รีวิว ลั้ลลาพาเที่ยว ตอน อยู่ดี กิจกรรมแน่น ณ.แพพันวารีย์ เขื่อนเชี่ยวหลาน

สวัสดีค่า ช่วงนี้เจอกันหน้ากระทู้บ๊อย บ่อย อย่าพึ่งเบื่อกันเนาะ ^^ 
ต้นปีนี้ ชีพจรลงเท้ามากเลยค่ะ ออกเดินสายกระจายรายได้เกือบทุกอาทิตย์เลย ^^”

และวีคนี้ เราจะพาเพื่อนๆพี่ๆ น้องๆ ไปพักผ่อนคลายร้อนบนแพในเขื่อนเชี่ยวหลาน หรือเขื่อนรัชชประภา จ.สราษฎร์ธานีกันค่ะ 

- - - - - - - - - - - - - -  - - - - - - - - - - - - - - - - - -


เกริ่นก่อนว่า เราเคยไปที่เขื่อนเชี่ยวหลานมาครั้งนึงแล้วค่ะ เมื่อ 6 ปีก่อน (แม่นมากกก เพราะ timeline FB พึ่งเตือนเมื่อเช้า 555)
ตอนนั้นเราพักที่แพสายชล เคยลงรีวิวในนี้ด้วยน๊าาา รีวิวแรกในพันทิปของเราเลย แต่มันหายไปแล้ว ฮ่าๆ เพี้ยนเพลีย

ก็จะเป็นการเที่ยวพักผ่อนแบบสบายกระเป๋า นอนชิลล์ เล่นน้ำ ถ่ายรูปกันที่แพ ไป slow life กันมากๆ 
แต่รอบนี้ก็จะแตกต่างออกไปค่ะ เพราะเป้าหมายแรกที่เพื่อนสาวหมายตาไว้คือ แพ 500 ไร่ แต่. . . . เรางบไม่ถึง ^^"
เลยมองหาอะไรที่คล้ายๆกันดู ละก็มาเจอที่นี่แหล่ะค่ะ ^^

ซึ่งจะสวย จะสนุกขนาดไหน ตามมากันเลยยยยยยย



สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ถ่ายรูปในทริปนี้ คือ Panasonic GF7+ 15mm F1.7+ 12-32mm ค่ะ ฝากน้องตัวเล็กไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ ^^

ปล.1 ภาพถ่ายในกระทู้นี้ ถ่ายโดย Panasonic G7 มีการย่อไฟล์และผ่านการแต่งด้วยโปรแกรม photoshop เล็กน้อย โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชมค่ะ >v<
ปล.2 ฝากกระทู้รีวิว 3 อันล่าสุดด้วยน้า ^^
ลั้ลลาเที่ยวไทยไปกับ Panasonic G7 Ep.1: เยือนถิ่นสกลนคร: http://pantip.com/topic/34749170
ลั้ลลาเที่ยวไทยไปกับ Panasonic G7 Ep.2: ไปด้วยกัน มาด้วยกัน ณ. สุพรรณบุรี: http://pantip.com/topic/34779907
ลั้ลลาเที่ยวไทยไปกับ Panasonic G7 Ep.3: น่าน เนิบ เนิบ: http://pantip.com/topic/34826834


เดินทางขึ้นเหนืองล่องใต้มาหลายครา นี่จะเป็นครั้งแรกที่ได้เปิดประสบการณ์ไปกับ รฟท.รถไฟไทย!!!! ฮ่าๆ 
ด้วยเหตุแห่งความอยากชิล และอยากลองนั่งรถไฟดูบ้าง แถมราคาก็ไม่ได้ต่างจากตั๋วเครื่องบินที่เป็นช่วงโปรเท่าไหร่ 
เลยลงความเห็นกันค่ะว่า งั้นเราไปรถไฟ กลับเครื่องบินละกัน 

เรามาถึงหัวลำโพงก่อนเวลาขึ้นรถประมาณ 1 ชมค่ะ 
เพราะแต่ละคนที่มารอด้วยกันนี่ ประสบการณ์การขึ้นรถไฟเป็น 0 กันทั้งนั้น มาให้ถึงก่อนเวลาเป็นดี 5555+



