รีวิว อัมพวา : กิน-เที่ยว-ไหว้ @เรือนแพอัมพวา + เจษฎาเทคนิคมิวเซี่ยม


กลับมาอีกครั้งนะครับ สำหรับรีวิวของผม Pure Traveler ซึ่งในครั้งเป็นการเที่ยวรอบๆกรุงเทพ จริงๆแล้ว จขกท. จะไปรีวิวที่นครนายก แต่ติดอะไรบางอย่างจึงไม่สามารถเดินทางไปทำรีวิวได้ ครั้งนี้ผมกะแฟนจึงที่จะไป ตลาดน้ำอัมพวา จ.สมุทรสงคราม ใกล้ๆกรุงเทพของเราครับ

เพี้ยนแว๊น


สำหรับรีวิวที่เคยทำมานะครับ ครั้งนี้เป็นครั้งที่สามแล้ว เน้นไปทางข้อมูลแบบเต็มเปี่ยม ภาพอาจจะสวยไม่มากก็ขออภัยนะครับ

รีวิวนั่งรถไฟสายน้ำตก(ไทรโยคน้อย-ใหญ่)นอนแพปฐมพร 1 คืน งบเพียง 1400 http://pantip.com/topic/34210174
เชี่ยวหลาน : โดดเดี่ยวแต่ไม่เดียวดาย By รถไฟไทย http://pantip.com/topic/34827324/comment11


เพี้ยนเงือก

บางคนอาจจะคิดว่าอัมพวา ก็คือตลาดน้ำเหมือนกับตลาดน้ำที่มีทั่วไปในหลายๆจังหวัด แต่ถ้าคุณได้ไปสัมผัส คุณจะพบว่าวิถีชีวิตของคนกับสายน้ำ ซึ่งก็คือแม่น้ำแม่กลองและคลองต่างๆนี้ ของพวกเขาเป็นอย่างไร แต่ก็นั่นแหละจุดประสงค์ของ จขกท.ก็คือ อยากให้คุณได้ไปสัมผัสเองแล้วกันครับ

ทีนี้ผมก็จะมาแนะนำที่พักของกระผม ที่อัมพวากันครับ


ชื่อที่พัก : เรือนแพอัมพวา
ที่ตั้ง : ตลาดน้ำน้ำอัมพวา (กลางตลาดเลยครับ)
ห้องพัก : ห้องพักสำหรับสองคน มีระเบียงชมตลาดน้ำ แอร์ ทีวี   ราคา 1200 บาทต่อคืน ***แนะนำเลยขอรับ
             ห้องพักสำหรับสองคน ไม่มีระเบียง แอร์ ทีวี  ราคา 1000 บาทต่อคืน
             ทั้งหมดเป็นห้องน้ำรวม ชั้นบน 1 ห้อง ด้านล่าง 4 ห้อง มีเครื่องทำน้ำอุ่น ที่สำคัญคือสะอาดครับ
อาหาร : อาหารเช้าฟรี (ชา กาแฟ โอวันติน ปาท่องโก๋)
ที่จอดรถ : มีที่จอดรถสำหรับลูกค้าหลังที่พัก ได้ประมาณ 3-4 คัน เมื่อลูกค้าเข้าพักแล้ว ก็จะปิดประตูล้อคทันที
              "หมดปัญหาเรื่องที่จอดไปเลยครับ"
ติดต่อ : Facebook = เรือนแพอัมพวา homestay & ร้านอัมพวาฮาเฮ
           โทร  098-2479998
                  086-7987553  


นี่ครับ ที่พักของเรา"เรือนแพอัมพวา" อยู่กลางตลาดเลยครับ เดินทางสะดวกหาของกินง่าย ภาพถ่ายจากอีกฝั่งครับ


ทางเข้าของที่พักครับ จะเป็นบันไดไม้แบบบ้านโบราณครับ เรือนแพอัมพวาจะออกเป็นแนวโฮมสเตย์ครับ ซึ่งด้านล่างของที่พักเราก็จะเป็นร้านค้าครับ เจ้าของเดียวกับรีสอร์ทนี่แหละครับ ข้อดีก็คือ ถ้าหิวน้ำหรือจะซื้อของใช้ก็ลงมาซื้อข้างล่างเลย และสามารถฝากแช่ตู้เย็นได้ เพราะห้องพักไม่มีตู้เย็นครับ


