รีวิว HUG JUNG ณ เกาะสีชัง



การเดินทางแสนวิเศษที่คลุกเคล้าไปด้วยมิตรภาพและความจริงใจของกลุ่มเพื่อนที่มีต่อกันแต่ทว่าทริปนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย
หากปราศจากวิชา GEN441 วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว ที่ถือว่าเป็นจุดกำเนิดของเรื่องราวดีๆในครั้งนี้เลยก็ว่าได้

ฟินฟินฟิน


ก่อนอื่นก็ต้องขอกราบสวัสดีมิตรรักแฟนแพลงทุกๆท่านที่เคารพรักทั้งหลาย เอ้ยยยยยยย!!!!!!!! ไม่ใช่แว้ววว.....เอาใหม่นะๆๆ ตั้งสติแพร๊บบบ

สวัสดีพี่น้องชาวพันทิปทุกท่านนะคะ ขอแนะนำตัวกันหน่อยเนอะใครๆต่างก็เรียกเราว่า “แก๊งนางฟ้า” 55555+++ พวกเราเป็นนักศึกษา ม.ดังย่านฝั่งธนนะคะ เดากันไม่ออกเลยใช่ม้า อย่างแรกเลยนะคะมองหารอบตัวคุณค่ะ จอบ เสียม มีด พร้า มีไหมคะ? หยิบมาเลยค่ะ หยิบมา!! เพราะเราจะพาคุณไป...ป...ถางป่าบนเกาะสีชัง ชัง ชัง ชัง ชัง ชัง ชัง (เสียงแอ๊คโค่ต้องมโนตามนะคะ อิอิ)

ล้อเล่นค้า ก็คงไม่ต้องถึงขนาดนั้นเนาะ เราจะมาแนะนำการเดินทางท่องเที่ยวไปเกาะสีชังด้วยงบไม่เกิน 1200 บาท น้อยจนไม่อยากจะเชื่อเลยใช่ไหมคะ นั่นแหละค่ะ เงินเพียงเท่านี้กับการไปเที่ยวต่างจังหวัดที่แสนคุ้มค่า ที่ได้เที่ยว ชม ชิลล์ๆ และเน้นกินนนนนน (ขาดไม่ได้เด็ดขาด) กันอย่างครบถ้วน ซึ่งสาเหตุที่เราเลือกเกาะสีชังแห่งนี้ก็เพราะเราค้นหาข้อมูลแล้วพบว่าเป็นสถานตากอากาศที่มีชื่อเสียงมานานนับร้อยปี มีธรรมชาติความงดงามแตกต่างไปจากสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ มีบรรยากาศที่สงบเงียบ อากาศบริสุทธิ์ มีสถานที่ ท่องเที่ยวอันงดงาม

และเป็นเกาะที่น่าท่องเที่ยวในบรรยากาศแบบท้องถิ่นซึ่งสามารถแวะเที่ยวในวันเดียวหรือพักค้างคืนก็ได้ เกาะสีชังเป็นท้องที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์เพราะเป็น สถานที่ประทับ ของพระเจ้า แผ่นดินถึง 3 พระองค์ พวกเราเองก็เลยอยากไปพิสูจน์ความงดงามของที่นี่กันสักหน่อย ได้ยินแบบนี้แล้วอยากไปกันเลยใช่ม้า งั้นเราทุกคนเตรียมอุปกรณ์พร้อมกันแล้วใช้ไหมคะ ดังนั้นเราเริ่มเดินทางกันเล้ยยยย

**************************************


วันที่ 5 เมษายน 2559 เวลา 6.50 น. ณ สถานีรถไฟหัวลำโพง


เย้ๆๆๆ ถึงสถานีรถไฟแล้วโว๊ยยย!!!




นานาเยี่ยมตั๋วฟรี ตั๋วฟรีๆๆๆ

อาหารมื้อแรกหลังจากฝ่าฟันรถติด ในกรุงเทพมหานคร อมรรัตรโกสินทร์ มหินทรายุธยา....
ด้วยคอนเซ็ปของเราวันนี้ก็คือ เที่ยวอย่างไรให้เงินหมดน้อยที่สุด (เพื่อให้กลับไปจะได้ไม่ต้องกินมาม่า 555) จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าเราจะนั่งรถไฟฟรีไปกันก่อนนั่นเอง นานๆทีจะได้ชื่นชมบรรยากาศอันแสนสโลไลฟ์เช่นนี้ช่างสุขใจเสียจริงเชียว การนั่งรถไฟที่แสนวิเศษที่ความเร็วรถรวดเร็วปานจรวดพุ่งแบบเครื่องขัดข้องกันเลยทีเดียว แถมยังมีห้องน้ำราวกับโรงแรมหรูสิบดาวที่ร้างมานับสิบปีให้บริการ รู้สึกดีที่ตัดสินใจมานั่งรถไฟแสนน่าประทับใจขนาดนี้ โดยไม่ได้เรื่องเงินเลยสักนิดเดียวจริงจรี๊ง(โปรดกลับไปอ่านบรรทัดแรกใหม่อีกครั้งหนึ่ง)

ห้องน้ำที่ห้ามเข้า เมื่อรถไฟหยุด555++

เมื่อมาถึงกันพร้อมเสร็จสรรพ เราก็ขึ้นไปหาที่นั่งกันรอเวลารถไฟออกจากชาน ชาลาลาลาล่า ชาลาลา อิน เดอะมอร์นิ่ง (วิญญาณปุ๊กกี้เข้าสิงทันใด หลงประเด็นอีกแล้ว) กลับมาที่รถไฟกันต่อและแล้วเสียงที่เรารอคอยก็ดังขึ้น แก๊งๆๆ ปู๊นปู๊นฉึกฉักฉึกฉัก เวลาประมาณ 7.10 น. รถไฟก็ออกวิ่งค่ะ กำลังจะไปหานะ เกาะสีชังจ๋า

เพี้ยนลุยเพี้ยนลุยเพี้ยนลุย













มาถึงกันแล้ว สถานีเขาพระบาทนั่นเอง ทันทีที่ก้าวขาลงจากรถไฟก็มีสายลมและแสงแดดเข้ามาปะทะบนใบหน้าให้ความรู้สึกที่เกินจะอธิบายเป็นคำพูดได้ เพราะมันช่าง ช่าง ช่าง ร้อนมากกกกกกก ก.ไก่ ล้านตัวนั่นแหละค่ะ ทั่นผู้โช้มมมมม นอกจากนั้นบรรยากาศโดยรอบยังเต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมากให้เราได้ถามไถ่ตามรูปเลยค่ะ เต็มไปด้วยความอบอุ่นของผืนหญ้าและป่าเขาลำเนาไพร จอม เสียมแทบจะพร้อมใช้งานได้ทันทีเลยค่ะ



จากนั้นก็เดินไปที่ถนนใหญ่อย่างเงียบเหงาและวังเวง ทันใดนั้นเองเห็นรถสองแถวสีส้มๆวิ่งมาไกลๆค่า และเราก็ยื่นแขนออกมากันเร็วต่อจากนั้นก็โบกโบกโบกสบัดแขนโบกโบกโบกซ้ายโบกโบกโบกขวาโบกโบ๊กโบก โบกโบกโบกโบ๊กโบ๊กโบกโบก โบกโบกโบกโบ๊กโบ๊กโบกโบก ลาลาลาลั๊ลลาลั๊ลลาลาลา ลาลาลาลั๊ลลาลั๊ลลาลาลา (เพลง : โบก อย่าลืมคิดทำนองตามด้วยนะคะ(ใส่อีโมขยิบตาข้างเดียว))