ซื้อขนมรองท้องกันนิด





รถไฟที่เราโดยสารในครั้งนี้ เป็นรถนอนปรับอากาศชั้น 2 ชนิด 40 ที่นั่ง รุ่นโตคิว (บนท.ป40) 
ขบวนรถด่วนที่ 85 กรุงเทพ – นครศรีธรรมราช ค่ะ 
แลดูมีความรู้เรื่องรถไฟขึ้นมาทันที ความจริงคือ ดูหน้าตั๋วละเซิชอากู๋ค่ะ 55555+ 



โดยราคาตั๋วจะแตกต่างกันไปนะคะ อย่างของเราจะมี 3 ราคาเลย คือ 
-ขึ้นที่สถานีรถไฟกรุงเทพ หรือ หัวลำโพง นอนเตียงล่าง ราคา 768 บาท 
-ขึ้นที่บางซื่อ นอนเตียงล่าง 764 บาท เตียงบน 694 บาทค่ะ 
สรุปคือ นอนเตียงบนราคาถูกกว่าค่ะ 





และเพื่อให้อินกับการขึ้นรถไฟให้เต็มที่ พวกเราหิ้วท้องอันหิวโหย มากินข้าวบนรถไฟกันค่ะ 
ซึ่งเราสามารถสั่งและทานตรงที่นั่งของเรา หรือไปทานที่ตู้เสบียงก็ได้ค่ะ เมนูและราคาตามนี้เลย



พออาหารมาเสริฟปุ๊บ รู้สึกดีที่ย้ายมาทานที่ตู้เสบียงมากค่ะ เพราะ option เค้าเยอะเชียว ทั้งซุป ทั้งน้ำส้ม วางที่โต๊ะที่นั่งไม่พอแน่ 
เมนูที่เราสั่งมี ข้าวผัดรถไฟ ข้าวผัดอเมริกัน ข้าวไข่เจียวหมูสับเห็ดหอม และ ข้าวผัดกระเพราค่ะ 
สำหรับรสชาติเราว่ากลางๆค่ะ คนต่างชาติทานได้ คนไทยอาจต้องปรุงเพิ่มนิดนึง 











กลับมาถึงที่นั่งของเรา ตอนนี้ได้แปลงร่างกลายเป็นที่นอนไปละค่ะ ^^ 
เจ้าหน้าที่จะเริ่มปูเตียงหลังจากสถานีบางซื่อเป็นต้นไป ก็ราวๆ ทุ่มครึ่ง 2 ทุ่ม นอนกันไปยาวๆ 

มาดูส่วนของที่นอนกันบ้างดีกว่า ของเราได้เตียงชั้นบนค่ะ พอขึ้นมาแล้ว เข้าใจเลยว่า ทำไมข้างบนถูกกว่า 555+ 
เรื่องแรกคือเรื่องความสะดวกค่ะ ต้องปีนขึ้นปีนลง ไม่เหมาะสำหรับผู้สูงอายุหรือคนมีปัญหาเรื่องการปีนป่ายอย่างแน่นอน 
สำหรับตัวเรา เราโอเคกับการปีนค่ะ ทำธุระส่วนตัวเสร็จก็อยู่ข้างบนยาวๆ

เรื่องที่ 2 ด้วยขนาดเตียงที่พอดีหมอน เราเทียบกับหมอนให้เห็นชัดๆ 
หมอนนี่ก็พอดีกับความกว้างไหล่เราเลยค่ะ ใหญ่กว่านิดหน่อย นอนลงไปนี่ พอดีขอบที่นอนเลย 555 
ด้วยความที่มันอยู่สูงจากพื้น อาจจะมีความรู้สึกนิดๆว่าไม่ปลอดภัย แต่เค้าก็มีสายรั้งเตียงพาดไว้ค่ะ อาจจะช่วยได้บ้าง แฮ่ๆ 
แต่ถ้าเป็นคนนอนดิ้นมากๆ อาจจะไม่เหมาะเนอะ ^^



