รีวิว เที่ยวอีกละนะ ณ ม่อนทูเล-ม่อนคลุย จ.ตาก


“การออกเดินทางท่องเที่ยว เป็นการเพิ่มประสบการณ์ให้กับชีวิต แล้วยิ่งถ้าได้ไปกับเพื่อน ๆ ด้วยแล้ว มันก็จะมีทั้งความมันส์ และความฮา เพิ่มมาอีกด้วย”
ทริปขึ้นดอย ของ #ผู้หญิงนวลนวลชอบเที่ยว , #การเดินทางของกะจิ๊ดลิ๊ด , #ชะนีนักวิ่ง , #ผู้หญิงออฟไลน์ , #ExSHIMoNeeO และ #NumchokeisaCat

“การออกเดินทางท่องเที่ยว เป็นการเพิ่มประสบการณ์ให้กับชีวิต แล้วยิ่งถ้าได้ไปกับเพื่อน ๆ ด้วยแล้ว มันก็จะมีทั้งความมันส์ และความฮา เพิ่มมาอีกด้วย”
ทริปขึ้นดอย ของ 
ผู้หญิงนวลนวลชอบเที่ยว , การเดินทางของกะจิ๊ดลิ๊ด , ชะนีนักวิ่ง , ผู้หญิงออฟไลน์ , ExSHIMoNeeO และ NumchokeisaCat

ในครั้งนี้พวกเราทั้ง 6 คนเดินทางไปขึ้นดอยกันที่ ม่อนทูเล ม่อนคลุย จ.ตาก
จุดเริ่มต้นของพวกเรา คือ อยากสัมผัสอากาศเย็น ๆ สบาย ๆ ได้ไปเที่ยวด้วยกัน อยากขึ้นดอย เดินป่า ปีนเขากัน จึงเริ่มหาข้อมูลต่าง ๆ จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย จนสุดท้ายเราสรุปกันที่ ม่อนทูล ม่อนคลุย จ.ตาก และด้วยประสบการณ์เดินป่าโหด ๆ ของเราก็มีไม่มาก จึงต้องหาข้อมูล และผู้รู้มากมาย เพราะพวกเราไม่อยากอดตาย กันในป่า ที่สำคัญที่สุดคือ ไม่อยากเสียเงินเยอะโดยไม่มีประโยชน์ (ก็พวกผมเป็นมนุษย์เงินเดือนนิฮ่ะ) จึงต้องขอขอบคุณ MXD น้าชายสุดหล่อที่ให้ข้อมูลมากมาย
    หลังจากที่รวบรวมข้อมูล และสิ่งของที่จำเป็นได้เรียบร้อย เราก็เริ่มเดินทางกันเถอะ
ก่อนเดินทาง 1 สัปดาห์ เราก็โทรไปจองกับเจ้าหน้าที่ของ อบต.ท่าสองยาง เพื่อจองว่าเราจะไป และต้องจองรถ จองลูกหาบ ไว้ด้วย ติดต่อได้ตามเบอร์นี้เลยจ้า (ใส่รูปจากมือถือนุ่น) ค่ารถรับ ส่ง อบต. ทางขึ้นม่อนทูเล รับกลับ ม่อนคลุย อบต. ราคาเหมาแล้ว 1800 บาท (และสามารถสั่งอาหารมื้อเย็น เครื่องดื่ม สำหรับวันที่ไปนอนที่ม่อนคลุยได้ด้วย) แต่ก็เกิดปัญหาที่ครั้งแรกที่โทรไปจอง เจ้าหน้าที่ไม่ได้ลงชื่อไว้ให้ ต้องเช็คกันสาม สี่รอบ กว่าจะมีชื่อในรายชื่อผู้เดินทาง แล้วสุดท้ายเราก็มีชื่อในรายชื่อ
8 ธันวาคม 2558 เวลา 19.00 น.
นัดเจอกันที่บ้านหลังหนึ่งในกรุงเทพฯ เพื่อทำการรวมอุปกรณ์ต่าง ๆ ลงในกระเป๋าใบใหญ่ ๆ  ก็รวมมาได้ 2 กระเป๋าใหญ่ ๆ มาก ใบแรก สำหรับเต๊นท์ ถุงนอน แผ่นรองนอน ฟรายชีท ผ้าใบ และอีกกระเป๋าหนึ่งที่สำคัญมากคือ เสบียง เนื่องจากทักษะในการทำอาหารของพวกเรา ไม่ควรนำไปเสี่ยงบนนั้น จึงตัดสินใจที่จะเตรียมทุกอย่างให้มันสำเร็จรูปจะดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็น ข้าวสวยสำเร็จรูป ปลากระป๋อง ปลาทูน่าสำเร็จรูป และบะหมี่กึ่งสำเร็จ และขนมที่เยอะแบบที่เกือบจะยัดลงกระเป๋าไม่หมด 
และจากการศึกษามา เราก็ได้ข้อสรุปว่า ถ้าจะกินน้ำบนนั้นเราต้องแบกขึ้นไปเอง หรือกินน้ำจากน้ำตกเอา ซึ่ง....เราก็ไม่สามารถมั่นใจเรื่องของความสะอาดได้ จึงได้เตรียมผงแกว่งน้ำ(ไม่รู้จะเรียกมันว่าอะไรดี) เอาไว้เพื่อไปทำให้น้ำตกนั้นตกตะกอนแล้วเราก็เอาน้ำนั้นมาใช้ ย้ำว่าเอาไว้ใช้นะ ถ้าจะกินต้องต้มก่อน แต่รสชาดของมันก็ไม่เหมาะกับการกินมันเข้าไปอยู่ดี เมื่อแพ็คของเรียบร้อย ก็แยกย้ายกลับบ้าน เพื่อทำงานวันพรุ่งนี้วันสุดท้าย
9 ธันวาคม 2558 
พูดได้คำเดียวว่า ตื่นเต้นมาก ลืมตาขึ้นมาก็อยากให้เป็นตอนเย็นกันเลยทีเดียว แต่เราก็ต้องทำงานอย่างอดทน จนกระทั้ง....
19.00 น. เวลาที่พวกเรานัดกันไว้ว่าจะมารวมตัวกัน แต่เนื่องจากการจราจลที่ติดมากมาย ทำให้พวกเราออกจากบ้านช้าไปเกือบชั่วโมง
20.00 น. ExSHIMoNeeO, NumchokeisaCat, ผู้หญิงนวลนวลชอบเที่ยว, การเดินทางของกะจิ๊ดลิ๊ด ก็เดินทางออกจากบ้าน ด้วยความกรุณาจาก พ่อหมีพาพจญภัย ขับรถไปส่งที่ สถานีขนส่งหมอชิต โดยเราจะไปเจอกับ ชะนีนักวิ่ง และผู้หญิงออฟไลน์ที่นู้นเลย 
    อย่างที่บอกว่า รถติด ดังนั้น ความหวังในการไปรับตั๋วรถบัสจึงไปตกอยู่กับ ผู้หญิงออฟไลน์ ซึ่งอยู่ใกล้มากกว่า แล้วเรื่องตื่นเต้นอีกเรื่องคือ หนึ่งทุ่มกว่าแล้ว ชะนีนักวิ่ง ยังไม่ถึงห้องพัก ยังไม่ได้เก็บกระเป๋า ยังไม่ได้เตรียมอะไรเลย เพราะนางมัวแต่ไปวิ่งอยู่แถว ๆ อยุธยา