สอบถามทางไปท่าเรือเกาะลอยเพื่อข้ามฝั่งไปยังเกาะสีชัง ซึ่งคุณลุงคนขับรถก็ใจดีมากๆเลยค่ะ บอกให้ขึ้นรถเลยเดี๋ยวไปส่ง ซึ่งคิดค่าโดยสารคนละ 20 บาทเท่านั้นเองค่า ส่งถึงที่แบบว่าแทบจะขับขึ้นไปส่งบนเรือกันเลยทีเดียว เราก็รีบวิ่งไปซื้อตั๋วเรือจุดหมายคือเกาะสีชัง มีค่าโดยสารคนละ 50 บาทค่ะ



เรือจะออกจากฝั่งก็เวลาประมาณ 11.00 น. ค่ะ ซึ่งเวลาที่เรามาถึงยังเกาะลอยนี้ก็ประมาณ 10.30 น. ตกลงกันได้ว่าขึ้นไปนั่งรอบนเรือเลยละกัน จะได้มีที่นั่งให้นั่งด้วยกัน ซี่งทางลงแอบชันเบาๆแถมลงมาหน้ายังเกือบทิ่มแตงกวาที่แม่ค้าขนขึ้นเรือเพื่อไปขายบนเกาะอีกต่างหาก

แต่บนเรือก็ไม่ใช่จะน่าเบื่อนะคะ เพราะว่าเรามีอาหารตาให้ชมกันค่า บอกเลยว่า ขาวๆล่ำๆทั้งน้านนนนผู้โดยสารที่ขึ้นมาบนเรือก็จะมีทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติแต่ก็จะมีน้อยกว่าคนไทยนะคะ ถึงแม้ว่าจะน้อยแต่ก็ทำให้ชุ่มชื่นหัวใจได้บ้างนะเออ อิอิ


ระหว่างนั่งส่องหนุ่มหล่ออยู่บนเรือเพื่อตารางเวลาเดินเรือ ก็มีคนทยอยเดินลงมาบนเรือนี้จำนวนไม่น้อยแสดงให้เห็นว่าเกาะสีชังก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คนนิยมอยู่พอสมควร ถึงแม้ว่าวันนี้จะเป็นวันธรรมดาที่ไม่ใช่วันหยุดหรือหน้าเทศกาลใดๆ ก็ตาม

อากาศในวันนี้ค่อนข้างร้อนอบอ้าวเลยทีเดียว นั่งมองอยู่บนเรือก็เห็นชาวบ้านละแวกนั้นออกมานั่งตกปลาบนสะพานเชื่อมเกาะลอย โดยไม่เกรงกลัวแสงยูวีของประเทศไทยที่คาดการณ์ว่าแม้จะทาครีมกันแดด SPF 1000+++ ก็ยังไม่สามารถต้านทานความแข็งแกร่งของแสงอาทิตย์ได้เลย


กลิ่นอายของลมทะเลโชยมาแตะจมูกผสมกับไอร้อนของแสงแดดทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย ราวกับรับรู้ว่ามันคือการได้มาพักผ่อนหลังจากตรากตรำจากงานการทั้งหลายมาเป็นเวลานาน ฝูงนกบินผ่านไปให้ความรู้สึกถึงการเป็นอิสระ และพวกเราก็กำลังจะปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากเรื่องราวทั้งหลาย แล้วไปสัมผัสกับความสุขและความสนุกที่รออยู่เบื้องหน้า...บนเกาะสีชัง

และแล้วคนขับเรือก็กดส่งสัญญาณหวูดเรือเพื่อเป็นนิมิตรหมายอันดีว่า เรากำลังจะได้ออกเดินทางกันแล้ว เงยหน้ามองไปด้านบนก็เห็นกับเสื้อชูชีพจำนวนมากแต่ก็ไม่เห็นมีใครสนใจจะหยิบลงมาใส่ เพื่อความปลอดภัยของตนเองเลยสักคน ระหว่างทางก็เห็นเรือบรรทุกสินค้าทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ทิ้งสมออยู่ตลอดเส้นทางไปเกาะสีชังเป็นจำนวนมาก





หอคอยบนเกาะสีชังตั้งเด่นเป็นสง่าให้เราเห็นกันมาแต่ไกลก่อนที่จะถึงเกาะเป็นสัญลักษณ์ว่าเราใกล้จะถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ใช้เวลาอีกไม่นานนักเรือก็เข้าเทียบท่าให้ผู้โดยสารได้ลงไปยังขาลงว่าลำบากแล้วขาขึ้นลำบากกว่าค่า เพราะแม้แต่บันไดชันๆก็ยังไม่มีให้เราได้ขึ้น ต้องพึ่งพาขาอันเรียวยาวขาวผ่องเป็นยองใยของตัวเองกันเท่านั้น แถมจะก้าวแต่ละทีเรือก็โคลงเคลง กว่าจะได้ข้ามก็เกือบเป็นคนสุดท้ายของเรือไปเสียแล้ว






ทันทีที่ก้าวลงจากเรือบรรยากาศบริเวณท่าเรือเต็มไปด้วยความสับสนอลหม่านแลดูวุ่นวายเป็นอย่างมาก เพราะเสียงของผู้ให้บริการทั้งรถสามล้อสกายแลปและรถมอเตอร์ไซค์ให้เช่าต่างก็ตะโกนเรียกหาลูกค้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร ทำให้คำถามหนึ่งผุดขึ้นมาอยู่ในใจว่า นี่หรือคือความเงียบสงบอันเลื่องชื่อของเกาะสีชังที่เราตามหา


หลังจากที่ผิดหวังกับความวุ่นวายที่ไม่ต่างอะไรกับเมืองกรุงเลยสักนิด ก็ต้องทำใจยอมรับและมองหารถที่จะมารับเราไปยังบ้านพัก เพราะว่าได้ติดต่อกับทางห้องพักไว้เรียบร้อยแล้ว เจอรถเป้าหมายก็กระโดดเข้าใส่กันเลยค่า... ณ อากาศตอนนี้ร้อนมากกันจนแทบละลายแล้ว


แม้ว่าบรรยากาศบริเวณท่าเรือจะดูวุ่นวายเอาเสียมากๆ แต่เมื่อนั่งรถเข้ามาด้านในของเกาะสีชังเพื่อไปยังที่พักก็พบว่าสภาพแวดล้อมรอบช่างต่างกันโดยสิ้นเชิง ระหว่างทางเป็นชุมชนที่ค่อนข้างเงียบสงบและดูใช้ชีวิตกันอย่างเรียบง่าย เราเองก็มองวิวข้างทางกันไปเพลินๆจนกระทั่ง...ถึงที่พักแล้วค่าอมยิ้ม36อมยิ้ม36อมยิ้ม36






พวกเราได้ติดต่อที่พักไว้กับทางเบญจภร บังกะโล ซึ่งจองไว้เป็นบ้านพักหลังใหญ่เพราะเรามากันหลายคน เราได้พักที่บ้านหมายเลข 9 เลขสวยมากๆเลยล่ะค่ะ ซึ่งตัวบ้านเป็นไม้ทั้งหลังมีใต้ถุนสูงเล็กน้อยตามความชันของพื้นที่เป็นแนวภูเขานั่นเอง บริเวณโดยรอบของบังกะโลติดกับอู่ต่อเรือที่ตั้งอยู่ริมทะเล แต่ไม่อนุญาตให้คนภายนอกเข้าไปเดินเล่นริมทะเลนะคะ ซึ่งพวกเราก็ต้องยืนชมวิวได้จากถนนด้านหน้าของอู่ต่อเรือเท่านั้นนะคะ แต่ก็ยังคงความสวยงามไว้มากๆเลยล่ะค่ะ