หัวเตียงมีตะกร้าผ้าถักไว้วางของได้ ละก็มีของที่เหมือนโคมไฟอ่านหนังสือ แต่ใช้ไม่ได้ ฮ่าๆ 
ส่วนปลายเตียงมีแขนพับไว้ห้อยของได้ค่ะ ข้างๆกันก็เป็นที่วางสัมภาระ ความสูงระดับพอดี หยิบของได้สบายค่ะ





ส่วนเรื่องที่ว่า นอนบนรถไฟเสียงดังมั้ย จะนอนหลับมั้ย เวียนหัวมั้ย 
คือสำหรับเรา เราเป็นพวกนอนบนรถหลับง่ายกว่านอนปกติอ่ะค่ะ คงเหมือนเด็กๆชอบนอนไกวเปลทำนองนั้น 
เรื่องพวกนั้นเลยไม่มีปัญหาสำหรับเราเลย ปิดโทรศัพท์ และนอนอย่างสบาย >v< 
จะมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ผู้โดยสารเริ่มลงที่ชุมพร เพราะลงกันเยอะค่ะ รับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหว 
ตรงไหนที่ผู้โดยสารลงแล้ว พี่จนท ก็จะเก็บเตียง และพับเตียงขึ้นเป็นเบาะนั่งเหมือนเดิมค่ะ

ซักพักเราก็ลุกกันบ้างละค่ะ ล้างหน้าล้างตา และเริ่มหิว กินขนมรองท้องซักนิด ด้วยคุ๊กกี้แฮนด์เมด ฝีมือรุ่นน้องเราเอง ^^





ไม่นานนัก เราก็ถึงสถานีสุราษฎร์ธานี ดีเลย์เบาๆที่ 1 ชม ^^”


แพพันวารีย์ ต้นรักทัวร์

สำหรับที่พักที่เราเลือกในครั้งนี้ คือ แพพันวารีย์ค่ะ ซื้อมาจากงานท่องเที่ยวไทยเมื่อปี 58 
และแอบเจ็บใจนิดหน่อยที่ซื้อปุ๊บ งานครั้งต่อมา ราคาลด 5555+ 

ที่พักที่นี่ขายขาดเป็นทัวร์ค่ะ ภายใต้ชื่อ ต้นรักทัวร์ ซึ่งเค้าก็จะมีแพคเกจหลายแบบหลายราคา 
ที่เราเลือกไว้ครั้งแรกคือ โปรแกรมเชี่ยวหลาน-พันวารีย์ 3 วัน 2 คืน ราคาอยู่ที่ 5500 บาทต่อคนค่ะ 
โดยในราคาดังกล่าวรวมอาหารและค่ากิจกรรมไว้แล้ว แต่ภายหลังด้วยเหตุขัดข้องของทางที่พัก 
จึงปรับโปรแกรมเราเป็น เชี่ยวหลาน-ขนอม 3 วัน 2 คืนแทนค่ะ 

เอาเป็นว่า ใครสนใจรายละเอียด ลองไปสอบถามโปรโมชั่นต่างๆที่บูทงานไทยเที่ยวไทยดูดีกว่าเนาะ งานมีถึงวันที่ 6 มีนาคมนี้ค่ะ ^^

การเดินทางหลังจากลงรถไฟแล้ว เราใช้บริการรถตู้รับส่งของทางรีสอร์ทค่ะ มีเวลาประมาณเกือบ 3 ชม ก่อนจะถึงเวลาขึ้นเรือ 
พี่เค้าเลยพาเราไปทานมื้อเช้าแบบภาคใต้สไตล์กัน นั่นก็คือ ติ่มซำนั่นเองงงงงงง 
ของโปรดเรามากๆ 55+ ลงใต้ทีไร ต้องมาเปิบติ่มซำค่ะ ^^ 
ร้านนี้พี่คนขับการันตีว่า อร่อยชัวร์!!! ถ้ากลับมาบอกไม่อร่อย เดี๋ยวผมจ่ายให้!!! เอาซี่ แบบนี้ต้องพิสูจน์ ^^ 