21.15 น. ผู้หญิงออฟไลน์บอกว่า ได้ตั๋วรถแล้ว ก็สบายใจ แต่พวกเรานี่สิ พ่อหมีพาพจญภัย ขับรถไปผิดทางซะอย่างนั้น แต่อย่างไรก็ตาม...
21.30 น. พวกเราก็มาถึง สถานีขนส่งหมอชิตเป็นที่เรียบร้อย และเจอกับ ผู้หญิงออฟไลน์แล้ว และ ชะนีนักวิ่งก็กำลังจะถึงเช่นกัน เราจึงใช้เวลาที่เหลือในการ หาของกิน เข้าห้องน้ำ เช็คว่ายังขาดอะไรอีก และซื้อเพิ่มเติมเอาที่ บชส นั่นแหละ
22.30 น. ขึ้นรถแล้วจ้า แม้ว่าเวลารถออกจริง ๆ คือเวลา 22.45 น. แต่สุดท้ายแล้ว เราก็ออกเดินทางก่อนกำหนด 15 นาที เมื่อขึ้นรถแล้วจะรออะไร ก็หลับสิครับ พรุ่งนี้งานหนักนะ(หลับกันเต็มที่ขนาดจุดจอดรถยังไม่มีใครลงไปทานข้าวเลย...ยกเว้น ผู้หญิงออฟไลน์ นางลงไปทานแล้วก็เอาตั๋วเราไปแลกอาหารขึ้นมาด้วย นางดี นางเลิศ)



10 ธ.ค. 2558 
05.30 น. บขส. แม่สอด ถึงจุดหมาย เรียกว่าจุดเริ่มต้นสินะ ถึงจะถูก เมื่อมาถึงแล้ว หน่วยกล้าตายของพวกเรา ExSHIMoNeeO และ การเดินทางของกะจิ๊ดริ๊ด ก็ออกไปเจรจากับรถสองแถวรับจ้าง เพื่อที่จะเหมารถจาก บขส. ไปที่ อบต. ซึ่งเราตกลงกันที่ 1,300 บาท ซึ่งถือว่าราคาถูกมาก ๆ เลยทีเดียว จะรอช้าอะไรกัน ก็แบกของขึ้นรถของเรา
    เมื่อขึ้นรถเรียบร้อย ก็ออกเดินทางไปที่ อบต. ท่าสองยาง ระยะทางประมาณ 200 กว่ากิโลเมตรได้ใช้เวลาเดินทาง 2 ชม. สำหรับการเหมารถไป แต่ถ้านั่งรถสองแถวหวานเย็นสไตล์ อาจจะใช้เวลา 3-4 ชม. ได้เลยทีเดียว ซึ่งแนะนะว่า เหมาเถอะ ระหว่างทางก็ตรวจสอบสภาพอากาศไปพลาง ๆ ก็เบา ๆ แต่ 18 องศา และหมอกเต็มไปหมดเลย เป็นนิมิตหมายที่ดีมาก ๆ เลยกับอากาศที่คาดหวัง
08.30 น. ถึง อบต. ท่าสองยาง เป็นที่เรียบร้อย (ตรงนี้ต้องขออธิบายความจริงที่เกิดขึ้น โดยสรุปว่า รถสองแถวจาก อบต. โดยส่วนใหญ่จะไม่ค่อยรู้จัก อบต.ท่าสองยาง ดังนั้น ราคา 1,300 บาทในครั้งแรกเป็นการไปที่ อบต. อะไรสักอย่าง ซึ่งยังห่างจากจุดหมายของเราประมาณเกือบร้อยกิโลได้ คุณลุงคนขับเลยขอเพิ่มอีก 300 บาท เพื่อไป อบต.ท่าสองยาง พร้อมกับ อาศัย GPS ของเราอีกตะหาก ลุงแกไปไม่ถูก สรุปราคาค่าเหมารถคือ 1,900 บาท ซึ่งถูกกว่าเงินที่เตรียมไว้ 100 บาท)
    เมื่อถึง อบต.ท่าสองยางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่ในชุดสบาย ๆ (คือสบายจริง ๆ เหมือนใส่ชุดนอนมารับเลย) ก็มาสอบถามว่า จองไว้ชื่อคุณอะไรครับ เมื่อเราบอกเรียบร้อย รถที่เราว่าจ้างไว้ว่าจะให้พาไปส่งที่ทางขึ้นม่อนทูเล และรับกลับจากม่อยคลุย ก็มารออยู่แล้ว คนขับรถชื่อ พี่บอย จัดการแลกเบอร์กันเรียบร้อย เอาสัมภาระ ขึ้นรถกระบะพี่บอย แล้วก็ตัวเราไปนั่งที่กระบะหลัง จากนั้น พี่บอยก็พาเราไปทานอาหารเช้าพี่ร้าน ป้ายุง แล้วก็สั่งข้าวกลางวันใส่ถุงด้วยเพื่อไปทานกลางวันระหว่างทาง ซึ่งสำหรับข้าว 12 จาน (ทานที่ร้าน 6 ใส่ถุง 6 แล้ว 400 กว่าบาทถือว่าถูกมาก ๆ ) แล้วพี่บอยก็พาเราไปซื้อของที่ยังขาด ทั้งน้ำดื่ม ผงเกลือแร่ ช้อน และยาอายุวัฒนะ เมื่อครบแล้วก็เดินทางไปหาทางขึ้นดอยกันเถอะ
10.30 น. เราก็มาถึงทางขึ้นดอยกันแล้ว ซึ่งเป็นหมู่บ้านของชาวกะเหรี่ยง มีนาข้าวขั้นบันไดสวยงามเลยทีเดียว มองไปที่สุดสายตา นั่นคือ ม่อนทูเล จุดหมายปลายทางของเรา  แต่ก็เกิดปัญหานิดหน่อยตรงที่ เราจองลูกหาบไว้ 3 คน แต่ทาง อบต. ไม่ได้มาแจ้งคนดูแลลูกหาบไว้ให้ จึงทำให้พี่บอยต้องตามหาลูกหาบให้เรา (บอกแล้วพี่เค้าน่ารักมาก) แล้วเราก็ได้ลูกหาบมา 4 คน เพราะของเยอะจึงต้องจ้างเพิ่มอีก 1  (สำหรับราคาค่าจ้างลูกหาบคือ 300 บาท/วัน/คน เราไป 3 วัน ลูกหาบ 4 คน ก็ 3,600 บาท) ที่ต้องจ้างเพิ่มอีกหนึ่งเพราะ เราไม่แบกอะไรกันเลย ยกให้ลูกหาบหมด ยกเว้น ชะนีนักวิ่ง ที่มีพละกำลังล้นเหลือ จึงขอแบกกระเป๋าขึ้นไปเอง (แค่ 200-300 เมตรเท่านั้นแหละ) เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ก็ออกเดินทางกันสิ จะรออะไร