เปิดประตูเข้าไปภายในบ้านก็จะพบกับห้องนั่งเล่นที่มีตู้เย็นและทีวีพร้อมเก้าอี้ตัวใหญ่ ด้านในก็จะเป็นห้องนอนใหญ่หนึ่งห้องสำหรับพวกเราได้นอนกันกับห้องน้ำอีกสองห้อง บอกเลยว่าประทับใจมากๆเพราะตัวบ้านก็สวยงามเหมาะสำหรับการไปพักผ่อน ส่วนบริเวณบ้านก็ร่มรื่นด้วยต้นไม้ให้บรรยากาศแบบบ้านต่างจังหวัดที่ไม่ปนเปื้อนไปด้วยฝุ่นควันและมลพิษ ใครที่ชอบบรรยากาศบ้านไม้ที่แสนร่มรื่นก็ต้องบ้านพักหลังนี้เลยค่ะ ไม่ผิดหวังแน่นอน


ทำธุระส่วนตัวกันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เตรียมพร้อมออกเดินทางเที่ยวชมรอบเกาะสีชังกันแล้วววววว... แต่!!!!! เดี๋ยวก่อน กองทัพต้องเดินด้วยท้องก่อนสิคะ ดังนั้นสิ่งที่เราควรมองหาเป็นอย่างแรกคือ...ร้านข้าววว เมื่อหยิบกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ได้ก็ขับวนไปค่ะ วนไปจนเจอ...ร้านข้าววว ทันทีที่ขาตั้งรถสัมผัสกับพื้นคอนกรีตก็แทบจะพุ่งเข้าใส่ร้านอาหารกันเลย



แล้วอาหารมื้อแรกก็มาเสิร์ฟ ยามเมื่อมองป้าเจ้าของร้านถือจานข้าวที่เต็มไปด้วยกุ้งตัวโตๆ มิใช่วิญญาณกุ้งอย่างที่เคยๆกินมา น้ำตาก็ปริ่มปลาบปลื้มปิติทันใด ยิ่งกลิ่นของอาหารที่ลอยโชยมาแตะจมูก ลูกๆพยาธิก็เริ่มส่งเสียงทักทายต้องการอาหารไปเลี้ยงปากท้องแล้ว



มื้อแรกของทริปนี้ผ่านไปด้วยดีในสภาพที่ป้าเจ้าของร้านแทบไม่ต้องล้างจาน ก็เดินกันไปจ่ายค่าอาหารด้วยราคาสบายกระเป๋าเมื่อเทียบกับคุณภาพที่คับจานแล้วตรงตามคอนเซ็ปเป๊ะๆ ก่อนจะพากันไปขึ้นรถที่จอดอยู่หน้าร้านเพื่อเดินทางต่อ ทุกคนต่างก็วาดขาอันเรียวยาวของตนเองขึ้นนั่งคร่อมบนรถ แต่ทว่าทันทีที่กั้นได้สัมผัสกับเบาะหนังของรถที่จอดอยู่กลางแดดร้อนจัดนั้น ก็พบว่า...ตูดสุกค่ะ และรับรู้ได้ถึงความร้อนที่ทะลุผ่านกางเกงเข้าไปสัมผัสกับเนื้อราวกับว่าตนเองกำลังถูกย่างอยู่บนเตาแทนไก่เลยทีเดียว


จุดหมายปลายทางแรกของการเดินทางในทริปนี้ คือ “ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่” ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของชาวเกาะสีชังมาก โดยเฉพาะชาวเรือส่วนใหญ่เพราะขึ้นชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยดลบันดาลให้เดินเรือโดยสวัสดิภาพและปลอดภัย วนหากันอยู่นานก็มาถึงแล้วค่ะ... ไม่รอช้ารีบขึ้นไปด้านบนก็จะพบกับอาคารหลังใหญ่ทรงวิหารจีน และภายในก็จะมีจุดต่างๆให้ได้สักการบูชาเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตัวเรา



เดินขึ้นขึ้นบันไดมาเรื่อยๆก็จะเริ่มมองเห็นวิวของเกาะสีชังและท่าเรือได้ชัดเจนเลยค่ะ แอบแวะห้องน้ำกันสักหน่อย โอ้โห...วิวสวยมากๆค่ะ มองเห็นทะเลที่สวยงามโดยมีเรือบรรทุกสินค้าลอยอยู่มากมาย ให้ความสวยไปอีกแบบหนึ่งนะคะ




ระหว่างทางเดินก็จะมีลักษณะคล้ายๆถ้ำที่มีหินงอกหินย้อย ด้านในก็คือเจ้าพ่อเขาใหญ่ และด้านในก็จะมีป้ายบอกตำแหน่งและจำนวนธูปที่ต้องปัก นอกจากนั้นยังมีคนดูแลภายในวิหารที่คอยชี้บอกป้ายและบอกถึงวัฒนธรรมของการไหว้ในสถานที่อันศักดิ์สิทธ์แห่งนี้ ซึ่งจะมีลักษณะเป็นการไหว้แบบคนจีนและมีจุดติดป้ายสีแดงพร้อมสำหรับเขียนชื่อเพื่อสะเดาะเคราะห์ ไม่รอช้าจับปากกาเขียนทันทีเลยค่า...












แดดแรงๆแต่เราก็ยังมีแรงสู้แดดพร้อมเดินหน้าลุยกันต่อยังสถานที่ถัดไปนั่นคือ “รอยพระพุทธบาท” ที่ทางขึ้นเป็นเขาสูงชันพอสมควร หากใครขับมอเตอร์ไซค์ไม่แข็งก็ต้องระวังจะเกิดอันตรายได้นะคะ บิดคันเร่งสุดแรงเกิดเลยค่า


มาถึงแล้วค่ะพร้อมกับแดดที่ร้อนแรงเช่นเคย เดินๆๆขึ้นบันไดกันค่ะเจอป้ายระหว่างทางแวะอ่านเป็นความรู้ว่า รอยพระพุทธบาทจำลองนี้ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพอัญเชิญมาจากตำบลพุทธคยา ประเทศอินเดียนั่นเอง ขึ้นกันไปด้านบนทางซ้ายก็จะเป็นรอยพระพุทธบาทจำลองส่วนด้านขวาเป็นหอระฆัง ไปสักการะรอยพระพุทธบาทจำลองกันก่อนค่ะ ชมวิวกันสักหน่อยเนอะ

จากนั้นก็ไปตีระฆังทางด้านขวามือค่ะ พร้อมกับชมวิวที่ถือว่าเป็นจุดชมวิวที่สูงที่สุดบนเกาะสีชัง มองเห็นพื้นที่บนเกาะได้เกือบทั้งหมด ลมแรงๆพัดมาปะทะใบหน้าหอบเอาความร้อนอบอ้าวออกไปจากร่างกายได้พอสมควรเลย มาถึง ณ จุดนี้แล้วต้องขอยอมรับเลยว่าเกาะสีชังแห่งนี้ถือว่าเป็นเกาะแห่งความสงบจริงๆพวกเรายืนถ่ายรูปและพูดคุยกันพร้อมเก็บเกี่ยวบรรยากาศโดยรอบเข้าไว้ในความทรงจำที่สวยงามของเรา