ร้านนี้อยู่ไม่ไกลสถานีรถไฟค่ะ ชื่อร้านว่า ติ่มซำบ้านลุง 
รสชาติไม่ต้องพูดถึงค่ะ อิ่มอร่อยกันถ้วนหน้า คลีนนนนนนทุกจาน >v< รวมค่าเสียหาย 547 บาทค่ะ









จุดแวะเที่ยวที่แรกของเราในทริปนี้ ชื่อว่า สะพานแขวนเขาพัง หรือ สะพานแขวนบ้านเขาเทพพิทักษ์ค่ะ 
เป็นทางผ่านก่อนเข้าไปถึงทางเข้าเขื่อนเชี่ยวหลาน เรียกได้ว่าเป็น unseen สำหรับเราเลย 
เพราะพี่คนขับรถบอกว่า ภูเขาที่นี่เป็นรูปหัวใจค่ะ ^^ หัวใจ

แค่ได้ยินก็ตื่นเต้นแล้วววว ขับรถจากตัวเมืองมาถึงตรงนี้ก็ใช้เวลาราวๆ 1ชมครึ่งค่ะ 
ใกล้ถึงแล้วๆ เห็นมั้ยคะ เป็นรูปหัวใจจริงๆด้วย ^^






11.00น โดยประมาณ ตามเวลาท้องถิ่น ได้เวลาลงเรือละค่ะ ^^ 
น้ำในเขื่อนใสเหมือนน้ำทะเลเลค่ะ แต่เป็นน้ำจืดทังหมดนะคะ 
ถ้าชอบถ่ายรูปเราว่า นั่งริมๆจะถ่ายรูปสะดวกนะคะ แต่ต้องแลกกับละอองน้ำซัดสาดซักเล็กน้อย ^^”






ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ก็มาถึงแพพักของเราละค่ะ สวยใช้ได้เลยนะนี่ ^^ 


พอขึ้นแพไปได้ ก็จะมี welcome drink แจกดับกระหาย
น้องๆไกด์ก็แจกกุญแจห้องพักของแต่ละกรุ๊ปพร้อมแจ้งกำหนดการท่องเที่ยวให้ทราบค่ะ 
สัมภาระต่างๆพี่ๆน้องๆพนักงานก็ช่วยยกไปให้จนถึงห้องเรียบร้อยเลย 


ห้องของเราเป็นหลังแรกเลยค่ะ นอนได้ 4 คน ข้างล่างเป็นเตียง 2 เตียง ขึ้นชั้นลอยเป็นฟูกปูกว้างๆ นอนได้ 2-3 คนค่ะ




เก็บของถ่ายรูปได้แป๊บนึง น้องพนักงานก็มาตามให้ไปทานข้าวมื้อกลางวันค่ะ จะมีอะไรให้กินบ้างน๊อ










มื้อแรกบนแพ เมนูไม่ตื่นตาตื่นใจเท่าไหร่ แต่รสชาติโดยรวมถือว่า ถูกปากทุกคนนะคะ ^^
และเนื่องจากโปรแกรมของกรุ๊ปเรา ไม่เหมือนของกรุ๊ปอื่น เราเลยมีเวลาเล่นน้ำหน้าแพพักไม่มากเท่าไหร่ค่ะ 
แอบเสียดาย เพราะกำลังเพลินเลย >v< อ่อ ชูชีพของที่นี่จะให้หยิบตามเลขห้องนะคะ ถือว่ามีการจัดการที่เป็นระเบียบดีค่ะ ^^

โปรแกรมเสริมของกรุ๊ปเราก็คือ เดินป่า+เที่ยวถ้ำปะการังนั่นเองค่ะ 


จุดที่เราไปนั้น มีชื่อเรียกที่คุ้นปากมากกว่า ว่า ทะเลใน 500 ไร่ 
การเข้าถึงทำได้อย่างเดียวคือ ข้ามเขานี้ไปค่ะ เพราะเป็นพื้นที่ปิด ไม่เชื่อมต่อกับผืนน้ำส่วนอื่นๆเลย
เดินป่า ขึ้นเขากันไม่ไกลมาก พอให้หัวใจสูบฉีด >v< ก็มาถึงจุดลอยแพไม้ไผ่ เพื่อไปต่อยังถ้ำปะการังค่ะ 