11.00 น. เริ่มออกเดินทางผ่านทุ่งข้าว สีทอง เราต้องเดินบนคันนาไปเรื่อย ๆ 500 เมตรแรก บอกเลยว่า ชิวครับ เดินทางราบไปเรื่อย ๆ พวกเรายังเดินกันด้วยความสนุกสนาน พูดคุยกันไปตลอดทาง ถ่ายรูปนาข้าว และชาวบ้านกำลังฟัดข้าวด้วย เพลิดเพลินมาก ผ่าน 500 เมตรแรก ก็เป็นสิ่งที่เรียกว่า เนินเขา ความชันประมาณ 50-55 องศา ไปเรื่อย ๆ สัก 1-2 กิโลเมตร ถือว่ายังพอไหวอยู่ อาจมีเสียงหายใจที่ดังบ้าง เริ่มดื่มน้ำถี่ขึ้น การพูดคุยน้อยลง แต่การถ่ายรูปยังคงเดิม หลังจากนั้น .... พูดได้คำเดียวว่า โหดได้ใจพี่ไปเลย ความชันแบบที่ แทบจะตั้งฉาก ต้องเดินขึ้นเดินลงเขาไปเรื่อย ๆ อยู่หลายรอบ (ที่บอกว่าหลายรอบเพราะนับไม่ได้จริง ๆ )  งานนี้ขอคารวะน้องๆ ลูกหาบมาก ๆ แบกของหนักมาก (คนละประมาณ 30 กิโลกรัม) รองเท้านันยางหูหนีบที่ดูผ่านการใช้งานมานาน แต่พวกน้อง ๆ เค้าเดินกันไวมาก มีบ้างช่วงที่ทิ้งห่างไปไกลมาก  แต่น้อง ๆ เค้าก็จะหยุดรอเราเป็นระยะ ๆ เพราะคงกลัวพวกเราหลงทางไปไกล ทริปนี้เป็นทริปของการส่งยิ้มให้เหล่าลูกหาบล้วน ๆ เพราะพูดอะไรไปน้องเค้าก็ยิ้มให้อย่างเดียว คุยกันไม่รู้เรื่องเลยยยยย....


    ตลอดทางที่เดินจะเป็นการเดินบนภูเขา ซึ่งด้านข้างจะเป็นทางตัดลงไปเลย แต่ก็ไม่ได้แคบถึงขนาดต้องเดินทีละคน ยังพอมีทางให้เดินคู่ หรือเก๊กท่าถ่ายรูปได้บ้าง แต่ก็ยังต้องเดินขึ้น เดินลงเขาอยู่ตลอด 
    จากการสื่อสารกับลูกหาบที่พอจะสื่อสารภาษาไทยได้บ้าง บอกพวกเราว่า เมื่อถึงฝาย ก็จะพักทานข้าวกลางวันกันตรงนั้น ซึ่งเราอยู่ไม่ไกลแล้ว – ถ้าลูกหาบบอกว่าไม่ไกล กรุณา อย่าเชื่อ เพราะมันต้องใช้เวลาเดินอีก 1-2 ชม.เลยทีเดียว ซึ่งถ้าลูกหาบเดินไม่รอเรา อาจจะใช้เวลาประมาณ 10-15 นาทีเท่านั้น แต่เมื่อเป็นพวกเรา ที่เดิน 3 ก้าว แล้วก็พักครึ่ง ชม. (โดยเฉพาะผู้หญิงออฟไลน์ นางจริงจังกับการนั่งพักมาก) 
    เมื่อเราถึงฝาย ก็ปาเข้าไป บ่ายสองโมงกว่า ๆ แล้ว  ซึ่งมีใบไม้ใบใหญ่ ๆ แห้ง ๆ อยู่ เราก็เอามารองนั่งได้ แล้วก็นั่งทานข้าวกลางวันกัน เป็นข้าวสวย กะเพราะไก่ ไข่ต้ม (คนที่ไม่ทานเผ็ดให้แจ้งร้านค้าด้วยนะ เพราะอาหารที่นี่ อร่อยทุกอย่าง เผ็ดทุกอย่างเช่นกัน และข้าวแข็งระดับหลาน ๆ ข้างเปลือกเลยทีเดียว) ส่วนน้ำที่ฝาย บอกได้เลยว่า เย็นมาก ใสมาก แค่เอามาล้างหน้าก็สดชื่นมาก ๆ แล้ว น้ำพวกนี้สามารถดื่มได้นะ เพราะลูกหาบดื่มกันทุกคน บอกไว้เผื่อในกรณีที่ใครเตรียมน้ำดื่มมาไม่พอ ในการเดินทางขึ้นเขาแบบนี้ ลูกอม สำคัญมาก เพราะพวกคุณจะต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นและน้ำตาลในลูกอมสามารถเพิ่มพลังงานได้ดีมาก พกไปเยอะ ๆ นะ (น่าเสียดายที่ตรงนี้ไม่มีรูป เพราะมันเหนื่อยเกินกว่าที่จะมานั่งถ่ายรูปกัน....ฮ่า ฮ่า ฮ่า)
    เมื่อทานข้าวเสร็จแล้ว พักผ่อนกันพอแล้ว ก็เดินทางกันต่อ และระหว่างทางเราได้เจอเพื่อนใหม่ด้วย แต่เราก็ยังไม่ได้สานสัมพันธ์กันมากนัก ดังนั้น สวัสดี ทักทาย แล้วก็จ้ำ จ้ำ จ้ำ กันต่อไป จากจุดฝายน้ำ ลูกหาบบอกว่า เราเดินมาเกินครึ่งทางแล้ว (แต่ก็เกินมาไม่เยอะหรอก) จากระยะทางที่ต้องเดินทั้งหมด 7 กิโลเมตร ถ้าผ่านครึ่งทางมาแล้วก็ 3.5 กิโลเมตร  ใช้เวลา 3 ชั่วโมง ถือว่าทำได้ดีมาก ๆ ส่วนสัญญาณโทรศัพท์ก็มีบ้าง ขาด ๆ หาย ๆ ดังนั้นถ้าจะเช็คอิน จะโพสรูป ระหว่างทางที่เดินก็ให้รักษาสัญญาณเอาไว้ให้มั่น เพราะถึงจะมีแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะอยู่นาน
    ทางเดินต่อจากฝาย เพื่อไปที่จุดกางเต๊นท์ บอกได้ว่า โหดเพิ่มขึ้นตามลำดับเลยทีเดียว ทางชันขึ้น แดดก็เช่นกัน แผดเผากันได้อย่างต่อเนื่อง แต่ตลอดทางนอกจากความเหนื่อย และความลำบากแล้ว ธรรมชาติที่สวยงาม แนวทิวเขาสีเขียว มันก็ทำให้รู้สึกสบายใจดีจริง ๆ






