รีวิว จุดเริ่มต้น ความฝัน และการเดินทาง... ณ หุบเขาวง

https://www.facebook.com/profiletravel/ <<ติดตามการเดินทางครั้งต่อไปได้ที่นี่

                ใครหลายๆคนคงอยากลองเริ่มต้นอะไรใหม่ๆบ้าง แต่ยังไม่กล้าที่จะลอง หรืออาจจะมีเหตุผลอื่น แต่เราแนะนำให้คุณทำมันวันนี้เลย อย่างน้อยอีก10 ปีหรือ20 ปี คุณจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจกับมันทีหลัง  ไอ้ต่อมความคิดที่อยากจะออกไปซ่าก็เริ่มทำงาน อยากลองทำกระทู้ท่องเที่ยวดู ปกติก็เที่ยวอย่างเดียวไม่เคยคิดจะเอามาบอกต่อใคร และนี่คงเป็นจุดเริ่มต้นความฝันเล็กๆของพวกเรา ที่จะได้ออกไปท่องโลกแบบบ้าๆซักที เปิดเวปตอนนั้นเลยค่ะ ถามอากู๋ ว่าหุบเขาวงเป็นยังไง รายละเอียดไม่ค่อยแน่ชัด!! เบอร์โทรศัพท์ที่ได้มาก็โทรไม่ค่อยติด!! พอติดก็ไม่มีคนรับ ฟ้ากลั่นแกล้งฉัน...  ผ่านไป2วัน วันที่3 ที่เริ่มท้อแท้ และวันนี้เป็นวันที่ฟ้าประทานพรมา และเราก็โทรติดค่ะ จองที่พักเรียบร้อย ยืนปลื้มปรื่มอยู่คนเดียวซักพัก 
  รีบโทรไปบอกช่างภาพของเรา"เราได้ไปเที่ยวเว้ยยยแกรรรรร" วันที่เรากำหนดเดินทางคือ วันจันทร์-วันอังคาร ซึ่งเป็นวันธรรมดา แอบคิดว่า วันธรรมดาคนน้อยแน่นอนน .... นั่นเป็นแค่ความคิดในจินตนาการค่ะ

            วันที่1 เดินทาง

         เราออกจากบ้านประมาณ 10โมงเช้า ระหว่างการเดินทางเราพึ่งGoogle maps ตลอดการเดินทางค่ะ เรากดค้นหาไปที่ วัดพุน้ำร้อน ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี ซึ่งเป็นทางเข้าของหุบเขาวงนั่นเองงงง


เห็นป้ายแล้วเลี้ยวขวาเข้าไปแล้วเราจะเจอซอยเลี้ยวซ้ายเข้าไปค่ะ ไปตามทางเรื่อยๆ ระหว่างจะมีธรรมชาติให้คุณสัมผัส แล้วหนทางที่งง จะมีป้ายบอกทางเล็กๆตามทาง สังเกตุดีๆ 

   พอเห็นทางแยกยังงี้เลี้ยวซ้ายค่ะ ผ่านเนินเล็กๆมาก็ถึงแล้ว อ่างเก็บน้ำหุบเขาวงงงงงง  ลงจากรถแล้วก็ยืนงงสักพัก เราต้องเช็คอินตรงไหนเนี่ย? พอดีเห็นคนไปยืนมุงอยู่ตรงร้านขายน้ำ เลยเดินเข้าไปถาม "พี่คะ หนูจองห้องพักไว้ค่ะ " ได้คำตอบมาว่า "เขียนชื่อลงในสมุด" เราก็เขียนอย่าง งงๆ เขียนเข้าพักในสมุดเอง ใช่ค่ะเขียนชื่อเองเขียนราคาเองด้วย ฮ่าๆ  เราไม่รู้ราคานี้!!  พอเขียนเสร็จแล้วก็งงแปปนึง " อ๋ออ!นี่เราเช็คอินเสร็จแล้วใช่ไหม ?? "
เช็คอินเสร็จแล้ว เราได้แพหมายเลข2ค่ะ   หมายเหตุ*แพสามารถลากไปไหนก็ได้ แค่แจ้งเจ้าหน้าที่ 
เดินออกมาจากจุดเช็คอินอากาศค่อนข้างร้อนค่ะ เพราะเป็นเวลาบ่ายโมง เลยนั่งหลบร่มในศาลาที่เป็นจุดชมวิว