นี่ก็เป็นทางเดินภายในที่พักครับ ในส่วนนี้ก็จะมีห้องพักแบบไม่มีระเบียงส่วนตัวสามห้องครับ สุดปลายทางก็จะเป็นห้องน้ำ และทางลงไปข้างล่างซึ่งก็จะมีห้องน้ำอีก


เดินมาตามชานระเบียงก็จะพบบันไดทางด้านหลัง ลงไปก็จะมีห้องน้ำอีกสามห้อง และเหมือนจะมีห้องพักด้านล่างอีกครับ


ห้องน้ำชั้นบนจะมีเพียงหนึ่งห้องครับ มีเครื่องทำน้ำอุ่น ถ้าใครไม่อยากรอ ข้างล่างก็มีอีกสามห้อง เพียงพอต่อการใช้งานครับ


ดูห้องน้ำกันไปแล้ว ทีนี้เดินย้อนกลับมาทางชานระเบียง ทางเดิมที่เดินมาครับ แล้วสมมติว่าเพิ่งขึ้นบันไดจากหน้าที่พัก ห้องของผมซึ่งก็คือก้องแบบมีระเบียง มีสองห้อง ก็จะเดินเลี้ยวขวาครับ ห้องผมคือห้องสุดทางเดินขวาครับผม ไปเข้าห้องกันดีกว่า


เข้าห้องมาแล้วครับ เป็นเตียงเดี่ยว นอนได้สองคนครับ เครื่องนอนถึงจะดูไม่ใหม่มาก แต่สะอาดครับ มีผ้าเช็ดตัวผืนเล็กๆให้สองผืนครับ แอร์เป็นดีครับห้องนี้ นอนให้สบายกันไปเลย


หันกลับมาอีกด้านก็จะเป็นทีวีครับ เป็นระบบดาวเทียมกล่องดำครับ และรหัสWIFI ก็จะอยู่ที่บริเวณทีวีครับ ใช้ได้ฟรี มีรองเท้าแตะสำหรับใช้เดินภายในที่พัก เพราะเราต้องถอดรองเท้าตั้งแต่บันไดแล้ว ห้องนี้เป็นห้องที่มีระเบียงส่วนตัวที่สามารถชมบรรยากาศภายนอกได้ครับ


เปิดประตูออกไประเบียง แล้วมองไปทางซ้าย อยากจะบอกว่ากลางคืนสวยมาก เพราะตอนนี้ตลาดยังไม่เริ่มการค้าขาย ช่วงเย็นๆคือเรือแม่ค้า เรือท่องเที่ยวเต็มคลองเลยครับ และแสงไปของตลาด ทำให้สวยงามขึ้น เหมาะแก่การนั่งดริ้งเบาๆครับ


มองไปทางขวา ตึกไม้สีเขียวๆนี่ก็คือ ริมระเบียงอัมพวา ที่พักที่โด่งดังในโลกโซเชียลครับ แต่ผมสู้ราคาไม่ไหว 555 ส่วนสะพานที่เห็นก็คือ ถนนที่เรามาจากกทม. ราชบุรี หรือตัวเมืองแม่กลองครับ

ที่นี้ได้ที่พักกันแล้ว จะไปให้ถึงอัมพวา ทำไงหล่ะ
อัศวินขี่ม้าขาว


ผมแบ่งการเดินทางไปยังตลาดน้ำอัมพวา อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ได้สามวิธีครับ
1.ขับรถยนต์ไปเอง
         - เส้นทางยอดนิยมและใช้เวลาน้อยที่สุดครับ สมมติว่าใช้ทางด่วนนะครับ - ลงทางด่วนดาวคะนอง - ถนนพระราม2(ธนบุรี-ปากท่อ) - สมุทรสาคร - สมุทรสงคราม(ตลาดแม่กลอง ตัวเมืองแม่กลอง) - ถนนบางแพ-สมุทรสงคราม - เลี้ยวซ้ายเข้าสู่อัมพวา
         - อีกหนึ่งเส้นทาง สมมติว่าเริ่มจากปิ่นเกล้านะครับ - ถ.บรมราชชนนี - นครปฐม -บ้านโป่ง(บายพาส) - เลี้ยวซ้ายที่แยกบางแพ - ดำเนินสะดวก - เลี้ยวขวาสูjอัมพวา

