก นี่ยังคิดจะไปไหนกันอีกหรอ!!)



ปล. ไม่ฝากเพจ ฝากเฟซอะไรทั้งนั้น เป็นคนโลกส่วนตัวสูง ขอบคุณข่ะ !!!

สรุปค่าใช้จ่ายก่อน เดี๋ยวลืม
1) ค่าแท็กซี่ จากบ้านไปหมอชิต2  160/4 = 40 บาท/คน (อีก 2 คนมาจาก ตจว.)
2) ค่าของกินกองกลาง 1,200/6 = 200 บาท/คน
3) ค่ารถทัวร์ ขาไป 204 บาท/คน
4) ค่าอาหารมื้ออื่นๆ ที่นอกเหนือจากกองกลาง 5 มื้อ 250 บาท/คน
5) ค่าเหมารถแท็กซี่ จาก บขส-ภูสอยดาว(ไป-กลับ) 4,000/6 = 667 บาท/คน
6) ค่าเข้าอุทยานฯ 40 บาท/คน
7) ค่าสัมภาระ ขาขึ้น ทั้งหมด 46 กก. (กก. ละ 30 บาท) 46x30 = 1,380/6 = 230 บาท/คน
8) ค่าแท๊กสัมภาระ ขาขึ้น 7 ชิ้น x 5 บาท = 35/6 = 6 บาท/คน
9) ค่าเต้นท์ 3 หลัง 2 คืน (รวมเครื่องนอน) 3,900/6 = 650 บาท/คน
10) ค่ามัดจำขยะ 200 บาท (ได้คืน งั้นไม่เอามาคิด)
11) ค่าสัมภาระ ขาลง ทั้งหมด 41 กก. (กก. ละ 30 บาท) 41x30 = 1,230/6 = 205 บาท/คน
12) ค่าแท๊กสัมภาระ ขาลง 7 ชิ้น x 5 บาท = 35/6 = 6 บาท/คน
13) ค่าอุปกรณ์ทำอาหาร และ อุปกรณ์ในการอาบน้ำ (2 วัน) 610/6 = 102 บาท/คน
               เตาถ่าน 2 เตา 200 บาท
               ถ่าน 3 ถุง 150 บาท
               หม้อหูเดียว 2 ใบ 80 บาท
               กาต้มน้ำ 1 ใบ 60 บาท
               คีมคีบถ่าน 1 อัน 20 บาท
               ถังน้ำ 3 ใบ 60 บาท
               ขัน 4 ใบ 40 บาท
14) ค่ารถทัวร์ ขากลับ 213 บาท/คน
15) ค่าแท็กซี่ จากฟิวเจอร์พาร์ครังสิตไปบ้าน 180/3 = 60 บาท/คน (คันละ 3 คน 2 คัน)

รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด ประมาณ 2,873 บาท/คน  *อัพเดทเพิ่ม ดันลืมค่ารถทัวร์ขากลับ

ที่มา Pantip