รีวิว เขาหลวง สุโขทัย ใกล้ๆ แต่ไม่ใช่กล้วยๆ

เขาหลวง สุโขทัย
บอกเลยว่าเป็น สถานที่ท่องเที่ยวที่เคยได้ยินชื่อมานาน
แต่ไม่เคยมีข้อมูลใดๆเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้เลย
หรือพูดง่ายๆ คือ แทบจะไม่ได้อยู่ในหัวเลย
สำหรับสถานที่ ที่อยากจะไป




จนวันนึง เพื่อนในกลุ่มที่ชอบเที่ยวด้วยกัน
ชักชวนกันไปหาที่เที่ยวแนว Trekking หลังจากที่พวกเราร้างรามือไปนาน
ซึ่งเมื่อหลายปีก่อน พวกเราเคยไปเที่ยว
ภูสอยดาว ดอยหลวงเชียงดาว สามพันโบก
ผาชนะได ดงนาทาม ด้วยกันมา


และมีคนเสนอ "เขาหลวง สุโขทัย"
เมื่อมีมติเป็นเอกฉันท์ พวกเราทุกคน
จึงตกลงจัดทริปนี้ขึ้นมาในช่วงปลายปี
ช่วงที่ควรไปสัมผัสอากาศหนาวๆ ลมพัดเย็นๆ
ชื่นชมป่าเขาเมืองไทยอันสวยงาม
มากกว่าที่จะมานั่งแดดิ้น อิจฉาคนอื่น
ที่โพสรูปไปเที่ยวกันอย่างสนุกสนานเต็มหน้า News Feed


เมื่อทริปนี้เกิดขึ้น เราก็หาข้อมูล
ดูสิว่า เขาหลวง สุโขทัย
ที่เค้าว่าน่าเที่ยวนักหนา มันมีดีอะไร
เสริชหารูปดูผ่านๆ ป๊าดดดดด...
มีแต่ใบไม้เขียวๆ ทิวเขาธรรมดาๆ และทางที่ชันแสนชัน
ตกลงเราจะพาร่างไปทรมาน เพื่อ...แลกกับทิวเขา
ทางชัน และป่าเขียวๆธรรมดาๆ นี่นะเหรอ
อย่างน้อยถ้ามีดอกไม้ หรือวิวสวยๆ
ระหว่างทางบ้างก็ยังดี


แต่เมื่อเพื่อนๆลงมติกันแล้วว่าไปที่นี่...
เอ้า!! เขาหลวง ก็เขาหลวง เราไม่เน้นรูปสวยๆก็ได้
เน้นไปเจอเพื่อน ตั้งแคมป์ นอนเต็นท์ เมาท์มอยกันขำๆ
ตามประสาคนที่ไม่ได้เจอเพื่อนเจอฝูงมานานก็ละกัน


ระหว่างทางที่นั่งรถตู้จากกรุงเทพฯ ไปสุโขทัย
เรายังหันหน้าไปหาเพื่อนที่รู้สึกเฉยๆกับเขาหลวง เหมือนกัน
แล้วพูดว่า "เขาหลวง มันจะมีอะไรวะ...แล้วขำใส่กันเบาๆ"


แต่เมื่อไปถึงบนยอดเขาหลวง
จนกระทั่งกลับมาลงมา
บอกเลยว่า มันคือสถานที่น่าไปตั้งแคมป์
กางเต็นท์นอน ดื่มด่ำกับธรรมชาติมากกกกกกก

มันมีข้อเสีย เพียงอย่างเดียวเลย คือ
ทางเดินขึ้นไปบนยอดเขา
ชั่งชัน แสนชัน ชันแบบ
ไม่เห็นใจขา เข่า น่อง และซ่งติงกรูเลย

ชันระดับเต็ม 10 ให้ 10

ใครชอบเที่ยวแบบสบายๆ ขอให้บายทริปนี้ไปได้เลย
แต่ถ้าชอบลุยๆ มันส์ๆ ชันๆแต่ไม่ถึงกับตาย
เอารีวิวนี้ไปแชร์อวดเพื่อน แล้วจัดด่วนเลยคร่า


ทริปนี้พูดได้เต็มปากเลยว่า
เขาหลวง สุโขทัย ถึงจะใกล้ๆ แต่ไม่ใช่กล้วยๆ นะค๊า ร้องไห้


เรื่องโดย :  กุ้งตะลอน (Kungtalon)
FB : www.facebook.com/kung.talon
Page : www.facebook.com/slowlifetraveller




เราออกเดินทางกันในวันคริสมาสอีฟ (24/12/58)
เพื่อให้ไปถึงที่อุทยานแห่งชาติรามคำแหง ในช่วงเช้าตรู่
และที่นี่ไม่อนุญาตให้เดินขึ้น หลังเวลา 15.30 น.