เรื่องการติดต่อ น้องไกด์ที่ดูแลเรา “ไกด์น้องบอย” จัดการให้เป็นอย่างดีค่ะ ^^ ระหว่างรอ เราก็ถ่ายรูปกันไปเพลินๆ

รอซักพักใหญ่ๆ ก็ถึงคิวเราแล้ว แพ 1 เที่ยว สามารถพานักท่องเที่ยวไปได้ประมาณ 15 คนค่ะ 


ที่ได้ชื่อว่าถ้ำปะการังนั้น ไม่ได้มีปะการังที่มีชีวิตเหมือนในใต้น้ำนะคะ 
แต่ภายในถ้ำนี้ มีศิลปกรรมทางธรรมชาติที่ชื่อว่า หินงอกหินย้อยรูปร่างสวยงามคล้ายปะการังเต็มไปหมดค่ะ ^^ 
ของจริง งามกว่าในรูปเยอะเลยค่ะ ^^ เพราะจับภาพด้วยกล้องในที่มืด รูปเบลอเกือบหมดเลย แฮ่ ^^"
พี่เจ้าหน้าที่ที่พาไป ก็เล่าเรื่องได้สนุกมากเลยค่ะ






ใช้เวลาอยู่ในถ้ำประมาณ 15 นาที บอกเลยว่า ประทับใจความงามของธรรมชาติมากๆเลยค่ะ ไม่เสียดายเวลาที่รอเลย ^^ 
อาจจะถ่ายรูปมาได้ไม่มาก เพราะข้างในค่อนข้างมืด 
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จะถ่ายรูปหรือเดินไปไหน ต้องระมัดระวังอย่างไปโดนหินงอกหินย้อยเหล่านี้นะคะ 
เค้าจะได้เติบโตให้คนรุ่นหลังได้มาชมกันอีกนานๆค่ะ ^^






ได้เวลากลับแพแล้วละค่ะ ^^ เดินข้ามเขากลับมาที่จอดเรือกันอีกรอบ


โปรแกรมต่อเนื่องยาวกันไปก็คือ ไปชมกุ้ยหลินเมืองไทยหรือเขาสามหน่อค่ะ ^^












กลับถึงที่พักก็มืดละค่า สิ่งแรกที่น้องไกด์บอกเมื่อเรามาถึงก็คือ “เดี๋ยวทานอาหารมื้อเย็นกันได้เลยนะค๊า”  
คือแบบ วันนี้ทั้งวันคือ ออกไปเที่ยว และกลับมากินข้าว แค่นี้เลย 55 
มื้อนี้มีของโปรดของพวกเราหลายอย่างเลยค่ะ ทั้งปลาทอด ทั้งใบเหลียงผัดไข่ เติมได้นะคะ เอาให้อิ่มมมมม >v<


อิ่ม อร่อยและคลีนมากกกก คลีนจานเลย ฮ่าๆ เรายังแอบแซวๆกันว่า นี่ต้องเป็นกุศโลบายของที่นี่แน่ๆเลย 
หลอกให้ไปเที่ยวให้เหนื่อย ละค่อยกลับมากินข้าวให้หมด 555+

ยังค่ะ โปรแกรมยังไม่หมด นอกจากว่ายน้ำ พายคายัค เดินป่า ล่องแพ ดูถ้ำปะการังแล้ววววววววว 
เรายังมีกิจกรรม “ลอยกระทงในดินแดนศักดิ์สิทธิ์” กันอีก 1 กิจกรรมค่ะ แน่นค่ะ กิจกรรมเค้าแน่นนนจริงอะไรจริง 555 

Concept ของกิจกรรมนี้ ก็จะคล้ายๆกับประเพณีลอยกระทงค่ะ 
คือการทั้งขอขมาและแสดงความเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกปักรักษาพื้นที่แห่งนี้ 
รวมถึงระลึกถึงความเสียสละของทุกชีวิตที่เคยอาศัยอยู่ที่นี่นั่นเองค่ะ 

