รีวิว พัทลุง ➤➤ทะเลน้อย. . ยอยักษ์. .ปากประ. . และเงาะป่าซาไก



เที่ยวเมืองไทย ไม่ไปไม่รู้ 

พัทลุง
พอบอกใครๆว่าจะลางานไปเที่ยวที่นี่ คำถามคือ
ที่นี่มีอะไร.......
ปกติคนที่ลงใต้ มักจะไปดูหาดทรายขาว น้ำทะเลใสๆ
และส่วนมากคนที่นิยมเที่ยวแนวนี้ก็จะไม่ไปที่พัทลุงกัน

เราเลยตอบว่า ไปพักผ่อนบวกกับดูวิถีชาวเล (น่านนนนน เท่ห์ซะ!!!)
และ......ไปดูควายน้ำ
สีหน้าคนฟังดูฉงนงงงวย แต่ก็ไม่มีใครถามอะไรต่อ บอกแค่ว่าไปถึงแล้วอย่าลืมส่งรูปควายน้ำมาให้ดูด้วยละกัน

เรามีเวลาอยู่นี่กัน 3 วัน 2 คืน เลยเลือกที่จะออกเดินทางจากกรุงเทพกันแต่เช้าตรู่ เพื่อที่จะได้มีเวลาเที่ยวกันเยอะๆ 
เพื่อนที่เป็นคนพัทลุงแนะนำให้นั่งเครื่องไปลงที่ จ.ตรัง จะได้ขับรถกันไม่ไกลมาก
สายการบินที่ไปลงตรังมีอยู่ 2 สายการบินคือ นกแอร์และแอร์เอเชียค่ะ ใครจะเลือกสายการบินไหนก็เลือกกันตามที่สะดวกเลยค่ะ
ทั้งคณะของเรามีกันทั้งหมด 5 คน เลยเช่าอัลติสมาไว้เป็นพาหนะในการเดินทาง

เป้าหมายหลักของการมาเที่ยวพัทลุงคือการ "ปากประ” 
การบ้านแรกก่อนออกทริปคือจะพักที่ไหนกันดี โจทย์มีแค่ว่าต้องใกล้กับทะเลน้อย 
ตื่นมาสามารถเห็นวิวพระอาทิตย์ขึ้นเคียงคู่กับยอยักษ์ที่ตั้งอยู่ที่คลองปากประ

หลังจากตามอ่านกระทู้ต่างๆในพันทิปรวมกับการหาข้อมูลจาก google เราก็ได้ชื่อ Wetland camp กันขึ้นมาเป็นตัวเลือก 
แต่ก็ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเลือกพักที่นี่
จนกระทั่งได้เข้าดูเฟสของทางรีสอร์ท โอ้.......แม่เจ้า
คือภาพมันดึงดูด จนคุณช่างภาพต้องโทรศัพท์ไปสอบถามกับเจ้าของรีสอร์ทกันเลยว่าภาพทั้งหมดนี่ถ่ายเองใช่หรือมั้ย 
อีกทั้งสถานที่ถ่ายรูปอยู่ตรงไหน มีอะไรให้ถ่ายบ้าง ฯลฯ
คุยกันพักใหญ่ จนได้คำตอบที่พอใจ เลยพาลถูกใจเจ้าของรีสอร์ทไปซะงั้น คุณช่างภาพเลยตัดสินใจจองที่นี่แบบไม่ยากเย็น




เงาะป่าซาไก

เป็นอะไรที่นอกเหนือจากแผน นอกเหนือจากความคาดหมาย
ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะได้เห็นเงาะป่าซาไกตัวจริงๆ
แต่การมาพัทลุงคราวนี้ เรื่องๆนี้มันก็เกิดขึ้นแล้ว




เราขับรถเรื่อยๆจนมาถึงที่ปากประกันตอนบ่ายแก่ๆ เก็บข้าวของ 
นอนพักตากแอร์เย็นๆให้คลายร้อนกันสักพัก ก็ออกตะลอนเที่ยวกันต่อค่ะ




เค้าว่าช่วงเย็นๆ ไม่มีอะไรจะดีกว่าการไปขับรถเล่น ถ่ายรูปที่สะพานเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 
ระหว่างเดินชมวิวและถ่ายรูปกัน เราก็สัมผัสได้ว่าคนที่นี่น่ารักไม่ใช่น้อย 
มีพี่คนนึงเห็นคุณช่างภาพดูเอาจริงเอาจังกับการถ่ายรูปมากๆ เลยเดินมาแนะนำว่าจุดไหนที่น่าถ่ายรูปบ้าง
รวมทั้งกลุ่มคนอื่นๆที่มาชมวิวใกล้ๆกับเรา ก็ดูอัธยาศัยดีไม่น้อย
คนใต้ไม่ดุอย่างที่แอบคิด