มองไปยังวิวรอบๆเกาะก็เห็นกับพระพุทธรูปสีเหลืองทององค์ใหญ่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางธรรมชาติสีเขียวที่รายล้อมอยู่รอบด้าน และนั่นก็คือเป้าหมายต่อไปของเรา “วัดถ้ำจักรพงษ์หรือวัดพระเหลือง” สาเหตุของชื่อก็มาจากพระพุทธรูปสีทององค์ใหญ่นั่นเอง เดินทางไปกราบพระเหลืองก็แอบมองไปเห็นเซียมซีก็ต้องไปเสี่ยงดวงกันสักหน่อย




เสร็จแล้วหลวงพ่อท่านก็พรมน้ำมนต์พร้อมกับให้พรพวกเรา นอกจากนี้ท่านก็ยังอธิบายให้พวกเราฟังว่าถ้าเป็นช่วงเทศกาลก็จะมีคนมาเที่ยวเยอะพอสมควร แต่วันนี้ค่อนข้างเงียบเพราะเป็นวันธรรมดาไม่ใช่วันหยุด แล้วบอกให้พวกเราเดินไปดูถ้ำจักรพงษ์ ซึ่งถือว่าเป็นที่มาของอีกชื่อหนึ่งของวัดแห่งนี้นี่เอง

ภายในถ้ำจักรพงษ์เป็นบันไดทางลงแคบๆที่สามารถเดินลงไปได้แค่ทีละคน และบันไดก็ยังมีความสูงชันอยู่มาก แถมยังค่อนข้างมืดทำให้เดินลำบากสักหน่อย พวกเราก็ค่อยๆก้าวเดินลงไปและมีโอกาสได้เห็นของใช้โบราณที่วางอยู่ เมื่อเดินลึกลงไปเรื่อยๆก็ได้พบว่าภายในมีประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์และพระพุทธรูปปางมารวิชัย ให้ได้กราบไหว้ ซึ่งเราเองก็ไม่ได้คาดคิดว่าจะมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ด้านใน จนเราเกือบจะเดินกลับไปทางเดิมอยู่แล้ว





ยิ่งเข้าช่วงบ่ายๆแดดก็ยิ่งร้อนมากๆจนแทบไหม้ก็คงต้องหลบร้อนที่บ้านพักก่อนจะเป็นลมแดดกันไปเสียก่อน ระหว่างขับรถกลับที่พักก็ยังพบกับ...เซเว่น ร้านสะดวกซื้อที่ขนาดหนีมาอยู่บนเกาะก็ยังได้เจอกัน แหม...สถานที่คุ้นเคยเช่นนี้ก็ต้องแวะกันสักหน่อย จริงไหมล่ะคะ อิอิ
ซื้อเสบียงมากักตุนไว้ในช่วงหลบร้อนกันพอสมควรแล้วก็ได้เวลากลับสู่บ้านพักแสนหรรษาของเรา นาทีนี้ต้องขอแอร์เท่านั้นค่ะจากนั้นก็เปิดแอร์นั่งพัก มีเวลาว่างก็ต้องหากิจกรรมทำที่สมกับเป็นเด็กสถิติเสียหน่อย ความน่าจะเป็นมาค่ะ...ปู้ผ้าค่ะ...เปิดสำรับค่ะ...แท่น แท๊น... เล่นไพ่สลาฟกินนั่นเอง

ได้นั่งลับสมองกับเกมไพ่สลาฟกันอยู่พักใหญ่ๆพอให้แสงแดดได้เริ่มลดความร้อนแรงลง ก็ได้เวลาออกไปลั้ลลากันอีกครั้งแล้ว เตรียมตัวเตรียมพร้อมออกเดินทางไปยัง “ช่องเขาขาด” เพื่อรอดูพระอาทิตย์ตกในตอนเย็นนี้นั่นเอง บรรยากาศที่ไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่แล้ว ทำให้เราได้นั่งรับลมเย็นๆบนมอเตอร์ไซค์ผ่อนคลายสบายใจกว่าตอนกลางวันมากๆ

แต่ก่อนจะไปยังช่องเขาขาดเราได้วางแผนจัดทำปาร์ตี้ปิ้งย่างอาหารทะเลกัน ซึ่งเป็นที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับการมาเที่ยวทะเล โดยจ้างให้ทางที่พักเตรียมอุปกรณ์สำหรับการย่างไว้ให้ ส่วนวัตถุดิบเราต้องหาซื้อเอง ดังนั้นต้องไปหาอาหารเย็นกันก่อนแล้ว


ขับวนกันอยู่พักใหญ่ เพื่อหาร้านที่ขายอาหารทะเลสดๆในราคาถูกได้ สอบถามชาวบ้านแถวนี้ก็ได้ความว่าส่วนใหญ่ตลาดอาหารทะเลสดเขาจะมีขายกันแค่ในช่วงเช้าๆ เราจึงเลือกซื้อเป็นแบบแช่แข็งแทนเมื่อได้ของครบเรียบร้อยก็นำไปเก็บยังที่พัก แล้วออกเดินทางกันต่อดีกว่าน้าาา

มาถึง ณ ช่องอิศริยาภรณ์หรือช่องเขาขาดก็จะมองเห็นสะพานวชิราวุธที่ทอดยาวไปให้ได้แวะถ่ายรูปที่มีวิวด้านหลังเป็นทะเลสวยงามกว้างขวาง และพระอาทิตย์ดวงโตประดับอยู่บนฟ้า เป็นพื้นหลังที่เหมาะสำหรับการถ่ายรูปเป็นที่สุด

มองจากบนสะพานทางซ้ายมือก็จะเห็นเป็นศาลาขนาดใหญ่หรือที่จริงแล้วก็คือพลับพลาที่ประทับชมทิวทัศน์ของรัชกาลที่ 5 นั่นเอง ช่องเขาขาดถือว่าเป็นจุดชมวิวที่สวยงามเพราะสามารถมองเห็นได้ทั้งเกาะหน้าผา และทะเลได้อย่างชัดเจน บริเวณช่องเขาขาดแห่งนี้ก็ยังคงเงียบสงบไม่แพ้ที่อื่นๆบนเกาะ เราค่อยๆเดินกันไปเรื่อยๆพร้อมๆกับที่พระอาทิตย์ค่อยๆลาลับขอบฟ้า ทุกคนต่างก็ตกอยู่ในภวังค์ของตนเอง ปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปกับลมทะเลและเสียงคลื่นกระทบฝั่ง

แม้จะอยากหยุดเวลาและภาพที่สวยงามนี้ไว้แค่ไหนแต่เราก็ไม่อาจจะทำเช่นนั้นได้ เฉกเช่นเดียวกับที่เราไม่สามารถหยุดพระอาทิตย์ให้ลาลับขอบฟ้าได้เช่นกัน ดวงอาทิตย์ดวงโตค่อยๆเคลื่อนผ่านขอบฟ้าไปทีละนิด...ทีละนิด 










หลังจากดูพระอาทิตย์ตกไปแล้วฟ้าก็ยังไม่มืดมากนัก เราเลยแอบแวะไปดูชายหาดที่เดียวบนเกาะที่อนุญาตให้เล่นน้ำได้ก็คือ “หาดถ้ำพัง” ขับวนไปมาก็หาเจอจนได้เลยเดินลงไปดูบริเวณหาดที่เริ่มมืดมากแล้ว บริเวณชายหาดมีเก้าอี้ชายหาดตั้งเรียงรายอยู่เต็มไปหมด ให้นักท่องเที่ยวได้มานั่งพักผ่อนชมทะเลอยู่ริมหาดได้