2.รถตู้โดยสาร ราคาไม่เกิน 100 บาท ใช้เวลา 1-1.30 ชม.
          - รถตู้จากเซ็นทรัลปิ่นเกล้า
          - รถตู้จากสถานีขนส่งสายใต้ใหม่ (ย้ายมาจากอนุเสาวรีย์ชัยฯ)

3.รถไฟสายแม่กลอง
          เริ่มต้นจากกทม. รถไฟสายนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองช่วงคือ ช่วงสถานีวงเวียนใหญ่-มหาชัย และช่วงสถานีบ้านแหลม-แม่กลอง และทั้งสองเส้นทางไม่ได้เชือมต่อกับเส้นทางรถไฟสายหลัก
          ดังนั้น เราจึงเริ่มต้นขึ้นรถไฟซึ่งเป็นรถไฟฟรีที่สถานีวงเวียนใหญ่ มาลงที่สถานีมหาชัย ในตัวเมืองสมุทรสาคร ต่อจากนั้น ลงเรือข้ามฝากแม่น้ำท่าจีน ขึ้นอีกฝั่งที่ท่าฉลอม เพื่อมาขึ้นรถไฟที่สถานีบ้านแหลม นั่งไปยังสถานีแม่กลองซึ่งมีตลาดร่มหุบนั่นเอง

เอาหล่ะ เดินทางถึงแล้วครับ เกือบๆเที่ยงตรงพอดี ณ เวลานั้นพ่อค้าแม่ค้าก็จะเริ่มพายเรือจากพบ้านของตน มาจับจองพื้นที่โดยการผูกเรือไปตามท่า ของที่ขาย เช่น ก๋วยเตี๋ยวเรือครับ ราคาถูกมา ชามละ 20-25 บาทเองครับ

เนื่องจากผมไม่มีความรู้ด้านการถ่ายรูปสักเท่าไรนะครับ รูปอาจจะขัดใจ แต่ถึงยังแนะนำให้ไปที่นี่ ไปถ่ายรูปกับตลาดน้ำสวยๆ ผู้คนน่ารักกันแล้วกันครับ

ป้ายประเพณี บนสะพานไม้ข้ามคลองครับ


บรรยากาศตลาดน้ำช่วงกลางวันครับ อาจจะยังไม่คึกคักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่แล้วคนที่มาเที่ยวอัมพวา ก็จะจัดเป็นทริปราชบุรี-สมุทรสงครามกันเลยครับ ก็คือขับรถออกมาจาก กทม.เช้ามืด มาถึงตลาดน้ำดำเนินสะดวกสักเจ็ดโมงเช้า เพราะตลาดน้ำดำเนินเป็นตลาดเช้า สิบโมงก็จะเริ่มวายแล้ว ต่อจากนั้นก็ขับรถมาที่อัมพวาก็ช่วงเที่ยงๆครับ เพราะอัมพวาเป็นตลาดช่วงบ่าย-เย็นครับ

ช่วงเที่ยง-บ่าย กิจกรรมที่ตลาดน้ำยังไม่ค่อยมีครับ แต่จะเป็นการนำชมวัดทางเรือกันครับ ซึ่งคิดค่าบริการในการพาไปไหว้พระทางน้ำจำนวน 5 วัด คนละ 50 บาทครับ เรือลำหนึ่งก็จุคนได้ 10 คน ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครับ แต่ละวัดก็ประมาณ 20 นาที แล้วแต่ว่าคนขับเรือจะนัดเวลาครับ

เม่าออกรถ
เมื่อครบแล้ว กัปตันเรือก็ไม่รีรอ นำพาเรือออกมาจากตลาดอัมพวาครับ คลองอัมพวาเป็นคลองหนึ่งในหลากหลายคลองที่เป็นสาขาของแม่น้ำแม่กลองครับ ถ้าใครเคยมาละแวกจังหวัดราชบุรีก็จะรู้ว่า คลองเล็กคลองน้อยมากมายครับ คลองเหล่านั้นก็คือสาขาของแม่น้ำแม่กลอง ที่ช่วยหล่อเลี้ยงชาวบ้านในระแวกนี้ครับ