     และแล้วเราก็เดินทางมาถึงจุดที่ชันที่สุด เดินลำบากที่สุดสำหรับทางขึ้นม่อนทูเล กับความชันระดับ 80-85 องศา ต้นไม้ ต้นหญ้าแห้ง ๆ หิน และเชือกไนล่อน 4 อย่างนี้คือ ผู้ช่วยชีวิตเลยทีเดียว ระยะทาง 500 เมตรเท่านั้น แต่ต้องบอกว่า เราพักกันบ่อยมาก เพราะมันเหนื่อยมาก แต่ทุกครั้งที่พวกเราหยุดพัก กล้องถ่ายรูป และโทรศัพท์มือถือ ก็จะถูกหยิบออกมาถ่ายรูปเสมอ เพราะเราขึ้นมาสูง จนสามารถมองเห็นภูเขาที่อยู่ระดับต่ำลงไปเป็นเหมือนคลื่นในทะเลเลยทีเดียว มันสวยซะทำให้เราลืมความเหนื่อยไปได้(สักพัก)
     แล้วก็กลับมาไต่ระดับกันต่อไป ที่สุดทาง จะมีป้าย “ยินดีต้อนรับสู่ม่อนทูเล” สีเขียวซีด ๆ ขาด ๆ ต้อนรับเราอยู่ และแล้ว ผู้หญิงนวลนวลชอบเที่ยว ของเรา ก็ล้มตัวลงทันทีที่เห็นป้าย “นางเป็นตะคริว” ที่สำคัญคือ ล้มลงกลางแดด ที่ร่ม ๆ มีเยอะแยะ นางไม่ล้มจ๊ะ 
     แต่เพื่อนที่ดีก็ต้องทำหน้าที่ หัวเราะก่อน แล้วค่อยวิ่งไปช่วย เมื่ออาการของผู้หญิงนวลนวลดีขึ้น เราก็ต้องเดินกันต่ออีกนะ (ใครว่าเจอป้ายแล้วจะถึงจริง ๆ) เดินอีกสักประมาณ 300 เมตรก็จะถึงที่ตั้งเต็นท์แล้วหล่ะ





16.30 น. ถึงจุดพักเต๊นท์(ซะที) ระยะทาง 7 กิโลเมตร กับเวลาเดินทาง 5 ชั่วโมง ถือว่าพวกเราทำเวลาได้ดีมาก ๆ เพราะจากที่อ่านจากรีวิวอื่น ๆ จะใช้เวลาอยู่ที่ 7 ชั่วโมงซะส่วนใหญ่ 
    เมื่อถึงจุดกางเต๊นท์ ก็มีอยู่ 2 กลุ่มมากางไว้อยู่แล้ว เราจึงต้องหาทำเลเหมาะ ๆ เพื่อกางเต๊นท์ของพวกเรา ฟ้าก็ใกล้มืดขึ้นทุกทีด้วยนั้น 6 คนจึงต้องแบ่งหน้าที่กันทำ ทั้งปูพื้น กางเต๊นท์ ตักน้ำ จัดเก็บของ แต่เรื่องจุดไฟ เหล่าลูกหาบจะเป็นคนทำให้ 

             บางกลุ่มก็เอาข้าวสารมา ลูกหาบก็จะหุงให้ด้วย แต่การทำกับข้าวไม่ใช้วิสัยของพวกเราอยู่แล้ว ดังนั้น ทุกอย่างที่สำเร็จรูปเราก็พกมาหมด ข้าวสวยแช่แข็ง ทูน่าซองมากมาย ปลากระป๋อง และน้ำดื่ม พวกเราก็ไปควานหาผงกรองน้ำมาด้วย ซึ่งจะทำให้น้ำสะอาดขึ้นสามารถใช้ได้ (แต่ไม่แนะนำให้ใช้ดื่ม ถ้าจะดื่มต้องเอาไปต้มก่อน และเมื่อต้มแล้วรสชาติและกลิ่นก็ยังไม่เหมาะกับการที่จะกินเข้าไปอยู่ดี) เมื่อเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ล๊อคเต๊นท์ให้เรียบร้อยเพื่อความปลอดภัย เราก็มุ่งหน้าไปดูพระอาทิตย์ตกกันเถอะ จุดชมพระอาทิตย์ตก เราจะต้องเดินขึ้นเขาไปอีกประมาณ 500 เมตร แต่จากจุดตั้งเต๊นท์เองก็มีจุดชมพระอาทิตย์ตกด้วยเหมือนกัน ซึ่งเหนื่อยน้อยกว่า มีพื้นที่ให้ถ่ายรูปกระโดดโลดเต้นมากกว่า มีกองหินเป็นจุด Landmark ด้วย เราจึงนั่งดูพระอาทิตย์ตกกันที่ตรงนั้น พร้อมกับถ่ายรูปไปมากกว่าร้อยรูป