มาถึงทะเลทั้งทียังไม่ได้ลงเล่นน้ำทะเลกันเลยสักนิด ขอเอาเท้าไปแตะๆน้ำเสียหน่อยก็พอเพราะตอนนี้ก็เป็นเวลาเกือบสองทุ่มแล้ว ลูกๆพยาธิในท้องก็เริ่มส่งเสียงประท้วงกันอีกครั้งแล้ววววววว

นี่คือสถาน...แห่งบ้านทรายทอง ที่ฉันปองมาสู่~~~~เฮ้ยยย!!! ไม่ใช่แล้ว กลับสู้ที่พักหมายเลข 9 ของกันอีกครั้งก็พบกับ...กับ...เตาปิ้งนั่นเอง กุ้งจ๋า หมึกจ๋า รอพี่แปปนะน้องงงงงงงง

วัตถุดิบถูกเตรียมพร้อมอย่างรวดเร็วปานจรวด เพราะความหิวมันไม่เข้าใครออกใครจริงๆนะเออ ทุกคนวุ่นวายกับการเตรียมของหนักมาก แต่ก็ยังมีหนึ่งในพวกเราหันไปเห็นมะม่วงบนต้นไม้ค่า รอช้าอยู่ไยป้าเดินผ่านมาขอเด็ดทันที รถพร้อมซื้อน้ำปลาหวานโลดดดดด




การปิ้งย่างอาหารทะเลยังคงดำเนินไปด้วยความสนุกสนาน พวกเราร่วมด้วยช่วยกันเตรียมอาหารมื้อเย็นสำหรับทุกคนในหน้าที่ที่พอจะทำกันใคร ใครถนัดทำอะไรก็เร่งมือช่วยกันทำ ความสามัคคีที่มีมากกว่าครั้งไหนๆ โดยใช้ความหิวเป็นแรงกระตุ้นที่เร่งเร้าพวกเราได้เป็นอย่างดี





กุ้งและปลาหมึกที่วางเรียงรายอยู่บนเตาชวนให้น่าลิ้มลองยิ่งนัก เมื่อย่างกุ้งเสร็จแล้วเราก็ไปเนปิดอร์ต่อ 555 ล้อเล่นค่า ย่างกุ้งเสร็จก็ลงย่างปลานิลต่อสิเนอะ และในเวลาไม่นานอาหารมื้อเย็นก็เสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ ดูน่าทานมากๆเลยใช่ไหมล่ะ... รอช้าอยู่ไย จัดกันเลยยยย

กุ้งย่างตัวขนาดพอดีวางเรียงอยู่บนจานอย่างสวยงามพร้อมกับอีกจานที่มีปลาหมึกตัวใหญ่เนื้อนิ่มและนุ่มชุ่มฉ่ำ ที่ย่างได้พอดีไม่แห้งจนเกินไป และทีเด็ดมันอยู่ที่ปลานิลย่างตัวโตๆ คลุกเคล้ากับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสแซ่บกับบรรยากาศบนระเบียงบ้าน ที่มีลมเย็นๆพัดผ่านไปมา ให้ความรู้สึกเกินจะบรรยายจริงๆค่ะ





ในเวลาไม่นานอีกเช่นกันของทุกอย่างก็แบ่งแยกไปตกอยู่ในกระเพาะของพวกเราทุกคนที่อิ่มแปล้จนพุงกาง นั่งพักกันสักครู่ก็ช่วยกันเก็บของและแยกย้ายไปอาบน้ำหลังจากที่เหนื่อยกันมาทั้งวันจนเหนียวตัวไปหมดแล้ว อ้อ! เกือบลืมไป ก่อนอาบน้ำต้องกินของหวานล้างปากก่อน มะม่วงน้ำปลาหวานจากต้นหน้าบ้านเรานั่นเองค่ะ จะชมว่าพวกเราตาไวใช้ไหมล่ะคะ อิอิ

อาบน้ำบ้าง ดูทีวีบ้าง และนั่งคิดเลขกันต่อบ้าง ตามแต่จะเลือกกัน แต่สิ่งที่พวกเราทุกคนสัมผัสได้เหมือนกันก็คือความสุข ความสนุก ความสงบ และความสวยงามที่เป็นเสน่ห์และเอกลักษณ์ของเกาะสีชังอย่างที่เราเคยได้ยินมา แต่ยังคงมีอะไรที่สอดแทรกไว้มากกว่านั้นที่หากคุณไม่ได้มาสัมผัสด้วยตัวเองก็คงไม่อาจจะรู้สึกถึงมันได้

วันนี้ก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ขอนอนหลับพักผ่อนเอาแรงกันเสียหน่อย พรุ่งนี้เราจะตื่นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นพร้อมๆกันนะคะ ฝันดีค่า



เวลา 05:30 น. เสียงนาฬิกาที่ตั้งปลุกไว้เพื่อออกไปชมพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าก็แผดเสียงร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง โดยเจ้านาฬิกาคงคิดว่า “ถ้าคุณไม่ตื่น คุณตรูก็จะไม่หยุดร้องเช่นกัน” และมันก็ได้ผลเสียด้วย...เพราะไม่มีสาวเจ้านางใดตื่นสักคน นอกเสียจากอิคนตั้งปลุกเองนั่นแหละ (มันดังอยู่ข้างหู ไม่ตื่นก็ไม่รู้จะพูดว่ายังไง 5555) เพื่อไม่ให้เสียเปรียบกันที่ตัวเองตื่นอยู่ฝ่ายเดียว จึงจัดการปลุกเพื่อนทุกคนให้ตื่นขึ้นมาอย่างเท่าเทียมกัน แต่ด้วยแอร์ที่เย็นสบาย ที่นอนที่หอมนุ่ม การปลุกของเจ้านางก็ไม่เป็นอันสัมฤทธิ์ผลแต่อย่างใด

โปรแกรมที่วางไว้ทำท่าจะล่มเสียแล้ว เนื่องจากสกิลการปลุกของเพื่อนยังไม่ถึงขั้นจนทำให้สาวๆ ที่นอนกันเป็นตายตื่นขึ้นมาได้ แต่ด้วยที่นางยื่นคำขาดมาว่า “ถ้าพวกคุณยิ้มไม่ตื่น คุณตรูไปคนเดียวก็ได้” ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนที่ต้องไปในที่ที่ไม่คุ้นคนเดียว จึงทำให้พลังแห่งความเป็นคนดีที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กจนมันหยั่งรากแก้วลึกลงเข้าไปยันไส้ติ่งฝ่าฟันจนชนะความเกียจคร้านขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟันจนได้ (ก็ไม่ได้เป็นห่วงอะไรมันมากมายหรอก แค่กลัวว่ามันจะไปทำมิดีมิร้ายคนอื่นเค้าก็เท่าน้าน ส่วนไอ้ความดีที่บรรยายมาซะดี นั่นตรูก็มโนเองทั้งนั้น 5555)

เมื่อทุกคนเตรียมพร้อมกันเรียบร้อย (จริงๆ ก็ไม่พร้อมเสียเท่าไหร่ เพราะสภาพก็ไม่ต่างจากก่อนจะตื่นเสียเท่าไหร่ ดีอยู่ที่หน้ายังโดนน้ำแค่นั้นเอง ก็ชุดก็ยังเป็นชุดนอน ส่วนตานี่ก็แทบจะประกบปิดกันอยู่รอมร่อ ไม่รู้ว่าเปลือกตาบนกับล่างมันจะรักอะไรกันนักหนา อยากจะอยู่ติดกันตลอดทุกเวลา คิดว่ามันเป็นคู่รักกันหรือไง 5555 ที่พล่ามมาทั้งหมดก็คือความง่วงนั่นแหละ)