ตั้งแต่นั่งเรือมา เท่าที่สังเกตมา จำนวนวัดในละแวกนี้ มีเยอะมากเลยครับ วัดแต่ละวัดห่างกันไม่ถึง 300 เมตร ก็จะพบหนึ่งวัด แม่ของผมเคยเล่าให้ฟังว่า ชุมชนไหนมีวัดเยอะ แสดงว่าชุมชนนั้น ชาวบ้านมีฐานะครับ ผมเห็นว่าอย่างนั้นเช่นกัน

เพี้ยนเงือก
แล้วกัปตันก็นำพาเรือของเรามายังวัดแรกครับ ชื่อว่าวัดท้องคุ้ง อาจจะเป็นเพราะว่าวัดตั้งอยู่บริเวณโค้งแม่น้ำแม่กลองครับ


วัดแต่ละวัดที่เรือได้พาเรือไปไหว้สักการะ บางวัดก็เป็นวัดธรรมดาทั่วไปครับ แต่ผมว่าเป็นการกระจายรายได้ให้แก่วัดในท้องถิ่นนะครับ ถือเป็นตัวอย่างให้กับท้องถิ่นอื่นๆครับ

พระประธานของวัดท้องคุ้งครับ เราก็มาอุดหนุนดอกไม้ธูปเทียนดอกไม้ ไปกราบไว้พระธานครับ เป็นการทำนุบำรุงวัดอีกทางครับ บริเวณวัดก็จะมีพ่อค้าแม่ค้า ของที่ขายก็จะเป็นพวกเครื่องดื่ม ลูกชิ้น ไอศกรีม ช่วยคลายเหนื่อยคลายร้อนได้ด้วย ที่สำคัญสำหรับเด็กรุ่นใหม่บางคนอาจจะไม่เคยกิน "ไอติมเขย่าหวานเย็น" นะครับ ที่น้ำน้ำหวานมาใส่หลอดแล้วก็นำมาแช่เย็นในถังที่จะต้องเขย่า(หมุนซ้าย-ขวา) ทำให้ผมคิดถึงวัยเด็กเลยครับเพี้ยนกิน 

บรรยากาศท่าเรือหน้าวัดครับ

ออกจากวัดท้องคุ้ง กัปตันของเราก็ขับเรือเข้ามายังคลองบางแคครับ สงสัยบ้านนี้จะทำว่าวนะครับ เต็มบ้านเลย

และแล้วเราก็มาถึง วัดบางแคกลางครับ เข้าไปสักการะกันดีกว่า

ออกจากวัดบางแคกลาง ก็ไปต่อกันที่วัดบางแคใหญ่นะครับ แต่ผมไม่ได้ถ่ายรูปมาเพราะปล่อยปลาปล่อยกบเพลิน แล้วอีกวัดหนึ่งจำชื่อไม่ได้ครับ แต่ถ่ายแต่ท่าน้ำมา 555

ยิ้มยิ้มเอาหล่ะนั่งเรือมาวัดสุดท้ายแระครับ "วัดบางกุ้ง" ถ้าเห็นเครื่องบินลำนี้แสดงว่าถึงท่าน้ำวัดบางกุ้งแล้วครับ

เครื่องบินลำนี้เป็นเครื่องบินโจมตีของกองทัพอากาศครับ มีชื่อรุ่นว่า A-37B Dragonfly ครับ มีประวัติการรบทั้งสงครามเวียดนามและการปราบปรามคอมมิวนิสต์อย่างโชกโชน โดย A-37 ก่อนปลดประจำการได้ประจำการอยู่ที่กองบิน 21 อุบลราชธานีครับ