ก่อนจะลอย ไกด์ที่ไปกับเราก็จะเล่าถึงความเป็นมาต่างๆเหล่านี้ให้เราฟัง แล้วจึงให้จุดเทียนและลอยกระทงที่ทำจากขนมปังออกไปค่ะ  
ด้วยบรรยากาศที่เย็นๆ เงียบๆ ท้องฟ้าสว่างไสวมาก เพราะเป็นวันก่อนพระจันทร์เต็มดวง เราว่ามันค่อนข้างมีมนต์ขลังพอสมควรเลย




กลับมาถึงแพพัก รอบนี้น้องไกด์ไม่ได้เรียกกินข้าวค่ะ 555 พึ่งกินไป 
น้องเค้าแจ้งเรื่องกำหนดการในวันพรุ่งนี้ค่ะ 6 โมงเช้า ไป กิจกรรม Morning safari <<< ส่องสัตว์ยามเช้า!?! จะเจออะไรมั้ยน๊ออออ

ตื่นตามนัดค่ะ เช้ากว่านิดหน่อย >v< เลยได้เก็บบรรยากาศยามเช้าสวยๆก่อนไปกิจกรรม




กิจกรรม Morning Safari ก็คือ ส่องสัตว์ยามเช้าจริงๆค่ะ เป็นการล่องเรือเลียบเขาเพื่อดูวิถีชีวิตของสัตว์ยามเช้า 
สำหรับเช้านี้เราเจอฝูงลิงประมาณเกือบ 10 ตัวค่ะ เป็นลูกลิงตัวเล็กๆ มาเด็ดลูกไม้กัน 
แต่เลนส์เราซูมไปไม่ถึงนะคะ แฮ่ๆ ชื่นชมด้วยตาและบรรยายให้อ่านแทน อิอิ

หลังจากนั้นเราก็ไม่เจออะไรแล้วค่ะ ก็นั่งเรือชมธรรมชาติยามเช้ากันไปชิลล์ๆ






กลับมาถึงที่พัก แน่นอนค่ะว่า . . . . ถูกต้องละค่า น้องไกด์พูดประโยคเดิมเลย “พี่ๆ ทานอาหารเช้ากันได้เลยนะคะ” >v<” 
เพราะเราต้องเชคเอาท์กันตอน 9 โมงค่ะ ขึ้นจากเรือปุ๊บ ก็หม่ำๆกันตามสเตป 
อาหารเช้าเป็นไลน์บุฟเฟต์ค่ะ มีทั้งข้าวต้มและพวกขนมปังปิ้ง ไส้กรอกค่ะ






เก็บข้าวเก็บของ เก็บบรรยากาศมุมเดิมๆ ที่เพิ่มเติมคือเวลาที่เปลี่ยนไป




จริงๆทริปเรายังไม่จบนะคะ ยังมีอีกวันตามแพคเกจที่จะไปขนอมต่อ ไว้มีโอกาส เราจะมารีวิวเพิ่มเติมละกันนะคะ ^^ 
สรุปภาพรวมของทริปนี้ก่อนละกันค่ะ
1.    ที่พัก 9.5/10
เหลือ 0.5 ไว้ให้พัฒนาต่อนะคะ ^^ 
รวมๆเราชอบที่นี่พอสมควรเลยค่ะ เพราะจำนวนแพพักไม่มาก ไม่พลุกพล่าน ห้องพักสะอาด หลับสบาย 
สำหรับสัญญาณโทรศัพท์ ที่นี่ AIS แจ่มค่ะ อื่นๆ ลาก่อน 555+ เราว่าก็ดีนะคะ เอาตัวเองออกจากหน้าจอ แล้วมองธรรมชาติรอบๆแทน ^^