เมื่อปลุกตัวเองให้ตื่นได้ เพราะกลัวจะขับรถตกเขาตายเสียก่อนจะได้ A วิชาท่องเที่ยวนี้ ก็จัดการแว้นScoopy-i all new 2012 active boy น้ำเงิน-ขาว ไปยัง พระราชวังจุฑาธุชราชฐานซึ่งเป็นที่ชมพระอาทิตย์ขึ้นได้อย่างสวยงามทันทีเลยจ้า




พระราชวังจุฑาธุชราชฐาน เป็นพระราชวังบนเกาะแห่งเดียวในประเทศไทยสร้างขึ้นในสมัยรัชการที่ 5 โดยเริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2432 และใช้เป็นที่ประทับแปรพระราชฐานของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระราชวงศ์ จนกระทั่งเกิดกรณีพิพาทระหว่างไทยกับฝรั่งเศส (เหตุการณ์ รศ. 112) ซึ่งมีกองทหารบุกขึ้นเกาะสีชังและปิดอ่าวไทย การก่อสร้างพระที่นั่งและพระตำหนักต่างๆ จึงยุติลง และต่อมาในปี พ.ศ.2435 โปรดให้รื้อถอนสิ่งก่อสร้างต่างๆ ไปสร้างที่อื่น แต่นั้นมาเป็นอันเลิกพระราชวังที่เกาะสีชัง (Cr. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)

ในพระราชวังจุฑาธุชราชฐานมีพิพิธภัณฑ์ชลทัศนสถาน ซึ่งเป็นอาคารแสดงนิทรรศการของสถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับระบบนิเวศน์และทรัพยากรทางทะเลของเกาะสีชังไว้ให้เข้าชม และที่สำคัญชมฟรีตลอดงานจ้า แล้วคนที่ชอบของฟรีเช่นพวกเรา มีรึจะพลาด




ภายในพิพิธภัณฑ์ก็จะแบ่งเป็นโซนการเรียนรู้ต่างๆ เช่น โซนเทิดพระเกียรติพระบามสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโซน Mini theater แนะนำเกาะสีชัง (อันนี้สวยมาก) โซนพันธุ์สัตว์น้ำ โซนเรื่องของปะการัง ฯลฯ ก่อนจะออกมาด้านนอกเพื่อไปดูสัตย์ทะเลตัวเป็นที่เขาเพาะพันธุ์ไว้ มีทั้งปลาการ์ตูน ปลิงทะเล มีลูกฉลามด้วยนะคะ 





เมื่ออิ่มหนำกับความรู้เชิงวิชาการ ต่อไปเราจะได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นเสียแล้ว ตอนที่ไปถึงเป็นเวลาที่เช้ามาก ซึ่งเราสามารถแว้น Scoopy-i all new 2012 active boy น้ำเงิน-ขาว ของเราเข้าไปด้านในพระราชวังได้เลย แต่ช่วงสายจะไม่อนุญาตให้ขับเข้าไปด้านในแล้ว ต้องจอดรถในบริเวณที่กำหนดเท่านั้น ไม่เช่นนั้นถือว่าผิดดด!!!




สถานที่แรกที่เราเลือกจะไปก็คือ คือ คือ คือ...สะพานอัษฎางค์ ซึ่งสะพานแห่งนี้ถือว่าเป็นไฮไลท์ของเกาะสัชังเลยก็ว่าได้ เพราะถ้าใครไม่ได้มาที่สะพานแห่งนี้ก็เหมือนกับว่าเดินทางมาไม่ถึงอย่างไรอย่างนั้นเลยล่ะค่า

เมื่อขับรถเข้ามาด้านในจะเห็นสะพานอัษฎางค์ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงหน้า (ก็มองไปตรงนั้น จะไม่เห็นได้ไงเล่า 5555)โดยตัวสะพานเป็นเรือนไม้สีขาวยื่นไปในทะเลอยู่ทางซ้ายมือ ถือว่าเป็นมุมมหาชนกันเลยทีเดียว เพราะใครมาเกาะสีชังก็ต้องมาถ่ายรูปตรงนี้ บริเวณรอบๆ ตัวสะพานจะมีเรือของชาวบ้านที่กลับออกมาจากหาปลาจอดเทียบท่าอยู่ และช่วงเช้าแบบนี้น้ำทะเลขึ้นเสียจนถึงขอบตลิ่งกันเลยทีเดียว





สะพานอัษฎางค์สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกในโอกาสที่พระราชโอรส คือ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุฒิ ทรงหายจากอาการประชวร ณ เกาะแห่งนี้ โดยสะพานขาวแห่งนี้เคยเป็นท่าขึ้นเทียบเรือหลังจากที่รัชกาลที่ 5 ประพาสฝรั่งเศส แต่ที่เห็นในปัจจุบันนี่คือบูรณะใหม่ทั้งหมดแล้ว แต่ว่ายังคงรูปแบบสภาพเดิมทั้งหมด

ความรู้สึกแรกที่เท้าได้สัมผัสกับผืนไม้ที่สร้างขึ้นจากเงินพระราชทาน ซึ่งเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ ความปลื้มปิติก็บังเกิด รู้สึกอิ่มเอมใจอย่างประหลาดที่ครั้งหนึ่งในชีวิตได้เดินทางมายังที่ที่เคยเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ราชวงศ์จักรีและพระราชวงศ์แถมบรรยากาศในตอนเช้ายังเย็นสบายรู้สึกปลอดโปร่งทุกครั้งเมื่อสูดกลิ่นไอทะเลเข้าเต็มปอด และนี่แหละคือความคุ้มค่าของการตื่นเช้าของเรา

สะพานอัษฎางค์เป็นอีกที่หนึ่งที่สามารถรับชมพระอาทิตย์ขึ้นได้ เราจะมองเห็นพระอาทิตย์โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำทะเลได้อย่างพอดิบพอดี ถือเป็นบรรยากาศที่สวยงามอย่างหาคำมาเปรียบเทียบไม่ได้ เมื่อรับชมบรรยากาศจนพอใจ จึงพากันเดินลัดเลาะสวนลีลาวดีมาที่ริมฝั่งทะเลเยื้องกับเรือนไม้ริมทะเล(เรือนเขียว)



ระหว่างทางเราจะเดินผ่านฐานพระที่นั่งมันธาตุรัตน์โรจน์ ที่ถูกรื้อเพื่อนำไม้สักไปก่อสร้างเป็นพระที่นั่งวิมานเมฆที่กรุงเทพฯ ตอนแรกที่เห็นนึกว่าเขาสร้างไว้เป็นทางเดิน แต่เมื่อรู้ประวัติที่มาที่ไปแทบจะไม่กล้าเหยียบเลยด้วยซ้ำ แต่คงไม่ทันแล้วแหละ 5555





เมื่อเดินมาถึงริมฝั่งทะเลสาวๆ แก๊งนางฟ้าก็นั่งเรียงรายกับบนขอบปูนที่สร้างขึ้นริมฝั่งทะเล โดยที่แห่งนี้จะไม่อนุญาตให้เล่นน้ำเนื่องจากมีโขดหินอยู่เต็มพื้นที่ แต่ก็สวยงามเสียจนเราต้องยกกล้องขึ้นมาถ่ายเก็บไว้เป็นที่ระลึก แถมช่วงเวลาที่เรามาก็เป็นช่วงที่อากาศกำลังดี ไม่ร้อนเช่นตอนกลางวัน แต่ตอนที่เราไปนั่งนั้นพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น มีเพียงแสงสีส้มเจิดจ้าที่นำทัพมาก่อน จากนั้นดวงตะวันลูกโตๆ ก็ค่อยๆ โผล่ขึ้นตามมาจากขอบฟ้าอย่างสวยงาม