พวกเรานั่งชมนกชมไม้กันได้ซักพักนึงก็มี พี่คนนึงเดินเข้ามา ยื่นสมุดให้เขียนลงเยี่ยม สอบถามนู้นนี่ทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวที่ดี เวลาเขาคุยกับนักท่องเที่ยวคนอื่นเราก็แอบฟัง พี่เขาชื่อวันเพ็ญค่ะ เป็นหัวหน้าชมรมทอผ้าอยู่ที่นี้ และผ้าซิ่นพี่เขาสวยมาก เรียกว่าผ้าซิ่นตีนจก เป็นลายโบราณ หายากแล้ว  ราคาอยู่ที่ 3,000-20,000 บาทไทยค่ะ  
พอแดดเริ่มเบาลง ท้องก็เริ่มร้องหาอาหารค่ะ มาถึงแล้วต้องลองค่ะ เดินไปกับช่างภาพของเราแล้วยกตำแหน่งตัดสินใจให้เขาแต่เพียงผู้เดียว ถ้าไม่อร่อยจะได้ด่าได้ และนี่คืออาหารบ่ายของพวกเรา

ชิมไปคำแรกบอกเลยว่า มันดี รสชาติดี ไม่แพงอีกด้วย กินแบบชมนกชมไม้ ชิวๆ คนเริ่มทยอยเข้ามาเยอะค่ะ บางคนมาถ่ายรูปแล้วก็กลับ มาพักแบบกางเต็นก็เยอะ บรรยากาศเริ่มคึกครื้น จากนั้นเราก็ขนของเข้าที่พักกันค่ะ 


และแน่นอนเที่ยวภูเขาแบบนี้มียุงแน่นอน และพวกเราไม่มียากันยุงงง แปลว่าพวกเรามีเกาะกำบังเพียงอย่างเดียวคือมุ้ง นี่แหละชีวิตวัยรุ่นน               ปล*แนะนำให้ซื้อซอฟเฟล หรือตะไคร้หอมหรืออะไรที่พอจะคิดออกเกี่ยวกับการกันยุงมาด้วย 
ด้วยพื้นที่เป็นไม้ไผ่แล้วปูไม่สนิทกันโปรดระวังของล่วงจากแพ เป็นไปได้เอาของวางไว้บนที่นอนค่ะ สำรวจห้องน้ำต่อ ตอนนี้กำลังต่อเติมห้องน้ำเพิ่มค่ะ เป็นห้องน้ำรวม 

และมีจักรยานน้ำให้ปั่นชมวิวด้วยค่ะ นั่นคือช่างภาพของเราค่ะ ปรบมือออ 


พยายามซึมซับบรรยากาศ ฮ้าาาา สดชื่นจัง   

พระอาทิตย์เริ่มตกดิน ถึงเวลาของเราที่จะไปถ่ายรูป


นี่คือวิวจากแพของเรา เห็นแพใหญ่ตรงนั้นไหมคะ นั่นเป็นแพอาหาร นั่นคือสิทธิพิเศษสำหรับผู้ที่จองแพเท่านั้น และอาหารเย็นวันนี้พี่วันเพ็ญแอบเดินมาบอกพวกเรา คือ ปลาเผา ที่เลี้ยงอยู่ในอ่างเก็บน้ำค่ะ /สงสัยจะเห็นเราเป็นพวกกินแหลก ชาวบ้านเลี้ยงปลาในกระชังตรงกลางของแพอาหารค่ะ
เราจะไม่วอกแวกค่ะ ถึงเขาจะเอาอาหารมาล่อเรา ถ่ายรูปต่อค่ะ


พอตกเย็น เจ้าหน้าที่จะมาเรียกตามแพที่พักค่ะ ให้เราไปรอตรงท่าเรือเพื่อข้ามไปแพอาหาร 
และนี้คือโฉมหน้าอาหารของเรา