ล้อหมุนจากกรุงเทพฯ 5 ทุ่ม ไปถึงนู่นก็ ตีห้าครึ่ง
นอนรอ อุทยานเปิดให้ลงทะเบียนเพื่อขึ้นไปพักแรมบนยอดเขาหลวง ตอน 8.30 น.
ระหว่างนี้ก็อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน พร้อมออกเดินทาง






ถ่ายกับป้ายจุด Start สู่ยอดเขาหลวง ตื่นเต้นๆ


ทางเดินประมาณ 200 เมตรแรก
เป็นทางราบเรียบๆ เดินง่ายๆ 
และเป็นทางราบหนึ่งในแค่สองสามจุดที่จะได้เจอ

นอกนั้นคือ ชัน หมดเลยจร้า!!!!



ทางเดินส่วนใหญ่เป็นดิน ปนก้อนหินภูเขาตะปุ่มตะป่ำ 
นี่ถ้ามันไม่ใช่หินก้อนใหญ่ๆ คงนวดเท้าได้สบายดี นักแล



ต่อไปนี้คือภาพทางชัน ที่คุณจะได้เห็น
และกรุณาคูณไปอีกสามเท่าตัว 
มันจะเท่ากับสิ่งที่เท้า เข่า น่อง ของพวกเราได้ไปสัมผัสมา



ตรงทางขึ้น จะมีไม้ค้ำยัน เตรียมไว้ให้เราหยิบ
กรุณาถือไปด้วยค่ะ แม้ว่าคุณจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ตาม
แต่มันจะช่วยพยุงไม่ให้คุณเซ ในช่วงที่ชันมากๆได้









เดินไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็เริ่มโหยหาจุดพักกันแล้ว
แต่ละจุดพัก จะมีการสร้างแคร่ไม้ ไว้ให้นั่งห้อยขา 
เพราะด้วยความที่เป็นทางชัน ตลอดๆ 
จึงไม่ค่อยมีทางราบให้ยืนหรือนั่งพักสบายๆ

ขาขึ้นไปพวกเราต้องเดิน
เป็นระยะทางทั้งหมดประมาณ 3.7 กิโลเมตร
ใช้เวลาเดินเฉลี่ยประมาณ 4-6 ชั่วโมง
แต่พวกเราเดินไป พักไป ถ่ายรูปไป
แค่ 5 ชั่วโมงพอ แบบกันเอ๊ง กันเอง



การเดินป่าที่นี่ ก็ไม่ใช่ว่าจะโหดไปซะทีเดียว
น้ำท่า อุดมสมบูรณ์ มีแหล่งน้ำตามธรรมชาติ
ต่อท่อไหลมาให้เราได้ดื่มแก้กระหาย เป็นระยะๆ

แต่ถ้าช่วงที่คนมาเที่ยวกันเยอะๆ น้ำอาจจะไม่ไหลไปบ้าง
เพราะฉะนั้นเตรียมขวดน้ำพกขึ้นมาให้เพียงพอ เป็นดีที่สุด





หรือจะพกน้ำตาลกลูโคส ขึ้นมาจิบ ชูกำลัง ระหว่างทางด้วยก้อดีไม่น้อย





ยาดม กล้วยตาก ใครชอบแบบไหน พกมาให้ครบ
จะบอกว่ากล้วยตากเนี่ย ช่วยเพิ่มพลังงานได้ดีมากเลยนะ
ลองดูค่ะ





ตลอดทางเดินมีจุดพัก ตั้งชื่อตามตำนานพระร่วง ทั้งหมด 11 จุด
มีป้ายบอกเป็นระยะๆ ว่าอีกกี่ร้อยเมตรจะถึงจุดพักต่อไป
แรกๆ ก็ดูเพลินๆดี หลังๆถ้าดู ชักจะท้อ
เพราะสองสามร้อยเมตรของที่นี่ ก็เดินกันหืดขึ้นคอเลย
ถึงจะสั้นๆ แต่ชันไปตลอดเวย์...