เยี่ยมซุ้มวัดบางกุ้ง บริเวณท่าน้ำครับเยี่ยม

เข้ามาในวัดส่วนนี้ก็จะเป็นลานแสดงเครื่องบินและสวนสัตว์ครับ
เครื่องบินเรียงจากซ้ายไปขวานะครับ
1.เครื่องบินฝึกแบบจันทรา (ทอ.สร้างใช้เอง และปลดประจำการแล้ว)
2.เครื่องบินฝึกแฟนเทรนเนอร์ (ทอ.ซื้อลิขสิทธิ์จากเยอรมันมาผลิตเองครับ ปัจจุบันปลดประจำการแล้ว)
3.เครื่องตรวจการณ์แบบ O-1 Birddog


สห.เต็มเลย ระวังนะครับ


ดอกไม้ประหลาดใจสำหรับประวัติของวัดบางกุ้งครับ
         วัดบางกุ้ง เป็นค่ายทหารเรือไทยที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ยกกองทัพเรือมาตั้งค่าย ที่ค่ายบางกุ้ง เรียกว่า "ค่ายบางกุง้" โดยสร้างกำแพงล้อมวัดบางกุ้งให้อยู่กลางค่าย เพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ และเป็นที่เคารพบูชา ของทหาร ภายหลังเสียกรุงครั้งที่ 2 ค่ายบางกุ้งก็ร้างไปจนกระทั่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสิน มหาราชทรงสถาปนากรุงธนบุรี เป็นราชธานีจึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้ชาวจีนจาก ระยอง ชลบุรี ราชบุรี และกาญจนบุรีรวบ รวมผู้คนมาตั้งกองทหารรักษาค่ายจึงมีชื่อเรียก อีกหนึ่งว่า "ค่ายจีนบางกุ้ง"  ในปี พ.ศ. 2311 พระเจ้ากรุงอังวะทรงยกทัพผ่านกาญจนบุรีมาล้อมค่ายจีนบางกุ้ง สมเด็จพระเจ้าตากสิน มหาราช ทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระมหามนตรี (บุญมา) เป็นแม่ทัพยกไปช่วยเหลือทหารจีนขับไล่กองทัพ พม่าทำให้ข้าศึกแตกพ่าย หลังจากนั้นค่ายบางกุ้งแห่งนี้ก็ถูกปล่อยให้รกร้างเกือบ 200 ปี จนมาถึง พ.ศ.2510 กระทรวงศึกษาธิการ จึงได้ตั้งเป็นค่ายลูกเสือขึ้น (ปัจจุบันได้ยกเลิกไปแล้ว) และได้สร้างศาลพระเจ้าตากสินไว้เป็นอนุสรณ์

พระบรมราชานุเสาวรีย์พระเจ้าตากสินมหาราช


นี่ครับ Unseen Thailand "โบสถ์ปรกโพธิ์วัดบางกุ้งครับ" ซึ่งสร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยาครับ




บริเวณสวนสัตว์ครับ



ดูดีดีครับ มันแอบนอนอยู่ในน้ำ ^^

กลับตลาดอัมพวากันดีครับ เริ่มง่วงเพลียกันแล้ว แหะๆ


นักท่องเที่ยวเริ่มมากันหนาตาแล้วครับ



มาดับกระหายกัยดีกว่ากับร้านนี้ครับ "สมานการค้า" เป็นร้านกาแฟโบราณและเบเกอรี่ครับ

ตกเย็นแล้วครับ ไม่ต้องกลัวว่ามาที่นี่แล้วจะท้องว่างครับ
ผมก็เลยลงไปนั่งข้างๆคลองกับแฟนครับ สั่งหมึกย่าง กุ้งย่าง ผัดไทยกุ้งสด ของดีมีคุณภาพในราคาถูกครับ



นี่ครับที่พักของเรา ตึกสีครีมทางขวา ส่วนตึกสีเขียวเป็นริมระเบียงอัมพวาครับ


วัวโกลเด้นรีทรีฟเวอร์บรรยากาศตลาดอัมพวาครับ


เพี้ยนลุยส่วนกิจกรรมภาคค่ำก็จะเป็นกิจกรรมการล่องเรือชมหิ่งห้อย ที่นี่เป็นหิ่งห้อยจริงๆนะครับ และยังมีมากด้วย ซึ่งหิ่งห้อยก็ชอบอาศัยอยู่บนต้นลำภูครับ และต้นลำภูก็ชอบขึ้นอยู่ตามริมน้ำที่เป็นน้ำกร่อยหรือตามป่าชายเลนครับ