กิจกรรมที่พลาดไม่ได้เลยเมื่อมาเยือนที่นี่ นั่นก็คือ การนั่งเรือชมพระอาทิตย์ขึ้นที่คลองปากประและท่องทะเลน้อยค่ะ
คุณช่างภาพได้ทำการติดต่อเรือไว้กับทางคุณหนุ่มเจ้าของรีสอร์ท(ที่พวกเราเรียกว่า “พี่หนุ่ม” ประหนึ่งว่าสนิทกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน)

นัดเรือไว้ 6 โมงเช้า เราเลยต้องตื่นกันตั้งแต่ตีห้า เพื่อเตรียมตัวออกเรือ ปรากฎว่าตื่นมาฟ้ายังมืดอยู่เลย
เลยบอกพี่เค้าว่า ขอนั่งจิบกาแฟ กินขนมปังรอพระอาทิตย์ขึ้นสักพักก่อน 
ได้เวลาหกโมงเกือบครึ่งพี่คนขับเรือก็เรียกขึ้นเรือ พร้อมออกเดินทางกัน
(พี่คนขับเห็นยังทานอาหารเช้ากันเพลิน เลยบอกว่าขนเอาไปทานบนเรือก็ได้นะ)




ขึ้นเรือได้ก็คว้าเสื้อชูชีพมาเตรียมใส่กัน เพื่อความปลอดภัย 
อีกทั้งว่ายน้ำไม่ค่อยเก่งกันมากมาย เลยแอบกังวลใจเล็กน้อย
ถามพี่คนขับไปว่าน้ำลึกแค่ไหน 

พี่บอกว่าไม่ถึงเอว...................... 
บางจุดสูงแค่เข่า.............. 

ฤดูนี้น้ำยังไม่สูง สบายใจกันได้
แหมมมม....เห็นอุปกรณ์ช่วยชีวิตแล้วเล่นเอาใจสั่นก่อนลงเรือ 
พอบอกมาว่าน้ำไม่ลึกมากมาย ทีนี้ก็ล่องเรือกันแบบสนุกสนานกันไปเลยทีเดียว




ความที่เจ้าของรีสอร์ทเป็นคนที่รักการถ่ายภาพเอามากๆ ดังนั้นพี่คนขับเรือคงมีโอกาสออกเรือไปถ่ายรูปกับคุณหนุ่มบ่อยๆ 
แกเลยรู้ว่าจุดไหนสวย จุดไหนเหมาะกับการถ่ายรูป
เรียกว่าไม่ต้องถาม ไม่ต้องบอกเลยค่ะ พี่พาลุยไปเองตามความเคยชิน

วันที่เราออกเรือกันนั้น พระอาทิตย์หลบอยู่หลังเมฆค่ะ เห็นแต่แสงโผล่มารำไร 
ฟ้าสีทองยามพระอาทิตย์ขึ้น บวกกับภาพของน้ำที่กว้างจนไปจรดกับเส้นขอบฟ้า 
และบรรดายอยักษ์ที่ตั้งกระจายอยู่บริเวณรอบๆ มันเป็นภาพที่สวยงาม ตรึงตาตรึงใจมากๆค่ะ 

เพื่อนๆถึงกับบอกว่าไม่อยากยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปกันเลย เพราะกลัวจะพลาดช่วงเวลาดีๆที่ควรจะเห็นด้วยสองตาตัวเองไป




ระหว่างทางก็จะเห็นชาวประมงออกเรือกันเป็นระยะๆ ค่ะ




แต่ช่วงนี้ไม่ใช่ฤดูทำประมง เราเลยไม่ได้เห็นภาพตอนชาวประมงกำลังหว่านแหกันด้วยตา




ไฮไลท์สุดของการออกเรือในวันนั้นคือ ต้นลำพู
ตอนที่พี่คนขับเรือบอกว่าจะพาไปดูต้นลำพู เราก็นึกภาพไม่ออกนะคะว่ามันจะมีอะไร
เพราะเมื่อเอ่ยถึงต้นลำพูก็จะนึกถึงแต่หิ่งห้อย กับแม่อังศุมาลินรอพ่อดอกมะลิที่ใต้ต้นลำพู




แต่พอเรือเข้าใกล้ต้นลำพูมากขึ้นเท่าไหร่ ภาพความสวยงามตรงหน้าก็ยิ่งชัดขึ้นและชัดขึ้นเรื่อยๆ 
พี่เค้าจอดเรือแช่ให้พวกเราได้ถ่ายรูปและซึมซับกับภาพตรงหน้ากันอย่างเต็มที่




นึกขอบคุณพี่คนขับเรือกมากๆที่พาพวกเรามาจุดนี้กัน 
เป็นอีกหนึ่งความประทับใจที่คงจะตราตรึงไปอีกนาน