พระอาทิตย์ที่เรารู้จักตั้งแต่รู้ความกับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าในตอนนี้ ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ด้วยที่ประเทศไทยอยู่ในเขตร้อนชื้น แถมอากาศยังร้อนจัดในเวลากลางวัน เลยไม่ค่อยชอบเวลาดวงอาทิตย์ส่องแสงเสียเท่าไหร่ แต่ ณ เวลานี้ เรากลับมีความรู้สึกดีๆ ให้กับเขา (พูดยังกับว่าเขาเป็นมนุษย์เสียอย่างนั้น) ไม่เพียงแค่นั้นวิตามินดี จากแสงอาทิตย์ยามเช้าที่สาดส่องกระทบตัวเรายังช่วยบำรุงกระดูกให้แข็งแรงและควบคุมแคลเซียมอีกด้วย (ยิ่งพูดยิ่งมีสาระ 5555+++)



ภารกิจแรกในวันนี้ก็เสร็จลุล่วงไปอย่างอิ่มเอมใจ แต่ก็ไม่สามารถส่งไปถึงยังกระเพาะที่มีลูกๆ พยาธิอาศัยอยู่ได้ เมื่อพระอาทิตย์เริ่มขึ้นสูงขึ้น อากาศก็เริ่มร้อน แถมท้องไส้ก็บิดเกลียวเพราะความหิว ดังนั้นเราต้องหาอะไรมากระแทกท้องกันเสียแล้ว และอาหารมือเช้ามื้อแรกบนเกาะสีชังก็ต้องย่อมไม่ธรรมดาเช่นกัน เพราะเราจะไปกินฃริมหาดรับบรรยากาศลมทะเลยามเช้ากันที่...หาดถ้ำพัง พัง พัง พัง...

แต่ !!!!!!!!!! มะม่วงที่เราขออนุญาตเก็บจากเจ้าทีก็เริ่มเริ่มสัมแดงฤทธิเดช ข้าศึกบุก!!!!!!! ร้องหาห้องน้ำแบบทันทีทันใดเลยจ้า และก็ไม่ผิดหวัง เพราะห้องน้ำอยู่ตรงหน้านี่เอง ที่สำคัญสะอาดและสวยมากๆ อีกด้วย ซึ่งมันมีประโยชน์ต่อผู้ใช้งานยิ่งนัก ดูพระอาทิตย์ว่ามีความสุขแล้ว ได้นั่งปลดทุกข์ในที่สวยๆ งามๆ บรรยากาศดีๆ ริมทะเลย่อมมีความสุขเช่นกัน (ขอประทานอภัยแก่ท่านที่กำลังรับประทานอาหารอยู่เป็นอย่างสูง 5555 ขอให้ท่านทานต่อไปอย่างมีความสุข)


การเดินทางบนเกาะย่อมทำใจนิดนึง เนื่องจากผู้ที่ก่อสร้างต้องทำไปตามแนวสันเขา ซึ่งเวลาเราขับรถก็ไม่ได้แตกต่างจากการขับขึ้นเขาที่ไม่มีถนนดีๆ นี่เอง (ชันเรียกบิดากันเลยทีเดียว) แต่เราทุกคนก็ฝ่าฟันอุปสรรคของของอันลาดชันมาได้จนเกือบถึงที่หมายเสียแล้ว แต่!!!!!! (แต่เยอะเหลือเกิน) หมูป่าที่เดินออกหากินริมฝั่งถนนเป็นอีกหนึ่งอุปสรรคที่ใหญ่หลวงของเรา เนื่องจากถ้าเราขับไปแล้วเขาวิ่งตัดหน้า แล้วอะไรจะเกิดขึ้น (บางทีคุณยิ้มก็ลืมนึกไปนะว่านี่มันหมู ไม่ใช่หมา) เราจึงต้องชะลอช้าๆ ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป กันการเกิดอุบัติเหตุ (เป็นความรอบคอบที่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง) แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของเพื่อนเมื่อคืน ‘หมูพวกนี้มันชอบวิ่งไล่รถนักท่องเที่ยว แถมวิ่งเร็วอีกต่างหาก’ ทันใดนั่นแหละ นั่นแหละค่ะท่าน บิดเกียร์หมาสิคะรออะไร



และแล้ว Scoopy-i all new 2012 active boy น้ำเงิน-ขาว ของเราก็มาถึงทางลงไปยังหาดถ้ำพัง แต่เราหยิ่งค่ะ เราไม่ลง เราขับไปตรงเลยจ้า (แม้จะหิวมากก็ตามนะ 5555) ขับไปประมาณ 500 เมตรก็จะเจอกับศาลาๆ หนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ บริเวณโดยรอบก็จะเป็นป่า หญิงแห้งๆ มองไปข้างหน้าก็จะเป็นผืนทะเลที่ฟ้าอันกว้างไกล แถมยังมีหนุ่มมานั่งตกหมึกอยู่บริเวณริมผาอีกด้วย ที่ตรงนี้สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้อย่างสวยงาม เป็นผาหินที่คนมักนิยมมานั่งตกหมึกในวันว่าง




แต่พี่พยาธิในท้องก็ทำให้เราไม่สามารถนั่งชมบรรยากาศได้นาน เพราะมันเรียกร้องหาอาหารเสียแล้ว ซึ่งเราก็ไม่ขัดศรัทธา ตีรถกลับไปที่หาดถ้ำพังเลยเสียเดี๋ยวนี้ พอถึงทางลงนี่ก็เสียวถึงก้นกบ เพราะมันชันมาก ยิ่งถึงตรงทางโค้งหักศอกนี่กลัวจะพุ่งเสียบรั้วเหลือเกิน แต่ด้วยประสบการณ์ที่สอบใบขับขี่ข้อเขียนผ่านมา 1 คะแนนที่เขากำหนดก็สามารถตีโค้งได้อย่างสวยงาม และถึงที่หมายอย่างปลอดภัย

เมื่อจอดรถเรียบร้อยก็เดินลงไปยังริมหาด ก่อนจะค่อยๆ หย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้ผ้าใบที่ให้บริการอยู่ริมฝั่ง และจัดการสั่งอาหารทันทีทันใด เพราะลูกน้อยพยาธิพากันประท้วงเสียจนแสบท้องไปหมด 





รอเพียงไม่นานอาหารอันหอมกรุ่นของเราก็มาวางตรงหน้า แล้วจะรออะไรล่ะท่านผู้ชม โซ้ยสิคะโซ้ย ส่วนเพื่อนสาวที่กินกันเสร็จก่อนก็ลงไปเล่นน้ำรอ ฟังไม่ผิดหรอกค่ะ เช้าแบบนี้ก็เล่นน้ำค่ะ ดีเสียอีกจะได้ไม่ดำแดด 55555