นี่คือ จุดพักชมวิว เป็นจุดพักผ่อน
จุดเดียวที่มองเห็นวิวทิวทัศน์ด้านล่าง
ทั้งเขานมสาว และเมืองคีรีมาศ ได้อย่างชัดเจน 
และสวยงาม สบายตามาก

แวะพักที่นี่กันให้หายเหนื่อย อยู่พักใหญ่



ก่อนหันไปเจอป้าย "จุดสิ้นสุด คนพันธุ์อึด" 
คนเอามาติด กำลังจะสื่อถึงอะไร
ตอนแรกก็ไม่เก็ท พอเดินต่อไป
เจอทางชันกว่าเดินเข้าไปอีก
ขาที่จะหมดแรงอยู่แล้ว ก็เลยหมดแรงอึดตามที่ป้ายมันว่า
เหลือแต่แรงฮึด ก้มหน้า ก้มตา 
เดินสามขา พยายามไปให้ถึงปลายทางให้ได้












ต่อมาเป็นจุดพัก น้ำดิบผามะหาด จะเป็นจุดสุดท้ายที่มีน้ำ 
ถือเป็นต้นน้ำของก็อกต่างๆ ที่เราเจอด้านล่างก่อนหน้านี้







นี่คือจุดพัก "ไทรงาม" รากอากาศดูยิ่งใหญ่ และสวยอลังมาก 
มีพวงมาลัยแขวนห้อยเต็มเลย แอบขนลุกนิดๆ แฮ่!



วันที่เราขึ้นไป อากาศค่อนข้างอบอ้าว และร้อนชื้น
นานๆจะได้เห็นแสงแดดสักที 



เดินชันบ้าง ราบบ้าง แบบหมดเรี่ยวหมดแรง
จนในที่สุด แสงสว่างกลางป่าลึก
ก็โผล่มาให้เห็น นั่นๆๆๆๆ เรามาถึงยอดแล้ว 
เชื่อหรือไม่ บันไดเซ็ทสุดท้ายเนี่ย
ก้าวขาแทบจะไม่ขึ้นแล้ว ต้องกล้ำกลืนฝืนเอาไม้ค้ำพยุงร่าง
ยันตัวเองไปจนถึงลานพักแรมด้านบน  



โหววว ที่กางเต็นท์กว้างใหญ่ ร่มรื่น สวยจัง
ปะๆๆ เรามาถ่ายรูป อวด เพื่อน อวดญาติพี่น้อง อวดชาวโลก 
ให้รู้ว่า "ข้ามาพิชิตแล้วนะ ยอดเขาหลวง" 
ที่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,200 เมตร
ความสูงระดับน้องๆภูสอยดาว
แต่รู้สึกว่าความชันและความเหนื่อยของพี่
มันจะเกินหน้าภูสอยดาวไปเยอะเลยนะ





พวกเราขึ้นมาถึงลานกางเต็นท์ เวลา 14.30 น.
รวมระยะเวลาที่เดินขึ้นมาทั้งหมดประมาณ 5 ชั่วโมง

พอพักจนหายเหนื่อยแล้ว ก็ช่วยกันกางเต็นท์ ยี่ห้อ K2 
คุณภาพระดับ 5 ดาว โอ่โถง โปร่งสบาย สีสวย ดีไซน์เยี่ยม







สร้างห้องโถงใหญ่ สำหรับเป็นที่กินข้าว เมาท์มอย และนอนเล่น
ประดับประดาด้วยสายรุ้ง ฟรุ้งฟริ้ง พร้อมฉลองคริสต์มาสกันในคืนแรก





บริเวณจุดกางเต็นท์ เต็มไปด้วยต้นมะขามป้อม 
เพิ่งเคยเห็นต้นมันเป็นครั้งแรก ลูกดกจริงๆ





หลังจากเก็บสัมภาระกันเรียบร้อยแล้ว ก็สะพายกล้องออกไปจุดชมวิวพระอาทิตย์ตก
ไปไหนก่อนดี เริ่มแตกเสียงกันแระ จึงแบ่งกันเดินเป็น 2 เส้นทาง คือ
เขาแม่ย่า.. และผานารายณ์...