ยอยักษ์และพระอาทิตย์ขึ้นเหนือน่านน้ำ ที่คลองปากประ




นั่งล่องเรือกันเป็นเวลากว่าสามชั่วโมง ระหว่างทางก็จะเห็นนกหลากหลายชนิด 
ล้วนแต่เป็นนกที่ไม่คุ้นตาทั้งนั้น แต่นกที่นี่ดูจะคุ้นกับเสียงเรือกันไม่น้อย
เพราะไม่ว่าเรือขับผ่านอย่างไร เจ้านกน้อยทั้งหลายก็ยังคนยืนหยัดไปหนีหายไปไหนกัน




แต่สิ่งที่เราอยากเจอกันมากที่สุดก็คือ ควายน้ำ เหล่านี้

ควายไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับเลยค่ะ จริงๆแล้วเห็นควายมาตั้งแต่เด็ก 
แต่ก็เป็นควายที่อยู่บนบก ไม่ก็อยู่ในปลักกันไปตามประสา 
แต่ควายน้ำมันคืออะไร???????




จริงๆแล้วควายน้ำมันก็คือควายบ้านธรรมดานี่แหล่ะค่ะ 
แต่เจ้าพวกนี้ปรับตัวเก่ง ในยามปกติพวกเค้าก็จะหากินกันตามพื้นดิน เล็มหญ้ากินกันตามประสาควาย 
แต่เมื่อไหร่ที่เข้าหน้าน้ำหลาก น้ำท่วมผืนดิน ผืนหญ้า แหล่งอาหารของเค้าล่ะก็ เค้าก็จะติดครีบแล้วแปลงร่างเป็นปลา..........

ไม่ใช่ละ......

หน้าน้ำหลาก ทุ่งหญ้าโดนน้ำท่วมเมื่อไหร่ เหล่าควายก็จะลงไปว่ายน้ำหาแหล่งอาหารอย่างสายบัว หรือสาหร่ายกันแทน
เรื่องควายกินสายบัวนี่ก็เพิ่งเคยจะได้ยิน 
หลังจากล่องเรือไป พี่คนขับก็บอกว่าถ้าอยากมาดูทุ่งบัวแดง ต้องมาช่วงเดือนมีนาคม ช่วงนั้นบัวจะบานเป็นทุ่ง
แต่ช่วงนี้บัวออกดอกน้อย แถมออกมาปุ๊บ ควายก็ลงมากินจนเหี้ยนเตียนหมด

ความสงสัยบวกกับเคยเห็นแต่ควายกินหญ้า เลยถามพี่เค้าไปว่า ควายนี่เหรอชอบกินสายบัว

พี่ตอบว่า ของโปรดควายเลยล่ะ!!!!!! 

อร๊ายยยย.........เมื่อคืนเพิ่งจะซัดยำสายบัว แกงส้มสายบัว ส้มตำสายบัวไป นี่ชั้นไปเบียดเบียนแหล่งอาหารควายหรือนี่

แต่เหนือกว่าการตกใจเรื่องควายกินสายบัวแล้ว 
การได้เห็นควายว่ายน้ำด้วยสปีดที่เร็วเหมือนการว่ายท่าฟรีสไตล์ 50 เมตร นั้นเป็นเรื่องที่เซอร์ไพรส์มากกว่ายิ่งนัก 
ควายหรือฉลามเนี่ย.........

พี่คนขับเรือจะให้ความรู้เล็กๆน้อยๆอยู่เป็นระยะๆ อย่างเรื่องควาย 
พี่เค้าก็จะให้สังเกตุว่าเจ้าควายตัวเล็กจะยังว่ายน้ำไม่เป็น ลงน้ำเมื่อไหร่ก็จะเกาะหลังแม่ลอยคอกันไปเรื่อยๆ
เห็นแล้วน่าเอ็นดูเชียวค่ะ




ความสมบูรณ์ของผืนป่ายังมีให้เห็น 
เราจะโดนบิ้วท์จากพี่คนขับเรือเสมอว่า ถ่ายรูปเลยๆๆๆ ต้นไม้แบบนี้ไม่มีให้เห็นที่กรุงเทพนะ 
หรือไม่ก็ของแบบนี้ไม่มีให้เห็นง่ายๆนะ ถ่ายรูปๆๆๆ









ความสวยข้างหน้ามันมากจนทำให้ลืมกังวลเรื่องแสงแดดกันไปเลยค่ะ

ล่องเรือกันเจอแดดแรงบ้าง บางทีก็โชคดีเจอเมฆก้อนใหญ่มาช่วยเป็นร่มเงาให้
แต่แปลกที่พวกเราไม่มีใครบ่นเลยค่ะ 
ทั้งที่แต่ละคนปกติจะห่วงเรื่องหนังหน้ากันไม่ใช่น้อย




สะพานเฉลิมพระเกียรติ ที่มีความยาวกว่า 8 กิโลเมตรแห่งนี้ สร้างคร่อมพื้นที่ชุ่มน้ำระหว่างทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง กับทะเลสาบสงขลา
ยามเย็นที่นี่ก็เป็นไปตามคาดค่ะ มีรถหลายคันมาจอดชมวิว แต่ก็ไม่ได้มากมายจนบดบังทัศนียภาพข้างทางไปนะคะ 
อาจเป็นเพราะเราไปเที่ยวกันวันพฤหัส นักท่องเที่ยวเลยไม่เยอะมาก