    เมื่อเราขึ้นไปอยู่บนที่สูงขนาดนั้น อากาศก็เย็น ถึงขั้นหนาวแบบที่ตั้งใจอยากได้ เบื้องล่างคือป่าสีเขียว สุดสายตาเป็นเส้นของฟ้าสีขาว และพระอาทิตย์ลูกกลม ๆ แดง ๆ ส่องแสงอย่างชัดเจน ความเหนื่อยตลอดทั้งวันมันก็หายลับไปเลย ความสวยงามของพระอาทิตย์ตกที่ไม่ใช่ว่าจะเห็นจากที่ไหนก็ได้ ภาพสวยงามที่ผ่านความยากลำบาก มันยิ่งเพิ่มความสวยงามขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว คุณอาจจะเห็นจากภาพมากมาย แต่คงน่าเสียดายถ้าไม่ได้ไปสัมผัสกับความรู้สึกแบบนี้ด้วยตัวเอง

    เมื่อแสงสว่างหายไป ความมืดเข้ามาแทนที่ ความหนาวเย็นก็ชัดเจนทุกรูขุมขนเลยทีเดียว นอกจากความหนาวแล้วเรายังมีความหิวเขามาด้วย พวกเราทั้งหมดก็เดินลงเนินเขาลงมาท่ามกลางความมืดกะ ความเปียกจากน้ำค้างที่แรงมากขนาดที่ทำให้หมวกเปียกได้เลยทีเดียว
    คืนนั้นพวกเราทำอาหารง่าย ๆ จากของที่เตรียมมา ข้าวสวยสำเร็จรูป พวกเราอุ่นมันด้วยการต้มน้ำร้อน แล้วเราก็ใส่ทั้งข้าวสวยสำเร็จรูปและอาหารซองลงในถังพลาสติก จากนั้นก็เทน้ำร้อนลงไปเพื่อทำการอุ่นให้สามารถกินได้ แต่สำหรับงานนี้ ผู้หญิงนวลนวลฯ ของเราก็ได้เปิดโลกการทานอาหารกระป๋อง โดยการนำปลากระป๋องไปอุ่นในถังน้ำร้อนด้วย เลยกลายเป็นผู้หญิงนวลนวลผู้บุกเบิกการกินอาหารกระป๋องแบบใหม่ คือ กินอลูมิเนียมเข้าไปด้วย 
    ค่ำคืนที่ผ่านไปด้วยเสียงหัวเราะ น้ำค้าง และดาวเต็มฟ้า มาเที่ยวกับเพื่อนยังไงก็สนุก เชื่อสิ แม้ว่าทั้งวันของพวกเราจะเหนี่อยแค่ไหน แต่ถ้าลองสาว ๆ ได้เม้าท์กัน ยาวค่ะ จนเต๊นท์อื่นเค้านอนกันไปหมดแล้ว พวกเราก็ยังต้องต้มน้ำเพื่อเอาไว้กินพรุ่งนี้ระหว่างทางคนละ 2 ขวด แต่ขึ้นชื่อว่ามาพักผ่อน ประมาณ 3 ทุ่มเราก็เข้าเต๊นท์นอนกันแล้วหล่ะ เพราะอย่างที่บอกว่า น้ำค้างแรง และอากาศหนาวววววววว วอ แหวน ร้อยตัว สัญญาณโทรศัพท์ตรงที่กางเต๊นท์ก็ไม่มี ไฟก็ไม่มี หนาวก็หนาว ง่วงก็ง่วง จะรออะไรนอนสิครัช เพราะพรุ่งนี้จะตื่นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน ตั้งใจว่าจะตื่นตี 5 ครึ่ง ดังนั้น ราตรีสวัสดิ์



โพสนี้ อุทิศให้ภาพล้วน ๆ


Good Morning

ทะเลหมอก...สุดลูกหูลูกตา

ที่ความสูง 1350 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง

ก็หันหลังมันดูดีกว่า

หลังอีกสักที


11 ธ.ค. 58  (ชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ม่อนทูเล และออกเดินทางไปม่อนคลุย)
05.30 น. นาฬิกาปลุก....แต่พวกเราไม่ตื่น กดปิดแล้วนอนต่อจ๊ะ
06.00 น.  ตื่นสิจ๊ะ รออะไร พระอาทิตย์จะขึ้นอยู่แล้ว (ต้องขอเรียนตามตรงว่า น้ำมันเย็นมาก และอากาศก็เย็นมาก พวกเราก็รีบมาก จึงทำได้แค่ เอาน้ำลูบหน้าแล้วก็ออกเดินทางกันเถอะ
    เราต้องเดินขึ้นไปตรงบริเวณที่ดูพระอาทิตย์ตกเมื่อวาน แล้วก็เดินขึ้นเขาไปอีกประมาณ 500 เมตร เพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้น การเดินขึ้นเขาช่วงเช้า ๆ มันเหนื่อยกว่าปกติอีกนิดนึง ประมาณ 15 นาที ก็ไปถึง ป้ายม่อนทูเล ถึงจุดนี้ มันก็สวยมากแล้ว  สวยจนไม่รู้จะอธิบายได้ยังไงให้ทุกคนเห็นภาพ งั้นเอาเป็นดูรูปไปแล้วกันเนอะ (ในรูปนี้สมาชิกขาดไปหนึ่ง ชะนีนักวิ่ง นางไม่สามารถตื่นมาได้ เพราะนางเป็นคนขี้ร้อนไง เลยไม่เอาเสื้อกันหนาวมา ไม่เอาถุงนอนมา ไม่เอาเสื้อหนา ๆ มา นางเลยนอนไม่ได้เลย)
             จากการถ่ายรูปอย่างบ้าระห่ำ บอกได้คำเดียวว่า ไม่ต่ำกว่า 100 รูปแน่นอน เราก็ลงมาข้างล่างเพื่อมาทานอาหารเช้ากัน ซึ่งมื้อนี้ ญี่ปุ่นสุด ๆ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจ๊ะ เพราะการต้มน้ำมันง่ายกว่า ฮ่าฮ่าฮ่า แล้วด้วยความที่น้ำค้างแรงมาก กว่าเต๊นท์จะแห้ง เก็บของไปเช็ดไป เราก็พร้อมออกเดินทางไปม่อนคลุยกับระยะทาง 7.5 กิโลเมตร ตอนเกือบๆ 10 โมง ซึ่งลูกหาบผู้น่ารักของพวกเราก็มารออยู่แล้ว (เราสามารถทิ้งขยะที่จุดนี้ได้เลยนะ แต่ถ้าใครไม่ได้ไปม่อนคลุยต่อ อยากให้เอาลงไปทิ้งข้างล่างเลยมากกว่า เพราะถ้าทิ้งบนนี้ขยะจะถูกเผาโดยไม่มีการแยกขยะก่อน...จุดเริ่มต้นของภาวะโลกร้อนชัด ๆ เพราะกระป๋องเบียร์เยอะมากกกกก)