        นี่กินกันแค่2คนนะคะ อยากบอกว่าน้ำพริกเผ็ดหูดับค่ะ  ควรหลีกเลี่ยงสำหรับผู้ไม่กินเผ็ด*
               จากนั้นเราก็ได้เพื่อนใหม่เพิ่มอีก3ท่าน เป็นเพื่อนใหม่ต่างวัยของเราเอง นั่งคุยกันไปเรื่อยเปื่อยค่ะ และเราก็เปลี่ยนเป้าหมายไปคุยกับคุณลุงคนที่ทำกับข้าวให้เรากิน คุณลุงเล่าให้ฟังว่า "วันศุกร์-อาทิตย์ คนเยอะมากๆ  ที่นี่อาจจะยังใหม่คนเลยแห่กันมา บางคนมาแล้วก็มาต่อว่า ว่าทำไมถึงไม่เห็นสวยไม่เห็นดีเหมือนที่ริวิวในเวปเลย”  ซึ่งคุณลุงไม่รู้จักนะคะ ว่ารีวิวในเวปคืออะไร คุณลุง เล่าให้ฟังต่อว่า 
    “บางคนจองไว้แล้วมาถึงก็จ่ายเงินแล้วเขาก็ออกไปเลยยังไม่ทันจะได้เดินชมอะไรเลย เขาเห็นว่ามันไม่ดีเขาก็ออกไป” คิดในใจตอนนั้นว่า ไม่ดีตรงไหนเนี่ย งงมาก   อยากอธิบายให้คนที่กำลังจะไป ฟังนะคะ  ที่หุบเขาวงพึ่งเปิดให้เข้ามาเที่ยวเมื่อเดือนธันวาคม ชาวบ้านที่นี่ค่อนข้างใหม่กับการทำสถานที่ท่องเที่ยว ใหม่กับการต้อนรับหรือการบริหารจัดการ ทุกอย่างที่มีในนั้นคือการร่วมมือร่วมใจของชาวบ้าน แพทุกหลังที่ให้เราไปพักก็คือชาวบ้านช่วยกันต่อขึ้นมา 
        ถ้าคำว่าไม่เห็นจะสวยไม่เห็นจะดีของคุณนั้น หมายความว่า ไม่มีที่พักสบายๆ ไม่มีแอร์เย็นๆไม่มีเตียงคิงไซต์  ไม่มีสัญญาณมือถือ หรือ ความไฮเทคใดๆ นั่นแปลว่า คุณคงไม่เหมาะกับการเที่ยวแบบระบบเชิงนิเวศ เราไม่รู้ว่าคุณให้คำจำกัดความของคำว่าสวยเป็นยังไง  เรามาเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และเรียนรู้ เราไม่ได้มาเพื่อตัดสินใคร หรือเปลี่ยนแปลงอะไร อยากฝากผู้ที่จะไปเที่ยวตามธรรมชาตินะคะ อยากให้เข้าใจ ชาวบ้านเขาทำเท่าที่เขาทำได้ นี่คือวิถีชีวิตของเขา หลังจากทานข้าวเสร็จเราก็แยกย้ายกันเข้าที่พักค่ะ พักผ่อนตามอัธยาศัย
และนี้คือวิวจากที่พักของพวกเรา 

มาแล้วครับ สิ่งที่กังวลเอาไว้ ร้อนแน่ๆ แล้วมันก็ร้อนจริงๆด้วย ช่วงหัวค่ำถึง5ทุ่ม อากาศร้อนอบอ้าว นั่งข้างนอกก็ยุงกัดนั่งในมุ้งก็ร้อน  แต่หลังจากเที่ยงคืนเป็นต้นไป อากาศเย็นเหมือนเปิดแอร์ซัก16องศา และก็ถึงเวลานอนของเราค่ะ


เช้าวันที่2 
ตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่นนน รีบล้างหน้าล้างตาไปที่จุดชมวิว เจ้าหน้าที่จะนำชาสมุนไพรใส่กระบอกไม้ไผ่มาให้เราค่ะ 
เดินชมนกชมไม้ ไปเรื่อยๆ ก็ถึงเวลาอาหารเช้า และพวกเราจะไม่รอ เพราะพวกเราหิวมากถ้าว่ายน้ำแล้วถึงเร็วกว่าแพเราคงทำไปแล้ว และนี่คือเพื่อนใหม่ต่างวัยของเราทั้ง3คนค่ะ ขออนุญาตลงรูป



อาหารพื้นๆที่โครตจะดีเมื่อถึงท้องของเรา เป็นอันจบไปหนึ่งมื้อ ขอเติมได้นะคะสำหรับคนที่ไม่อิ่ม ชาวบ้านใจดีค่ะ
แล้วเราก็กลับมาที่แพของเราเพื่อเก็บของกลับบ้านค่ะ

     สรุปรายละเอียดที่พัก  
-ค่าที่พักแพเล็ก คนละ 300 บาท ต่อท่าน/1คืน มีอาหารเย็น+อาหารเช้า
-แพเล็กไม่รวมอาหาร 400 บาท ต่อแพหนึ่งหลัง/1คืน
-ค่าบริการกางเต็น หลังละ 50 บาท มีเต็นให้เช่า 200 บาท
-ค่าบริการตกปลา คันละ 20บาท
ติดต่อสอบถามได้ที่ คุณสนธยา 0924933833 
หมายเหตุ***งดโทรเข้าเบอร์ผู้ใหญ่ชุม


"ธรรมชาติอยู่ได้ถ้าไม่มีเรา แต่เราอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีธรรมชาติ" /พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ขอบคุณข้อมูลจาก Pantip