แต่ที่มากคือรถที่วิ่งผ่านไปมา จะวิ่งไปถ่ายรูปกันกลางถนนทีไร เจอจังหวะรถวิ่งสวนมาไปเสียทุกที 
อย่างว่าแหล่ะค่ะ ถนนมันเป็นที่สำหรับรถ ไม่ใช่ที่ๆเราจะไปยืนเก็กท่าถ่ายรูปกัน




หลังจากฟินไปกับการล่องเรือแล้วก็กลับมาที่รีสอร์ทกัน ได้เจอกับเพื่อนเจ้าของรีสอร์ท 
เลยขอคำแนะนำเรื่องสถานที่ถ่ายรูปเจ๋งๆ เนื่องจากเห็นพี่เค้าพกกล้อง+เลนส์ตัวเบ้อเร่อ ท่าทางจะรักการถ่ายภาพไม่เบา 

คำตอบที่ได้มาคือ หมู่บ้านเงาะป่าซาไก

เงาะป่าซาไก!!!!!!! แค่ได้ยินหัวใจก็พองโต 
เรื่องราวเกี่ยวกับเงาะป่าซาไกที่เคยเรียนมาเมื่อตอนเด็กๆ วันนี้เราจะได้มีโอกาสเจอตัวจริงหรือนี่

ยิ่งหันไปมองภาพถ่ายที่คุณหนุ่มเจ้าของรีสอร์ทถ่ายไว้ สายตาอันทรงพลังผ่านรูปของเหล่าซาไกยิ่งเป็นสิ่งตอกย้ำให้รู้ว่า
ไม่ไปวันนี้ จะไปกันวันไหน

สอบถามเรื่องการเดินทางได้ความว่าการจะไปหมู่บ้านเงาะป่าซาไกนั้นใช้เวลาขับรถไปประมาณ 1 ชม กว่า และเดินเท้าต่ออีกประมาณ 1 กม 
หลังจากปรึกษาหารือกันในทีมแล้ว ก็ได้ความว่าภูกระดึงยังเคยขึ้นมาแล้ว(นั่นสมัยยังสาวมั้ย) 
ออกค่ายอนุรักษ์ ค่ายดูนก นอนกลางดินกินกลางทราย โบกรถเที่ยว ลำบากกว่านี้ก็ลองมาหมดแล้ว(นั่นมันเมื่อสิบกว่าปีก่อนหรือป่าวยะ) 

สรุปคือทุกคนสู้ตาย 




แต่การไปดูซาไกต้องเตรียมตัวอะไรมั้ย คำตอบคือการไปดูเค้าก็แค่ให้เกียรติเค้า เคารพในวิถีของเค้า
ถ่ายรูปได้มั้ย......ถ่ายได้ แต่อย่าไปสาดแฟลชใส่เค้าเป็นพอ
จากนั้นก็ได้ข้อสรุปว่าเราจะไม่ขับรถไปกันเอง เนื่องจากไม่รู้ทาง 
และรถอัลติสที่เช่ามาก็คงขับไปที่นั่นได้แบบลำบากพอสมควร เลยให้ทางรีสอร์ทจัดหารถพร้อมคนขับมาให้
เจอหน้าคนขับถึงกับฮา นี่พี่คนขับเรือเมื่อเช้านี่นา ความสามารถรอบด้านจริงๆ

ได้รถกระบะตอนครึ่งมา สาวๆสี่คนนั่งเบียดกันไปกะว่าชั่วโมงกว่าๆเดี๋ยวก็ถึง 
ระหว่างทางคนขับรถแนะนำให้ซื้อข้าวสาร ไข่ไก่ไปฝากชาวซาไก พวกเราเลยซื้อนมกล่องติดไม้ติดมือไปอีกอย่าง 
ส่วนพี่คนขับเห็นซื้อขนมติดมือไปด้วยเช่นกัน

นั่งรถไปชั่วโมงกว่าๆก็ยังไม่ถึงเสียที ขยับก้นเปลี่ยนท่านั่งกันแล้วกันเล่าก็ยังไม่ถึงเสียที ยิ่งหนทางยิ่งใกล้ถนนหนทางก็ยิ่งเริ่มขรุขระ
แต่เด็ดกว่านั้นคือช่วงโค้งสุดท้ายก่อนถึงจุดหมาย เรากับพบว่ามีการขุดถนนเพื่อวางท่อทำให้รถผ่านไม่ได้