ยังคงหันหลังกันอย่างต่อเนื่อง

ลองหันหน้ากันดูสักรูป

ยัยกะจิ๊ด...(วิว) สวยมาก

วิวระหว่างทางกลับเต๊นท์

หญ้าลู่ลม...ภูเขาสีทอง...ทะเลหม๊อก ทะเลหมอก

เดินขึ้นก็ทางนี้...เดินลงก็ทางเดิม (เห็นที่ตั้งเต๊นท์มั้ย??? ลิบ ๆ ทางขวาของรูปนะ)

ธรรมชาติ...ตามธรรมชาติ ยังไงก็สวยงามเสมอ

ลงมาตรงที่ถ่ายรูปตอนเย็นเมื่อวาน อย่างกับจะจับหมอกได้เลย

ภาพมุมกว้าง ๆ ก็สวยงามนะ


จากอาการทุลักทุเลเมื่อวาน ลูกหาบคงสงสารพวกเรามาก วันนี้เลยเตรียมไม้ค้ำยันไว้ให้คนละ 1 อัน ตอนแรกก็คิดในใจว่า จะเกะกะ แต่ถือไว้เถอะ เพราะทางไปม่อนคลุยมันช่างโหดร้ายนัก บอกเลยว่า ทางโหดถึงขนาดที่ว่า ไร้อารมณ์ถ่ายรูปทางเดินระหว่างทางกันเลย ดังนั้น รูปน้อยมากตอนเดินมาม่อนคลุย ถามว่าโหดขนาดไหน จากจุดกางเต๊นท์ คุณต้องเดินขึ้นไปที่ยอดเขา ยอดสุด แล้วก็เดินลงยาววววววสุดเขา แบบ 89 องศามาก ๆ เดินลงนี้ถ้ารองเท้าไม่ดีเล็บหลุดแน่นอน (จะบอกว่าลืมตัดเล็บด้วย เจ็บฝุด ๆ ไปเลย)

ทางเดินของเรา


เดินมาตั้งหลายชั่วโมงก็มาถึงน้ำตก...(ลูกหาบบอกว่าครึ่งทางละ)


    จาก 10 โมง พวกเราก็เดินทางขึ้นเขา ลงเขากันไปเรื่อย ๆ จน บ่ายโมงกว่า ๆ ก็ถึงน้ำตก อ้อ..ลืมบอกไปว่า ระหว่างที่เดินมานี่ พวกเราก็โทรสั่งอาหารเย็นกับพี่บอย รวมทั้งน้ำอัดลม และอาหารเช้าของอีกวันด้วย หลังจากหยุดพักที่น้ำตกกันสักพัก (ได้ลองดื่มน้ำตกเป็นครั้งแรก มันหวานมาก แล้วก็เย็นสดชื่นมาก ๆ แต่เพื่อความปลอดภัยในกระเพาะและลำไส้ จึงเอาแค่ชิม ๆ นิดหน่อยพอ แต่นิดหน่อยก็มีแอบเอาใส่ขวดมาไว้สดชื่นระหว่างทางด้วยอีกนิดนึง) 
    หลังจากนั้นก็เดินขึ้นเขา องศาเดียวกับตอนลงมา แล้วก็เดินขึ้นเขา ลงเขา(ดูรูปเอานะจ๊ะ) แล้วประมาณบ่าย 2 กว่า ๆ ก็มาถึงทางถนน ซึ่งเราจะต้องเดินตามถนนเพื่อไปให้ถึงม่อนคลุย (แนะนำสำหรับคนที่ไม่มีเวลาแต่อยากได้บรรยากาศทะเลหมอก และทะเลภูเขาให้ขับรถขึ้นมาที่ม่อนคลุยได้เลยค่ะ แล้วมากางเต๊นท์เอาได้นะ)

ทางชันใช้ได้เลยนะเนี่ย...


เดินกันบนสันเขาจริง ๆ 


แดดก็แรงใช้ได้เลย


ไม้เท้าคือสิ่งสำคัญทีเดียว


No capture


    โชคดีของพวกเราที่พี่บอยขับรถผ่านมาพอดี จึงรับพวกเราและลูกหาบไปที่ม่อนคลุยด้วย สบายไป แล้วก็นั่งเขย่าอยู่หลังรถกะบะสัก 10 นาที ก็มาถึงแล้ว ซึ่งพี่บอยได้จองศาลาเอาไว้ให้แล้ว ซึ่งมันดีมาก ๆ เลย เมื่อมาถึงแล้วก็เอาของวาง ๆ ไว้ เอาเต๊นท์ออกมาผึ่งลม เพราะไม่แน่ใจว่าเต๊นท์มันแห้งจริงรึยัง... แล้วก็ตัดสินใจไปอาบน้ำ (น้ำแดงมาก มีกลิ่นด้วย) ห้องอาบน้ำมีสองห้อง ชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง และทุกคนก็จะถึงพร้อม ๆ กัน แล้วก็จะไปอาบน้ำพร้อม ๆ กัน แต่ห้องน้ำมีอย่างละสองห้อง ดังนั้นถ้าไม่คิดมาก อาบน้ำที่ห้องน้ำก็ได้ เพราะสภาพน้ำเท่ากัน 
    อาบน้ำเสร็จแล้ว ก็มากางเต๊นท์กัน ส่วนลูกหาบนั้นไซร้ ก็กลับเขาไปพักผ่อนในป่า แต่ก็ไม่ลืมที่จะมาก่อกองไฟให้เราทำอาหาร แต่ว่าเราสั่งข้าวมาแล้ว ดังนั้น กองไฟนี้ เอาไว้สร้างความอบอุ่นล้วน ๆ หลังจากกางเต๊นท์ได้ก่อนพระอาทิตย์ตก เก็บของเรียบร้อย (คืนนี้เรากางเต๊นท์ไว้ข้างในศาลากัน แล้วก็เอาผ้าใบกางกันลมอีกที ทำให้คืนนี้นอนกันอบอุ่นมาก) ก็ไปหามุมสวย ๆ ถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกที่ม่อนคลุย
    ที่ม่อนคลุย เราสามารถมองเห็นม่อนทูเลด้วยนะ พอเห็นแล้วก็ถึงกับตกใจว่าเราเดินกันมาได้อย่างไร...มันไกลนะนั้น...  พระอาทิตย์ตกที่ม่อนคลุยก็สวยไม่แพ้ม่อนทูเลเลยนะ (ดูภาพ ๆ ) พอฟ้ามืดเราก็มาทานข้าวกันเถอะ วันนี้กินข้าวข้าง ๆ กองไฟ แม้น้ำค้างจะไม่แรงเท่าม่อนทูเล แต่ความหนาวไม่แพ้กันเลย ที่นี่แถมลมให้อีกตะหาก ก็เหมือนเดิมเลย เมื่อสาว ๆ มารวมตัว ก็ต้องเม้าท์กระจาย แต่ข้อดีของพวกเราคือ เราไม่เม้าท์คนที่ไม่มา ดังนั้นตราบใดที่คุณนั่งอยู่ในวงคุณจะโดยนินทา 
    ดาวที่นี่ก็สวยยยย ดาวเต็มท้องฟ้า มองไปทางไหนก็มีแต่ ดาว ดาว ดาว และ พระจันทร์ สวยมาก ๆ ฟ้าก็โปร่ง เป็นใจให้นอนมองดาว แต่อากาศมันหนาว พวกเราเลยไปนอนในเต็นท์ดีกว่า แล้วคืนนี้ก็ฝันดี ราตรีสวัสดิ์