เพี้ยนออกทริปสำหรับใครที่ชอบการดื่ม ที่นี่ก็มีบาร์เปิดอยู่บ้างครับ แต่เหมือนที่นี่จะมีกฎนะครับ คือเมื่อถึงเวลาเที่ยงคืน ทุกอย่างก็จะเงียบสงบ ถือเป็นการจะการที่ดีครับ เพราะเราต้องไม่ลืมวิถีชีวิตของคนอัมพวาที่เป็นอยู่แบบเรียบง่ายตามแบบฉบับวัฒนธรรมไทยครับ ที่สำคัญไม่รบกวนนักท่องเที่ยวที่กำลังพักผ่อนครับ

ตื่นเช้าจากอัมพวามาก็เก้าโมงแล้วครับ เปิดประตูขับรถ ร่ำลาอัมพวาที่ได้ให้ที่กิน ที่หลับที่นอน ที่ทำบุญกันครับ มุ่งหน้าสู่ "เจษฎาเทคนิคมิวเซี่ยม" อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม กันครับ
สำหรับผมใช้เส้นทาง อ.อัมพวา-ดำเนินสะดวก-บ้านโป่ง-นครปฐม-อ.นครชัยศรี ระยะทางประมาณ 70 กม.ครับ


ลอนดอนบัส จอดต้อนรับอยู่ข้างหน้าครับ


รภจิ๊บนี่ จากถิ่นปินอย ฟิลิปปินส์ครับ


จักรยานคันนี้ ขับได้หกคนนะครับ


บรรยากาศรวมๆครับ






เพี้ยนออกทริปเครื่องบินที่นี่ก็มีนะครับ แต่อาจจะต้องขับรถไปอีกสัก 200 เมตรครับ

เครื่องบินแบบ YS-11 ผลิตโดยประเทศญี่ปุ่นครับ 
ก่อนที่จะมาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์นี้ เดิมเป็นของสายการบินแอร์ฟีนิกส์ สายการบินเล็กๆของคนไทยครับ สภาพของเครื่องยังคงเดิมๆครับ


ต่อมาคือเครื่องบินของกองทัพอากาศกันบ้าง

เครื่องบินลำเลียงแบบ G-222 ผลิตโดยประเทศอิตาลีครับ





เคยเห็นกันไหมครับ รถเมล์ของ รสพ. ผมคนหนึ่งที่เกิดไม่ทัน 555

สรุปค่าใช้จ่ายนะครับ
1.ค่าเดินทาง
   - รถส่วนตัว ค่าน้ำมันประมาณ 500 บาท (สมมติออกค่าน้ำมันคนเดียว)
   - รถตู้ ไป-กลับ คนละประมาณ 200 บาท ไม่รวมการต่อรถอื่นๆ
2.ค่าที่พัก ห้องพักแบบมีระเบียงชมวิว ห้องละ 1200 บาท หารเหลือคนละ 600 บาท
3.ค่าเรือไว้พระ 5 วัด 50 บาท/คน
4.ค่าเรือชมหิ้งห้อย 60 บาท/คน
5.อื่นๆ เช่น ค่ากิน ค่าของฝาก ตามสะดวกครับ
***ที่ต้องจ่ายแน่ๆคือ 
    - ขับรถไปเอง 500 + 600 + 50 + 60 = 1210 บาท (สมมติออกค่าน้ำมันคนเดียว)
    - รถตู้ 200 + 600 + 50 + 60 = 910 บาท
ยิ้มเท่ค่าใช้จ่ายไม่แพงมากครับ เหมาะกับทุกวัยครับ
เพี้ยนฝันดีมาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว จชกท.ก็ต้องขอขอบคุณทุกๆท่านที่ติดตาม ถึงแม้การลงข้อมูลรีวิวจะช้าไปบ้าง ก็ต้องขอโทษด้วยครับ เพราะภารกิจเยอะจริงๆครับ รีวิวต่อไปยังคิดอยู่ว่าจะไปเชียงใหม่หรือเกาะพยามที่ระนองดีครับ แต่ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะครับ /// เยี่ยมยิ้มPURE TRAVELER ยิ้มเยี่ยม

ที่มา Pantip