โอยยยยยย........หัวใจสลาย ผิดหวังกันแบบที่ไม่สามารถจะบอกได้ 
คือเรามากันไกลมากแล้วจะให้ถอยกลับนี่บอกเลยว่าเฮิร์ทมากกกกก
คนขับรถเองก็ดูใจเสียไม่ใช่น้อย เลยขอลงไปสอบถามคนขับรถแบ๊คโฮและเจ้าหน้าที่ที่กำลังขุดวางท่อก่อนว่ารถจะข้ามได้มั้ย
สักพักพี่เดินยิ้มกลับมา บอกว่ารอแป๊บนึง เค้ากำลังถมดินและอัดให้แน่น อีกสักพักรถก็จะผ่านได้ 
ค่อยยังชั่ว..........
พวกเราเลยใช้เวลาช่วงนี้ไปเดินยืดเส้นยืดสายกัน ถึงควรแก่เวลาก็รีบออกเดินทางต่อ




จุดหมายแรกของเราคือการไปหาคนนำทาง
เราได้คุณยายเอื้อน วัย 74 ปี ซึ่งคนขับรถบอกว่าเป็นบุคคลที่รู้จักซาไกดีที่สุดเป็นคนนำทางให้
บ้านของคุณยายเป็นสวนสมุนไพรที่เต็มไปด้วยพรรณไม้จำนวนมาก สงบ ร่มรื่น คุณยายพักอยู่สองคนกับคุณตา

คุณยายเล่าว่าวันดีคืนดีชาวซาไกก็จะเดินลงมาดูทีวีที่บ้านคุณยาย แต่วันนี้โชคไม่ดีที่เค้าไม่ได้ลงมากัน
ถ้าอยากเจอเค้าต้องเดินขึ้นไปหาบนเขาลูกโน้นนนนน......
หันมองไปตามเสียงคุณยายแล้วก็ได้แต่งงว่าภูเขาลูกไหนเนี่ย

คุณยายบอกว่าเราต้องเตรียมออกเดินทางกันเพราะนี่ก็ปาไปบ่ายสามโมงกว่าแล้ว 
ไม่เช่นนั้นขากลับจะมืด ส่วนพวกข้าวสาว อาหารต่างๆที่ซื้อมาให้เอาไว้ที่บ้านคุณยาย เดี๋ยวซาไกจะลงมาเอาเอง 

ใจเราอยากแบกขึ้นไป แต่พี่คนขับบอกว่าเอาไปแค่น้ำคนละขวดพอ ขืนหอบไข่ไก่ขึ้นไป มีได้แตกกลางทางแน่นอน
คุณยายแนะนำให้เอาไม้ไปคนละอัน เอาไว้ค้ำยันเวลาเดิน ตอนแรกเราปฏิเสธ แต่คนขับรถบอกว่าเอาไปเหอะ 
ได้ใช้ประโยชน์แน่นอน.........




ถามคุณยายว่าใช้เวลาแค่ไหนจึงจะถึง คุณยายบอกว่าครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว
เอ้าาาา ลุยยยยยย

แค่ด่านแรกกับการเดินข้ามน้ำตกบนขอนไม้ใหญ่ที่ทอดเป็นสะพานก็เอาบางคนในทีมแทบไม่รอดแล้ว 
ดีที่ได้ไม่ที่คุณยายให้ถือติดตัวมาช่วยค้ำยันไม่ให้ตกจากสะพานกัน

หลังจากนั้นเราก็เดินขึ้นเขากันอย่างต่อเนื่อง คือถ้าคนที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอคงไม่มีปัญหาอะไร 
แต่กับคนที่ชีวิตนี้ไม่เคยออกกำลังกายแม้แต่น้อยอย่างเรา บอกได้เลยว่าการปีนเขาแค่ไม่กี่เมตรมันทำเอาหัวใจแทบทะลุอกออกมา 
อีกทั้งแดดที่ร้อนมากก็ยิ่งทำให้เหนื่อยจนไม่อยากจะพูดจะคุยกับใครเลยแม้แต่น้อย 

เราต้องแบ่งกันเป็นสองทีม ใครเดินเร็วก็เดินตามคุณยายขึ้นไปก่อน 
ส่วนบางคนต้องแวะพักเป็นระยะๆ เพราะมีอาการหน้ามืด เลยให้พี่คนขับรถดูแลและเดินตามกันมาช้าๆ

บางคนในทีมไม่เคยแม้แต่จะเดินป่า ไม่เคยแม้แต่จะขึ้นเขา กายไม่พร้อมแต่ใจพร้อมกันเต็มที่ 
ระหว่างทางก็ถอดใจกันเป็นช่วงๆ แต่เสียงคุณยายบอกว่าอีกไม่ไกลแล้ว ก็เป็นตัวฉุดให้พวกเราลุกเดินต่อไป 
อีกทั้งคนขับรถก็ทำหน้าที่บิ้วท์เช่นเคยว่า ไปให้ถึงเหอะแล้วจะติดใจจนไม่อยากลงมา