เมื่อทุกคนจัดการอาหารของตัวเองเสร็จก็ลงไปเดินริมหาด ใครอยากเล่นน้ำก็เล่น แต่ภาพเบื้องหน้าที่เราประทับใจ ไม่ใช่มีผู้ชายหล่อมาเล่นน้ำ แต่เป็นบรรดาหมาหนุ่มที่วิ่งหยอกกันเล่นบริเวณริมหาดอยู่ประมาณ 3-4 ตัว ไม่ใช่เพียงแค่คนที่มีความสุขในการพักผ่อนและผ่อนคลายในการมาเที่ยว ได้เล่นน้ำทะเลเย็นๆ รับชมบรรยากาศดีๆ หมาเองก็ไม่ต่างจากเรา แม้เขาจะเป็นสัตว์ไม่ประเสริฐเท่ามนุษย์ แต่เขาก็สามารถมีความสุขได้ในสิ่งที่เขาเป็น สิ่งนี้ที่ทำให้เราคิดขึ้นได้ เราควรจะมีความสุขในสิ่งที่เราเป็น ไม่จำเป็นต้องทะเยอทะยานไขว่คว้าในสิ่งที่เกินตัว เพราะมันจะทำให้เราเป็นทุกข์และไม่มีความสุขในการดำรงชีวิต 



เมื่อเล่นน้ำกันจนพอใจก็กลับมาอาบน้ำกันที่บ้านพัก ก่อนจะแยกย้ายกันพักผ่อนตามอัธยาศัย เวลา 10:00น.เราก็ไปพระราชวังจุฑาธุชราชอีกครั้ง เพื่อเยี่ยมชมเรือนผ่องศรี ซึ่งจัดแสดงนิทรรศการพระราชประวัติและประวัติบุคคลผู้ที่มีบทบาทสำคัญกับเกาะสีชังในอดีตตลอดจนเรือนวัฒนาอัษฎางค์ประภาคารพระเจดีย์อุโบสถ วัดอัษฎางค์นิมิต และที่ขาดไม่ได้คือ...เรือนเขียว




อาคารไม้สีเขียวที่เห็นอยู่นี้มีชื่อว่า เรือนไม้ริมทะเล (เรือนเขียว) ด้านหน้าของเรือนไม้ริมทะเลจะอยู่ติดกับทะเลเลย สามารถมองเห็นวิวทะเลได้จากหน้าต่างด้านใน และยังจำหน่ายเครื่องดื่มต่างๆ ด้วยราคากันเองอีกต่างหาก เมื่อซื้อเครื่องดื่มสามารถนั่งรับบรรยากาศในร้านได้ตามสะดวก แต่เวลาของเรามีไม่มากนัก เนื่องจากต้องเช็คเอ้าท์ห้องพักในเวลา 12:00 น. ทำให้ใช้เวลาอยู่ได้ไม่นาน 



เมื่อจวนเวลาแล้วก็กลับที่พักเก็บของเตรียมกลับเข้าสู่โหมดปกติของเรา ในคราแรกคุณป้าเจ้าของบ้านจะให้รถของบังกะโลไปส่ง แต่ทว่าพอถึงเวลากลับหาคนขับไม่เจอ แล้วจะทำยังไงล่ะทีนี้ ก็ Scoopy-i all new 2012 active boy น้ำเงิน-ขาว ของเรานั่นแหละค่ะ คุณป้าให้เราเอากันไปที่ท่าเรือกันเอง แล้วจอดทิ้งไว้เดี๋ยวแกจะให้คนไปเอา แต่ให้เอารถไปแค่สองคัน พวกเรามีกัน 6 คน ก็ซ้อน 3 สิคะท่าน ไม่ใช่เพียงแต่คน กระเป๋าของเราเองก็ด้วย กว่าจะมาถึงท่าเรือก็เกร็งจนตะคริวแทบถามหา

เรือโดยสารที่จะขึ้นฝั่งรอบต่อไปก็คือเวลา 13:00 น.ซึ่งเหลือเวลาอีก 40 นาที เราจึงหาร้านอาหารเพื่อหาอะไรรองท้องกันเสียก่อน เพราะยังต้องเดินทางอีกไกล แต่ด้วยที่เราเลือกร้านที่แม่ค้าอายุมากกกกกแล้ว ทำให้อาหารที่เราสั่งก็ได้ช้าไปด้วย กว่าจะได้กินก็เกือบจะถึงเวลาเรือออกแล้ว ฉะนั้น ห่อสิคะ เอาไปกินบนเรือ โชคดีที่เราสั่งอาหารที่ไม่มีน้ำจึงไม่เป็นปัญหาในการห่อ




เวลา 13:00 น. เราก็ได้มานั่งบนเรือเรียบร้อย แต่จุดที่พีคมันอยู่ตรงนี้ พวกเราไปนั่งอยู่ชั้นล่างที่มีสองชั้น จากนั้นก็มีน้ำหยดลงมาเป็นน้ำเหนียวๆ จากการวิเคราะห์พบว่าเป็นเครื่องดื่มที่ผสมนม เท่านั้นยังไม่พอ อีกไม่นานหลังจากนั้นร่วงลงมาทั้งแก้วเลยจ้า ก่อนจะตกทะเลไป ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าใครที่เป็นคนทำ แต่มันแสดงให้เห็นว่าคนๆ นั้นไม่มีจิตสำนึกเอาเสียเลย ทั้งที่เป็นคนมาท่องเที่ยว แต่กลับไม่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม ต่อไปอาจจะไม่มีที่สวยๆ ให้เรามาเที่ยวอีกแล้วก็ได้ หากยังมีพฤติกรรมแบบนี้อยู่ (ซีเรียสเลย น้องเนยรักโลกเข้าสิง)



เมื่อเรือออกจากฝั่งรู้สึกใจหายอยู่เช่นกัน แม้จะมาอยู่เพียงแค่ไม่กี่วัน ซึ่งถือว่าเป็นเวลาที่สั้นมาก แต่เกาะแห่งนี้ได้มอบความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่มากให้เราใส่กระเป๋ากลับกรุงเทพไปด้วย แม้เกาะแห่งนี้อาจจะไม่เป็นที่นิยมเฉกเช่นเกาะอื่นๆ ที่มีชื่อเสียง แต่ทว่าทุกทีย่อมให้ประสบการณ์บางอย่างแก่เราไม่มากก็น้อย เกาะสีชังแห่งนี้ก็เช่นกัน

ก่อนที่เราจะเดินทางมีอุปสรรคมากมายที่ทำให้ไม่สามารถเดินทางมาได้เสียที แต่สุดท้ายเราก็พากันมาถึงจนได้ การมาเที่ยวครั้งนี้ไม่ได้ให้เพียงความสนุกแก่เรา แต่การเดินทางครั้งมีมันเต็มไปด้วยมิตรภาพของคำว่า “เพื่อน” แน่นอน ประสบการณ์ในครั้งนี้จะตราตรึงอยู่ในใจเราตลอดไป และไม่มีทางที่เราจะลืมที่แห่งนี้...เกาะสีชัง


ค่าใช้จ่าทั้งหมดตลอดการเดินทาง (ต่อคน)

5 เมษายน 2559
ค่ารถไฟ                    ฟรี  
ค่ารถสองแถว                 20.-
ค่าเรือโดยสารข้ามฝั่ง         50.-
ค่าบ้านพัก                     400.-
ค่าเช่ารถมอเตอร์ไซต์       150.-
ค่าอาหารกลางวัน                 60.-
ปาร์ตี้ปิ้งย่างยามเย็น        200.-



6 เมษายน 2559    
อาหารเช้า                       50.-
เครื่องดื่มเรือนเขียว       30.-
ค่าอาหารกลางวัน               50.-
ค่าเรือโดยสารขึ้นฝั่ง        50.-
ค่ารถตุ๊กตุ๊ก                       20.-
ค่ารถตู้กลับกรุงเทพฯ       100.-

รวม    1,180  บาท

ที่มา Pantip