เราเลือกไปผานารายณ์ก่อน
เพราะใกล้กว่า ถ้าเลือกเขาแม่ย่า
ก็กลัวเดินขึ้นไปไม่ทันพระอาทิตย์ตก

อุ๊ตะ...ทางไปจุดชมวิว ยังจะชันอีกนะ เอิ่มมม...
ยังชันกันไม่พอใช่มั้ย เอาที่สบายใจก็แล้วกัน...





ดูจากระยะทางแล้ว น่าจะรู้ว่าทำไมเราถึงเลือกไปผานารายณ์ ฮิๆๆ
อีก 200 เมตร เอง



เกือบ 5 โมงเย็น ก็ถึงยอดเขานารายณ์ 
เจอต้นสนใบอวบอิ่ม พริ้วปลิวไสวตามแรงลม ที่พัดมาเย็นๆ
หมอกจางไหลกระทบร่าง สดชื่นมากกก

และไกลๆนั่น คือ ก้อนหินทรงหัวสุนัข
ตั้งเด่น สูงตระหง่าน มองเห็นป่าด้านล่าง
และเมืองสุโขทัยแบบพาโนราม่า

เป็นมุมมอง Landscape ที่สวยงามมาก 

แต่ก็เสียว และขาสั่นมากๆ เช่นกัน



















รอพระอาทิตย์หลบอยู่ในเมฆหมอกอยู่ตั้งน๊านนน

พอพระอาทิตย์โผล่มา 
พวกเราทุกคนรีบกดชัตเตอร์กันไม่ยั้ง









พวกเรารอส่งพระอาทิตย์จนลาลับขอบฟ้า
ก็มาถ่ายรูปรวมกับป้ายเป็นที่ระลึก
ว่าครั้งหนึ่งเราเคยขึ้นมาถึงที่นี่แล้ว...นะเฟร้ยยย

แต่เอ๊ะ...จุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้น  
อืมมมม แล้วเรามาชมพระอาทิตย์ตกกัน นั่นสินะ ถึงว่า...



อาบน้ำ อาบท่า เสร็จแล้ว
ก็มานั่งล้อมวงดินเนอร์ ฉลองวันคริสต์มาส
ด้วยเมนูแซ่บๆ  แต่จัดเต็ม



เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเราตั้งเป้าหมายว่า
จะขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานารายณ์
เลยเช็คตารางทำงานของพระอาทิตย์จาก GPS
ได้ความว่า เช้านี้พระอาทิตย์ออกทำการ
เวลาประมาณ 7 โมงเช้า

6.30 น. พวกเรารีบจัดแจงล้างหน้า แปรงฟัน
แล้วเดินขึ้นไปยังผานารายณ์
เดินขึ้นทางชันกันแบบงัวเงียๆ
อากาศบางๆ หมอกจัดๆ
รู้สึกว่าเหนื่อยเร็วผิดปกติ

กว่าจะเดินขึ้นมาถึงยอดผา
ก็เกือบ 7 โมงแล้ว
ฟ้าปิด หมอกลงจัด
ไร้วี่แววจะได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นสวยๆ

แต่ก็ได้วิวหมอกขาวๆ
เหมือนอยู่เกาหลี
โรแมนติกไปอีกแบบ





หมอกไหลตามแรงลมปะทะตัวเรา
และทุกสิ่งบนนั้นเป็นระยะๆ
หนาบ้าง จางบ้าง
เราก็ไม่มีสิทธิ์ไปโวยวายอะไร
ได้แต่ดื่มด่ำกับภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้า







แม้เด็กๆแก๊งค์นี้จะทำพิธีบูชาพระอาทิตย์
ก้อไม่สามารถเรียกพระอาทิตย์
ให้โผล่ออกมาเจอพวกเราได้ 555+