ระหว่างทางเราโชคดีเจอซาไกกลุ่มนึงเดินกลับมาจากการหาอาหาร คุณยายเลยชวนนั่งคุย ถือเป็นโอกาสให้พวกเรานั่งพักไปในตัว
เพื่อนเราแบกนมขึ้นมา 6 แพ๊ค เลยถือโอกาสแจกเด็กๆไปตอนนั้นเลย เห็นเด็กๆดูดกันอย่างเอร็ดอร่อยก็ชื่นใจคนที่แบกมา




ระหว่างนั้นเห็นชายซาไกที่อาวุโสสุดในกลุ่มคุยกับคุณยายเลยถามว่าเค้าพูดว่าอะไร 
คุณยายบอกว่า เค้าบอกให้รีบออกเดินทางกันต่อ เพราะได้ยินเสียงช้าง
โอ้ววววว.......ชะ ช้าง ช้างงงง 

เราตกใจไม่น้อยกับคำนี้ แต่เมื่อคนขับรถซักถามกันกับคุณลุงซาไกกันซักพักก็หัวเราะ 
หลังได้ความว่าลุงแกได้ยินเสียงรถขุดถนนเป็นเสียงช้าง พอบอกแกไปว่านั่นไม่ใช่ช้างแกถึงกับหัวเราะแบบเขินๆออกมา 
(เราฟังเค้าคุยกันไม่รู้เรื่องหรอกค่ะ ต้องคอยถามจากคุณยายและคนขับรถเอาว่าเค้าพูดอะไรกันบ้าง)

นั่งสักพักกลุ่มซาไกก็ออกเดินทางกัน เราเลยถือโอกาสเดินตามเค้ากลับไปที่หมู่บ้านด้วย 
คุณยายบอกอีกครั้งว่า ใกล้แล้ว.....
แต่ใกล้ของคุณยาวมันยาวไกลเหมือนไม่มีจุดสิ้นสุดสำหรับเราเลยค่ะ 
เราเดินกันช้าลงๆๆๆจนซาไกกลุ่มนั้นหายไปกับสายตา

ทางก็ชันขึ้นเรื่อยๆ พวกเราก็ยิ่งใช้เวลาในการปีนป่ายนานขึ้น 
จนต้องถามคุณยายว่า หนูถามรอบสุดท้ายนะคะว่าอีกไกลมั้ย คุณยายก็ตอบเหมือนเคยว่าใกล้แล้ว
เลยแซวคุณยายไปว่า......บอกหนูมาแบบนี้ตั้งแต่ออกจากบ้านละนะ

คุณยายบอกนั่นไง มองไปข้างบน เห็นมั้ยๆ (แว่นก็ไม่ได้ใส่ คอนแทคเลนส์ก็ไม่เอามา บอกตรงๆหนูไม่เห็นค่ะยาย.........)




ณ ตรงหน้าเราคือต้องปีนป่ายข้ามต้นไม้ใหญ่ที่ล้มขวางทาง 
อีกทั้งเกาะเกี่ยวเถาวัลย์และกิ่งไม้ข้างทางเพื่อนไต่ระดับขึ้นไปอย่างช้าๆ 

เราตามคุณยายไปจนได้ยินเสียงเด็กร้อง 
เสียงนั้นเหมือนเสียงสวรรค์เลยทีเดียว..........
เราตะโกนบอกเพื่อนร่วมทีมที่หยุดเดินและกำลังท้อว่าให้อดทนอีกนิดเดียว หมู่บ้านเงาะป่าซาไกอยู่ข้างหน้าแล้วจริงๆ

ทุกคนรวบรวมแรงฮึดและเดินตามกันมาจนถึงจุดหมาย 
ภาพตรงหน้าคือทับ ซึ่งคือที่พักของพวกเค้า ทำด้วยกิ่งไม้และใบไม้ และจะจุดไฟไว้ให้ความอบอุ่นภายในทับ

เราเห็นทับมีอยู่ประมาณ 5 หลัง มีผู้หญิง เด็กเล็กนั่งกันอยู่จำนวนไม่น้อย แล้วหายเหนื่อยเลยค่ะ




เด็กน้อยตาใสนั่งมองพวกเราด้วยสีหน้าที่ไม่ไว้วางใจ 
แต่ดูทุกคนจะสนิทกับคุณยายมากพอสมควร เห็นคุณยายเรียกชื่อได้ทุกคน

คุณยายช่วยเรียกเด็กๆมารับนมและขนมไปทานกัน เด็กๆดูท่าทางติดใจนมกล่องกันน่าดู 
ได้ความว่าไม่ค่อยมีคนถือนมติดมือขึ้นมามากนัก เพราะมันค่อนข้างจะหนัก

แปลกใจที่เราไม่เห็นผู้ชายอื่นเลยนอกจากคุณลุงซาไกที่ดูอาวุโสคนที่เราเจอระหว่างทาง 
ถามคนขับรถได้ความว่าช่วงบ่ายผู้ชายจะออกไปหาอาหารกัน กว่าจะกลับก็ค่ำๆ