2.    ไกด์และ staff 9/10
น้องๆไกด์มีความตั้งใจและมีความสามารถมากค่ะ ลูกค้าและพนักงานอยู่ในอัตราส่วนที่ดูแลกันได้ทั่วถึง
อาจจะมีบางส่วนที่หลุดไปบ้าง แต่ก็ไม่มากมายอะไรค่ะ
-    น้องไกด์ผู้หญิง 2 คน เราไม่ค่อยได้เจอในเรือลำเดียวกันเท่าไหร่ เลยแอบลืมชื่อ ขอโทษทีนะคะ  
เป็นน้องใหม่ไฟแรง ดูคึกคักและสนุกกับการทำงานดีค่ะ บางทีก็แอบเห็นสีหน้าเหนื่อยๆบ้าง เพราะต้องดูแลลูกค้าหลายๆแบบ 
ทำตามตารางบ้างไม่ตามบ้าง ฮ่าๆ ยังไงก็เป็นกำลังใจให้นะคะ น้องเก่งมากๆเลย ^^
-  ไกด์น้องบอย คนนี้ไกด์สายฮาค่ะ ตลกหน้านิ่งๆมึนๆ เล่าเรื่องได้เรื่อยๆ 
มีเรื่องให้พวกเราชาวคณะได้หัวเราะลืมเหนื่อยกันตลอดทาง ขอบคุณที่ดูแลพวกเราตลอดทริปที่อยู่ที่แพนะคะ ^^
- ไกด์น้องแนน (ไกด์ที่นี่ออกตัวแรง แนะนำตัวเองด้วยน้องทุกคนค่ะ เลยต้องเรียกตาม 555) 
คนนี้ตัวเด็ด สายฮาแบบบ้าพลัง มีวลีเด็ดที่ว่า เรื่องที่ไกด์น้องแนนเล่า ไม่เป็นเรื่องตลก ก็เรื่องโกหก!!! 5555+ 
ไกด์คนนี้ดูแลเราต่อจากไกด์น้องบอย ในช่วงที่เราไปขนอมค่ะ น้องดูแลเราดีมากเช่นกัน 
จะนอนก็นอนไม่ได้ มัวแต่ขำมุกตลก 555+ เอาเป็นว่า ขอบคุณนะคะ ยังไม่ได้รีวิวขนอม แต่ขอบคุณไว้ก่อนเลย ^^
- Staff ที่แพ เอาใจใส่ทุกการเคลื่อนไหวค่ะ ฮ่าๆ ถามตลอดว่า เติมข้าวมั้ย เติมอาหารมั้ย ให้ยกกระเป๋าเลยมั้ย ดูขยันขันแข็งสุดๆเลยค่ะ
- ไกด์ต้น คนนี้รับบทหนัก เพราะต้องทำเวลาเพื่อไปส่งพวกเราที่สนามบินให้ทัน 
เนื่องจากโปรแกรมในวันสุดท้ายนั้นโดยขยายเวลาจาก 2 ชม เป็น 3 ชม ด้วยสภาพอากาศ 
ขอบคุณที่จัดการทุกอย่างให้พวกเราไปถึงสนามบินอย่างปลอดภัยค่ะ ^^

3.    อาหาร 8/10
อาหารรสชาติดีค่ะ เติมได้ไม่อั้น อาจมีบางอย่างเท่านั้นเองที่อาจจะไม่ค่อยถูกปากนัก 
อาจจะด้วยความที่เราไม่ทราบเมนูอาหารแต่ละมื้อมาก่อน ด้วยราคาแพคเกจและที่นี่คือภาคใต้ ถึงจะอยู่ในเขื่อนน้ำจืดก็ตาม >v<” 
เราเลยคาดหวังว่าจะได้ทานอาหารแปลกๆ หรือพื้นเมืองมากกว่านี้อ่ะค่ะ

4.    ความคุ้มค่ากับราคา 7/10
ให้กลางๆไว้ก่อนนะคะ เพราะเรายังรู้สึกว่า ราคามันค่อนข้างสูง 
ถ้าคิดว่า ราคาเท่านี้ แลกกับการอำนวยความสะดวก และความสะดวกสบายที่ได้รับ ก็ถือว่าโอเคระดับนึงค่ะ

หวังว่ากระทู้ของเราจะเป็นประโยชน์บ้างนะคะ ปิดท้ายด้วยรูประหว่างการนั่งเรือเข้าฝั่งละกันค่ะ




ขอบคุณสำหรับทุกการติดตามนะคะ ไว้เจอกันใหม่โอกาสหน้า สวัสดีค่า ^^
ที่มา Pantip