การเดินทางไปม่อนคลุยยังไม่จบ สื่อสารด้วยภาพกันต่อนะ

กิ่งไม้มันขว้างทางเอาไว้


สันเขามันโล่ง แดดจึงจัดเต็ม


เกือบถึงละ...อย่าไปเชื่อเชียว ฮ่า ฮ่า ฮ่า


ถึงแล้วม่อนคลุย ส่วนนู้นนนนนน นะ ม่อนทูเล


เราเดินกันมาไกลมากจริง ๆ 


ถึงแล้วจริง ๆ นะ


เมื่อยามค่ำคืนมาเยือน

12 ธ.ค. 58 ต้องกลับกันแล้ว
06.00 น. ตื่นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันเถอะ
07.00 น. พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นเลย มีแต่แสงสีส้ม ๆ แต่ทะเลหมอกก็ยังชัดเจน เราเลยจัดรูปรอบนี้เบา ๆ ไปเกือบร้อยเช่นเดิม

แสงแรกของวันนี้


ทะเลหมอกวันนี้ก็ส๊วยยยย สวย


ตื่นมาแล้วเจอวิวนี้ คุ้มนะ (ไม่ใช่เต๊นท์เราหรอก ฮ่า ฮ่า มาถ่ายรูปเฉยๆ)


08.00 น. มื้อเช้าของพวกเราเป็นขนมปัง จิ้มกับนมข้นหวาน และน้ำเต้าหู้คนละขวด (เวลาคุณสั่งอาหารที่นี่ คุณจะได้ทุกอย่างคูณสอง แล้วก็คืนไม่ได้ด้วย เช่น ถ้าคุณสั่งขนมปัง 1 แถว กับนมข้นหวาน 1 กระป๋อง คุณจะได้รับ ขนมปัง 2 แถว และนมข้นหวาน 2 กระป๋อง ดังนั้น คำนวณให้ดีก่อนสั่งนะ) ณ จุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ม่อนคลุยนี้ ต้องขอขอบคุณรูปจาก มันเผาทราเวล ด้วยนะค่ะ) 

มื้อเช้านะ (ภาพนี้ มันเผาทราเวล ถ่ายให้ค่า)


นั่งมองวิวแบบนี้...นั่งนานแค่ไหนก็ไม่เบื่อ (แต่ก้นพี่เย็นมาก)

  
    ถ้าสงสัยว่า เมื่อวานก็ดูพระอาทิตย์ขึ้น วันนี้ก็ดูพระอาทิตย์ขึ้น มันก็พระอาทิตย์ขึ้นเหมือนกันทำไมต้องดูมันทุกวัน ก็พระอาทิตย์มันขึ้นไม่เหมือนกันทุกวันนะรู้รึเปล่า  ก็คงเหมือนระยะเวลาหายใจเขาครั้งลาสุด กับครั้งก่อนหน้ามันไม่เท่ากันไง มองพระอาทิตย์ขึ้นว่าสวยแล้ว แต่ได้มามองกับเพื่อน ๆ นี่มันยิ่งเพิ่มความสวยเข้าไปอีก (ดูรุปเอานะว่ามันสวยยังไง แถมรูปฮา ๆ ของพวกเรา และรูปจากมันเผาทราเวลด้วย) แล้วก็เดินกลับมาที่เต๊นท์เพื่อเก็บของ เตรียมตัวลงเขากันเถอะ
10.00 น. ไปก่อนนะม่อนทูเล – ม่อนคลุย แล้วจะมาหาใหม่นะ แล้วเราก็ทุลักทุเล ลงเขากันไปประมาณเกือบชั่วโมงได้ที่ต้องนั่งตากลมอยู่หลังรถกระบะของพี่บอย เพื่อไปส่งเหล่าลูกหาบที่น่ารักของเราบริเวณทางขึ้นม่อนทูเล แล้วก็จ่ายตังจ้า...ข้ามได้มั้ย เรื่องจ่ายเงินมันทรมานใจ แต่ก็ตามรายละเอียดข้างล่างเลยจ้า) 

    ไหน ๆ ก็มาเที่ยวแล้วก็ขออีกนิดละกันเนอะ พี่บอยพาพวกเราไปที่ แม่น้ำเมย แล้วก็เลยได้ล่องเรือไปน้ำตกนอตะ ขอบ ๆ พม่าด้วย ซึ่งพี่บอยอธิบายว่า น้ำตกเนี่ยอยู่ติดกับแม่น้ำเมยเลย แล้วน้ำของน้ำตกเนี่ยก็ไหลลงแม่น้ำเมยด้วย...แล้วมันก็อยู่ติดจริง ๆ อ่ะ (ดูจากรูปว่ามันติดจริงๆ ) แล้วเราก็ต้องปีน ๆ ๆ ๆ น้ำตกขึ้นไป ก็ไหน ๆ ก็มาแล้วนิ เอาสักหน่อย อยู่ที่น้ำตกประมาณครึ่งชั่วโมง 