ซาไกทานมันเป็นอาหาร นานๆที่จะได้สัตว์ป่าเล็กๆมาทานกัน 
ได้ยินคุณยายบอกพวกเค้าว่าที่บ้านมีข้าวและไข่ไก่ ให้ลงไปเอากันด้วย

แต่ปัจจุบันป่าโดนบุกรุกทำให้แหล่งอาหารของพวกเค้าน้อยลงเรื่อยๆค่ะ 
พวกเค้าจะย้ายที่อยู่กันไปเรื่อยๆนะคะ อาหารหมดก็ได้เวลาหาที่พักใหม่ 
แต่ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนคุณยายก็จะตามไปหาพวกเค้าจนเจอค่ะ

คุณยายเล่าให้ฟังว่าก่อนหน้าที่เราจะมาไม่กี่วันก็มีคนจากทางการขึ้นมาเยี่ยมดูความเป็นอยู่เค้า 
มีการจัดทำบัตรประชาชนให้ 
จริงๆคุณยายก็ชวนเด็กๆให้ไปเรียนหนังสือนะคะ 
โดยคุณยายเสนอตัวจะไปรับส่งที่โรงเรียนให้ แต่เด็กๆก็ปฏิเสธค่ะ




นั่งมองชีวิตของเด็กๆที่นี่แล้วก็ทึ่งในวิถีของเค้านะคะ เค้ามีความสุขกันบนพื้นที่เล็กๆของเค้า 
เด็กๆดูร่าเริง ของเล่นของพวกเค้าคือเถาวัลย์ เผลอแป๊บๆคนโน้นคนนี้ก็วิ่งไปโหนเถาวัลย์ยังกะทาร์ซาน

ไอ้เราก็ร้องวี๊ดว้าย กลัวเด็กร่วงตกลงมา แต่พี่เค้าบอกว่าไม่ต้องตกใจ 
เด็กพวกนี้โหนแล้วตกลงมา เดี๋ยวเค้าก็ปีนขึ้นมาเอง เค้าโตมาแบบนี้อยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง




ซาไกตัวจิ๋วที่เพิ่งคลอดได้ไม่กี่วัน
เห็นพี่ชายจับโยน จับถูไถไปกับเปล ป้าๆที่ยืนมองหัวใจจะวาย

เราใช้เวลาอยู่กับพวกเค้าไม่นานค่ะ เพราะตอนนั้นก็ปาไปห้าโมงกว่าแล้ว เรากลัวว่าขาลงเขาจะลื่นไถลกัน
เลยต้องรีบบอกลาพวกเค้ากัน ทั้งที่ใจอยากจะอยู่ต่ออีกสักพัก 
เนื่องจากบริเวณทับของพวกเค้ามันร่มรื่น อากาศเย็นสดชื่นมากมายเลยทีเดียว
เป็นไปได้ก็อยากจะเอาเปลมาผูกนอนเสียด้วยซ้ำ

ขาลงใช้เวลาเดินเร็วต่างกับขาขึ้นโดยสิ้นเชิงค่ะ แต่ก็มีลื่นไถลเป็นช่วงๆตามคาด
ดีที่มีต้นไม้ กิ่งไม้ให้เกาะเกี่ยว ไม่ให้กลิ้งหลุนลงไปที่ตีนเขา

ลงมาถึงบ้านคุณยาย เห็นน้ำตกที่ข้างบ้านคุณยาย ยิ่งกว่าเป็นน้ำทิพย์ใดๆกันเลย
ทุกคนวิ่งลงไปล้างหน้าล้างตา ล้างหัว ล้างเนื้อตัวที่เหนียวเหนอะไปด้วยเหงื่อ
น้ำใสไหลเย็นจนแทบอยากจะทิ้งตัวลงไปในน้ำกันเลย
ติดตรงที่ไม่ได้เอาเสื้อผ้าชุดใหม่ติดตัวมาด้วย




ถึงแก่เวลา เราก็บอกลาคุณตาคุณยายกันไป
(เสียดายมากค่ะ ที่มัวแต่เหนื่อยกัน จนคุณช่างภาพลืมถ่ายรูปคุณยายมาด้วย)

กลับถึงที่พัก เจอคำถามจากผู้ที่แนะนำว่า
เป็นยังไงบ้างกับการไปหมู่บ้านเงาะป่าซาไก ดีมั้ย สนุกมั้ย

ดีค่ะ..........