เลยเดินถ่ายรูปเล่นรอบๆ
และไฮไลท์อีกอย่างของที่นี่
นอกจากหินรูปหัวสุนัขแล้ว

คือผาหน้าคน
เพื่อนๆว่าเหมือนมั้ยคะ



ทริปนี้เต็มไปด้วยคนเล่นกล้อง
เลยได้ภาพตัวเองสวยๆกลับบ้านเพียบ









พวกเราอยู่ถ่ายรูปเล่นกันสักพัก
จนท้องร้องหิวข้าว
เลยเดินกลับไปที่เต็นท์

ว้าวว เหมือนยกเซเว่นมาไว้บนนี้
โอวัลติน ขนมปัง ซาลาเปา
ก็ขนกันขึ้นมา



หรือใครอยากกินข้าวแกงเขียวหวานไก่
ก็มีมาเสิร์ฟร้อนๆ อร่อยมากๆๆ








อิ่มแปร้แล้ว ก็พักผ่อนตามอัธยาศัย
เดินเล่นเก็บภาพบรรยากาศรอบๆ
















จากแผนที่เราสามารถเดินตามจุดชมวิว
ต่างๆเป็นวงกลม คือ เริ่มจากจุดไหนก่อนก็ได้
แล้ววนให้ครบ ก็จะมีเส้นทางให้เดินกลับมาถึงแคมป์
เป็นเส้นทางง่ายๆ
สามารถเดินกันเองได้
โดยไม่ต้องมี จนท อช นำทาง


เช้านี้เราจึงเลือกเส้นทาง One day trip ง่ายๆ
เป็น เขาแม่ย่า -> เขาเจดีย์ -> ผาชมปรง
โดยตัดยอดเขาภูกา
ที่เดินทางไกลสุดออกไป






จากป้ายบอกทาง เราเดินขึ้นไปทางแยกซ้าย
สู่เขาแม่ย่า ผ่านลาน ฮ.
และเดินตามป้ายเขาแม่ย่า ไปเรื่อยๆ





เส้นทางนี้เป็นทางราบ เดินท่ามกลางไม้ใบ
ร่มรื่น แต่ถ้ามาคนเดียวก็วังเวงเอาเรื่อง

พวกเราเดินหามุมถ่ายรูปเล่นกันไปเรื่อยๆ



















จนกระทั่งเดินมาเจอทางเชื่อม
ระหว่างเขาแม่ย่า กับเขาเจดีย์
พวกเราก็นั่งพักชมวิวทิวเขา
ที่ปกคลุมด้วยหมอกกันสักครู่







อยู่ดีๆ ลมก็พัดหมอกไหลมาหาเรา
แบบเห็นจะๆ ว่ามันไหลมา แล้วก็ไหลไป



เดินขึ้นไปหน่อย ก็ถึงยอดเขาแม่ย่า
ที่นี่ถือเป็นยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ของคนสุโขทัย เพราะเป็นที่ที่แม่ย่า
หรือแม่ของพระร่วง มาบำเพ็ญศีลในช่วงสุดท้ายของชีวิต
ตามตำนานโบราณ



เราใช้เวลาถ่ายรูปเล่นกันอย่างสนุกสนาน









จากนั้น พวกเราเดินทางต่อไปยังเขาพระเจดีย์
เดินไปตามทางเดินที่มีทั้งดอกไม้ และผีเสื้อ
เรียกได้ว่าเป็นเส้นทางเดียวที่ได้เจอดอกไม้น่ารักๆ
ก้มๆเงยๆ กดชัตเตอร์ที่นี่อยู่นาน



















ถึงแล้ว "เขาพระเจดีย์"
ที่มีเอกลักษณ์อยู่ที่กองหินทรงเจดีย์
เพิ่งอ่านเจอในเน็ตว่า เค้าสร้างขึ้นตั้งแต่
สมัยสุโขทัยยังเป็นราชธานี
ถ้ารู้แต่แรก คงจะถ่ายรูปมามากกว่านี้
เพราะบนนั้นต้นหญ้า ต้นสน ค่อนข้างรก
ระเกะระกะ พี่ที่เคยมาที่นี่เมื่อนานมาแล้ว
เล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนมันคือยอดเขาโล่งๆ
และมีเจดีย์หินโดดเด่น สมชื่อ
สวยงามกว่านี้มาก





พวกเราจึงใช้จุดนี้เป็นที่ชมวิวเขา
ที่ทอดแนวยาวอยู่เบื้องหน้า
ซะมากกว่า
เลยไม่ค่อยมีรูปที่นี่เท่าไหร่นัก







ชมแบบพาโนราม่าดูบ้าง




ไม่นานนัก พวกเราก็เดินลงกลับที่พัก
คิดถึงเต็นท์ อยากไปกินหนม นอนเหยียดขา
พักร่าง หลับสักงีบสองงีบ



กินขนม อาบน้ำ อาบท่า
เสร็จเรียบร้อยแล้ว
ก็ประชุมกันว่า เย็นนี้
เราจะไปเก็บภาพพระอาทิตย์ตก
ที่ไหนดี

ใกล้ที่สุดก็คงจะเป็น ผานารายณ์ เหมือนวันแรก
แต่มีเพื่อนคนนึง ตะโกนมาว่า
ผาชมปรงอ่ะ ไปมายัง
สวยนะ จริงๆ

เลยกลับคำเดียวเลยว่า
เดินไปไกลป่ะ???
ชันป่ะ???