ล่องแม่น้ำเมย


น้ำตกนอดะ ถึงแล้ว


น้ำตกริมแม่น้ำเมย....ริมจริงๆ 


ที่กะจิ๊ดยืน คือมีที่ยืนแค่นั้นจริง ๆ 


มาน้ำตก ก็ต้องได้สัมผัสน้ำตกนะ


ทั้งสวย ทั้งใหญ่ ทั้งสวย


มุมไหนก็สวยนะ...(ฉันรึน้ำตก?) น่าจะน้ำตก


         หลังจากนั้นก็นั่งเรื่อกลับไปที่ อบต. ท่าสองยางได้เลย ซึ่งพี่บอยก็ขนสัมภาระของเราไปไว้ที่ อบต.ให้แล้ว ขณะนั้นเป็นเวลาเกือบเที่ยง หลังจากเคลียค่าใช้จ่าย(จะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง) พวกเราก็นั่งเล่น นอนเล่น กินเล่นกับไปเรื่อย ๆ รอเวลา บ่ายสามครึ่ง เพราะพี่บอยจะมารับไปส่งที่ บขส.แม่สอด
15.30 น. พี่บอยตรงเวลามาก มาตามนัดสุด ๆ แล้วก็ขนของขึ้นไปเก็บบนกะบะหลัง แล้วก็ขนตัวพวกเราขึ้นไปด้วย ก็นั่งกันไป ระหว่างทางพี่บอยก็จอดให้ถ่ายรูปที่หมู่บ้านกะเหรี่ยงด้วย สวยนะ สวยมาก ๆ เลย ถ้ามีโอกาศก็อยากจะมีพักดูสักที แต่เค้าไม่ให้คนนอกเข้าจ้า แล้วด้วยความที่ใกล้เย็นแล้วจึงขออาหารพื้นเมืองก่อนกลับบ้านกันสักที พี่บอยจึงพาไปที่ร้านศรีไพร ร้านอาหารริมถนน ที่อาหารอร่อยทุกอย่างจริง ๆ ทุ่มกว่า ๆ ก็ออกจากร้านอาหารแล้วก็มุ่งหน้าไป บขส.แม่สอด เลย 
19.00 น. ถึง บขส.แม่สอดแล้วจ้า ก็นั่งรอรถไปสิ
21.00 น. รถมาจอดที่ท่ารถแล้วหล่ะ แต่เวลารถออกคือ 21.30 น. ดังนั้น นั่งเล่นบนรถไป
    จบแล้วนะสำหรับทริปนี้ เหนื่อย สนุก หวาดเสียว เพลิดเพลิน เที่ยวกับเพื่อนยังไงก็สนุก แล้วพบกันใหม่ทริปหน้า
Remark no.1 ห้ามลืมบัตรประชาชนเด็ดขาด เพราะเป็นจังหวัดติดชายแดน มิเช่นนั้นอาจจะต้องยืนร้องเพลงชาติหรือเพลงลอยกระทงต่อหน้าผู้คนได้
End Credit :
ExSHIMoNeeO –  บุรุษคนเดียวของทริป เดินไว แข็งแรง เป็นที่พึงพา เจ้าแห่งGPS และ Information และถ่ายรูปสวย ๆ ให้พวกเรา
ผู้หญิงนวลนวลชอบเที่ยว – ผู้หญิงที่สร้างเสียงฮาให้ตลอดทริปทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ ผู้บุกเบิกการอุ่นปลากระป๋องด้วยน้ำร้อน
การเดินทางของกะจิ๊ดลิ๊ด – รูปสวย ๆ นี่ก็ของเธอนะ กะจิ๊ดสายแดรก กะจิ๊ดชอบถ่ายรูป (โดยเฉพาะถ่ายให้ผู้หญิงนวลนวล)
ชะนีนักวิ่ง – ผู้หญิงขี้ร้อนที่นอนไม่ได้เพราะนางหนาว ชะนีที่ไม่อาบน้ำเลยตั้งแต่วันแรกจนถึงวันกลับ ชะนีที่นุ่งผ้าถุงปีนน้ำตก
ผู้หญิงออฟไลน์ – นี่ก็คนเรียกเสียงฮา ทริปแรกกับพวกเรา แต่นางก็เข้ากับพวกเราง่าย ๆ ผู้หญิงที่สู้ตายทางลงเขา แต่ตายไปเลยตอนทางขึ้น
NumchokeisaCat – คนนี้ดีงามที่สุดละ เป็นคนพิมพ์ได้เปรียบ ฮ่าฮ่าฮ่า
มันเผาทราเวล – สำหรับรูปที่ม่อนคลุย แล้วเป็นกลุ่มบุคคลที่ถูกพวกเราแทะโลมไปตลอดทางตั้งแต่ม่อนทูเล ไปม่อนคลุย ดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ม่อนคลุยก็ใช้เค้าถ่ายรูปอีกตะหาก
แก๊งค์ลูกหาบ – ที่หาบของให้พวกเรา และนำทางให้พวกเราด้วย ของก็หนัก แถมยังหยุดบ่อยอีกตะหาก พูดกันก็ไม่รู้เรื่อง แต่พวกเขาดูแลพวกเราดีเหลือเกิน
พี่บอย – คนนี้แม้จะไม่มีรูป แต่บอกได้เลยว่า พี่บอยดูแลพวกเราดีมาก ใจดี มีน้ำใจ กับพวกเรามาก ๆ เลย ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ
สรุปค่าใช้จ่ายจ้า..... (จำไม่ได้หรอก แต่จะใส่ให้คร่าว ๆ นะ)
ค่ารถทัวร์ ไป-กลับ  1200 บาทต่อคน
ค่าเหมารถสองแถวจาก บขส ไป อบต.ท่าสองยาง 1900 บาท
ค่าลูกหาบ 4 คน 3 วัน วันละ 300x4 = 1200x3 วัน = 3600 บาท ทิปไปอีกคนละ 100 ก็เป็น 4000 บาท
ค่ารถ อบต. – ม่อนทูเล และ ม่อนคลุย – อบต 1800 บาท
ค่าเหมารถจาก อบต – บขส 2000 บาท
ค่าล่องเรือไปน้ำตก เรือลำละ 500 ไป 2 ลำ เป็นเงิน 1000
ค่าอาหาร เครื่องดื่มทุกมื้อรวม ๆ กัน 3000 ÷ 6 = 500 บาท ต่อ คน

บ๊ายยยย บายยยย เจอกันทริปหน้านะจ๊ะ.....
                    By #เที่ยวอีกละนะ


ขอบคุณข้อมูลจาก Pantip
Cr. Tawatchai MonraeDo W