แต่จะดีกว่านี้ถ้าพี่ไม่แนะนำให้ไป 

ฮาครืนกันทุกคนค่ะ












นอกจากการท่องเที่ยวธรรมชาติแล้ว พื้นที่ชุมชนริมทะเลน้อยยังมีกิจกรรมท่องเที่ยวชุมชน วิถีชีวิต ที่บ้านทะเลน้อย 
พาสัมผัสกับการทำกระจูด และปลาดุกร้า และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถซื้อติดไม้ติดมือเป็นของฝากกลับไปได้




ส่วนใครอยากสัมผัสชีวิตสัตว์ป่าอย่างใกล้ชิด
ก็แนะนำให้ขับรถไปดูฝูงจ๋อกันได้ค่ะ

คุณหนุ่มแนะนำมาเช่นกัน ตอนเช้าขับรถออกมาไม่ไกลจากรีสอร์ท
ก็จะเห็นบรรดาเจ้าจ๋อพวกนี้ตามต้นไม้ข้างทาง ไม่ต้องขับเข้าไปหาไกลเลยค่ะ
แต่ว่าถ้าสายหน่อย พวกเค้าก็จะไม่อยู่แล้วนะคะ 
อยากเจอก็แนะนำให้ไปเร็วหน่อย




เรามาแอบซุ่มดูเค้า 
ก็โดนซุ่มดูกลับเช่นกันค่ะ


ไหนก็แวะลงที่ตรังกันแล้ว เราก็ถือโอกาสเที่ยวตรังกันไปด้วยเลย

สถานีรถไฟกันตัง
ได้คุยกับหัวหน้าสถานี ได้ความมาว่าที่มีมีอายุมาร้อยกว่าปีแล้ว
สถานีเล็กๆ ที่คนจะพลุกพล่านเฉพาะในช่วงเทศกาล

สอบถามเรื่องอาหารการกิน ได้คำแนะนำจากหัวหน้าสถานีว่ามาเที่ยวตรังก็ต้องลองทานหมูย่าง ติ่มซำ
แต่ที่นี่เค้าทานของพวกนี้เป็นอาหารเช้ากัน ใกล้เที่ยงแบบนี้ของหมดแล้ว

เราก็ฟังแล้วยังไม่เชื่อนะคะ เพราะงงว่าเป็นไปได้เหรอที่เค้าขายเฉพาะช่วงเช้า
เลยดันทุรังขับรถเข้าเมืองไปหาหมูย่าง ติ่มซำทานกัน

สรุปก็เป็นไปตามที่หัวหน้าสถานีรถไฟกันตรังบอก
ร้านหมูย่าง ติ่มซำปิดหมดทุกร้านจริงๆ





พิพิธภัณฑ์พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี

บ้านพักของพระยารัษฏานุประดิษฐ์ เมื่อครั้งเป็นเจ้าเมืองตรัง
ตัวบ้านเป็นเรือนไม้แบบเก่า  สองชั้น  อยู่บนเนินท่ามกลางบรรยากาศธรรมชาติและแมกไม้เขียวชอุ่ม 
เดินเข้าไปในบ้านแล้วเย็นสบาย เลยพาลไปนึกถึงบ้านที่ต่างจังหวัดเมื่อสมัยก่อนเลยค่ะ




เด็กน้อยเมืองตรัง มาถ่ายรูปชุดครุยจิ๋วกันที่พิพิธภัณฑ์




3 วัน 2 คืน ที่เราใช้ทุกช่วงเวลากันเต็มที่มาก
เต็มที่จนคิดว่าเราสามารถข้ามขีดจำกัดของร่างกายกันไปได้อย่างไร

ที่เต็มที่อีกอย่างคือเราสนุกกันเต็มที่ หัวเราะกันเต็มที่ มีความสุขกันอย่างเต็มที่
แม้บางครั้งจะมีคำว่าเหนื่อยเต็มที่เข้ามาขวางบ้าง

ขอบคุณเพื่อนร่วมทริปของเรา
ขอบคุณทุกคนที่มีส่วนร่วมไม่ว่าจะเป็นคนขับเรือ แม่ครัว เจ้าของรีสอร์ท เพื่อนเจ้าของรีสอร์ท แขกที่มาพักที่รีสอร์ท
ที่ทำให้เรารู้สึกว่าทุกเช้าที่ตื่นมา เหมือนเราตื่นมาที่บ้านตัวเอง ออกมาทานอาหารเช้า และนั่งคุยกับทุกๆคน เหมือนกันว่าเรารู้จักกันมาก่อน

ขอบคุณคุณยายวัย 74 ปี ที่พาเราขึ้นเขาไปหาซาไก รวมทั้งแรงกระตุ้นที่คุณยายมีให้ตลอดเส้นทางเดิน

ขอบคุณมิตรภาพจากเพื่อนทางเฟส ที่นำพาคุณช่างภาพไปถ่ายรูปสนามบินตรัง ระหว่างรอขึ้นเครื่อง

และท้ายสุด อยากขอบคุณทุกภาพที่นำพาพวกเราไปถึงที่นี่กัน
ทุกภาพที่ทำให้เรารู้ว่า

เที่ยวเมืองไทย ไม่ไปไม่รู้................


ขอบคุณข้อมูลจาก Pantip
Cr. samitdoc