คำตอบคือ ไม่ไกล
ไม่ชัน เดินง่าย สบายมาก
จริงจังป่ะ!! เอออออ ไปก้อไป



ผาชมปรงเดินไปได้สองทาง

1. เดินตามป้ายเขาแม่ย่า ผ่านลาน ฮ. 
แล้วไปแยกขวา ผ่านประตูรั้วสถานนีโทรคมนาคม
เดินลงไปหน่อยนึง ก็ถึง

2. เดินตามป้ายผานารายณ์ 
แล้วเดินตรงไปจนเจอประตูรั้วสถานนีโทรคมนาคม
แยกไปทางซ้าย เดินลงไปหน่อยก็ถึง

วินาทีแรกที่มาถึง โว้วววว...
ทิวเขาสลับซับซ้อนสุดลูกหูลูกตา
ฟินสุดๆไปเลยยยย



ถ้าใครมาที่นี่ แล้วรู้สึกไปต่อไม่ไหวจริงๆ
แนะนำให้ตรงมาที่ผาชมปรงนี่เลย
เดินใกล้ๆ แถมสวยงาม สุดยอด
ชอบที่สุดอ่ะ...



ที่นี่พระอาทิตย์จะตกหลังเขาแม่ย่า
เลยไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าแบบชัดๆ
แต่แค่แสงอุ่นๆ กับวิวเบื้องหน้าสวยๆ
ก็กดชัตเตอร์ไม่ทันแล้ว





กลับจากผาชมปรงถึงที่แคมป์ก็เกือบหกโมงเย็น 
อาบน้ำ อาบท่า เสร็จ
ก็มานั่งล้อมวง กินดินเนอร์ อาหารคาว หวาน อันโอชะ
ไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหน เรารู้ว่ายังไงเมื่อเรากลับมาที่เต็นท์
ก็จะมีอาหารและขนมอร่อยๆ รออยู่ ^____^



พวกเรานั่งคุยกันไป กินกันไป เป็นเวลายาวนาน
จนเกือบห้าทุ่มครึ่ง เสียงฝน ในเดือนที่คุณครูเคยสอนว่า
ประเทศไทยจะตรงกับฤดูหนาว ก็ดังแรงขึ้นๆๆๆ
จนฟลายชีทอุ้มน้ำเอาไว้ไม่อยู่ ทยอยกันหยดลงกลางห้องโถงใหญ่
น้ำเริ่มหยดเยอะขึ้นๆ จนพื้นที่พวกเรานั่งอยู่เริ่มเปียกแฉะ
วินาทีนั้น เหมือนค่ายบางระจันที่กำลังจะแตก
ต้องนั่งยองๆ พยุงตัวเอง คอยหลบหยดน้ำฝนให้ได้มากที่สุด





จนฝนซา พวกเราก็รีบวิ่งกันเข้าไปนอนในเต็นท์ K2 ที่แข็งแรงและกันน้ำได้
นอนหลับสบาย อย่างมีความสุข 

ตื่นเช้ามา สภาพหลังฝนตกอย่างหนักเมื่อคืน เป็นอย่างที่เห็น









และแน่นอน รางวัลปลอบขวัญ สำหรับเช้านี้
ก็คือ "ตะ เล หมอก" คิคิคิ

ตรงไปที่ผาชมปรง จุดที่เดินใกล้ที่สุดก่อนเลย

หมอกค่อยๆไหลมา จนฟูเต็มพื้นที่ สวยมากกก



















เป็นการปิดทริปเขาหลวง 3 วัน สองคืน 
อย่างงดงาม และครบทุกรสชาติมาก
สายๆ พวกเราก็เดินลง
ไปเผชิญชะตากรรมระบมน่อง ระบมเข่า กันต่อ T_T

บ๊าย บาย เขาหลวง ขอบอกเลยว่า "นายเจ๋งมาก"



ขอบคุณข้อมูลจาก Pantip
Cr. Rafael-II