รีวิว ทริปแบกเป้ หิ้วกล้อง ไปท่องเมืองคอน (ทริป 3 วัน 2 คืน ที่ฉันตื่นมากลางธรรมชาติ)



เหลโหล้วววววว ชาวพันทิป เรานั่งว่างๆ ดูรูปเก่าๆ ก็คิดถึงหนึ่งในทริปที่ประทับใจในฟามทรงจำเก่าๆ ทริปบุกบ้านเพื่อนที่นครศรีธรรมราช เลยอยากมาเขียนแบ่งปัน ชาวพันทิปกันนะคะ 

ที่มาของทริปนี้คือเพื่อนเราคนหนึ่ง เป็นคนนครศรีธรรมราช เรารู้จักนางมาตั้งแต่สมัยเด็กน้อย เพราะนางมาเรียนหนังสือกรุงเทพ พอนางเรียนจบ นางกลับไปทำงานที่บ้าน นางเหงา นางไม่ได้เจอเพื่อนนาน นางเลยชวนชาวเราไปเที่ยวบ้านนาง ด้วยความเป็นเพื่อนที่แสนดีของเรา เพื่อนชวนมา เราก็ต้องไป รวบรวมชาวแก๊ง นักเที่ยว นักถ่ายรูป รวมกัน 5 หน่อ มีวันหยุด 3 วันพอดี พวกเราเลยจองตั๋ว แพ็กกระเป๋า ละออกเดินทาง บุกบ้านเพื่อนเลยข่าาา





เนื่องจากทริปนี้เราไม่ได้มีเวลาเยอะ เพราะฉะนั้นเราจะไม่ขับรถไปแน่นอน นั่งเครื่องบินสิรออะไร สายการบินที่เราเลือกในครั้งนี้คือ ไทยไลอ้อนแอร์ ไม่มีอะไรมากค่ะ ถูกที่สุดนั่นเอง 555 ไปกลับ ตกอยู่คนละ 1600 บาทค่ะ (คือเราจองกันกระชั้นนิดนึง แต่จริงๆ ถ้าวางแผนกันนานกว่านี้มีราคาโปรมาเพียบ ใครโชคดีอาจได้ราคาถูกกว่านี้นะ) เดินทางแค่ประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึงแล้วค่ะ กำลังจะหลับๆ อ้าวถึงพอดี เร็วมากๆ 55555


พอไปถึงสนามบิน เราก็รีบติดต่อเพื่อนเลย เพื่อนบอกว่ากำลังจะถึงแล้ว สำหรับใครที่นั่งเครื่องมาเราแนะนำให้เช่ารถนะ เพราะไม่งั้นจะไปไหนมาไหนยังไง แท๊กซี่ไม่มีให้โบกนะเออ แต่เพื่อนเราบอกนะว่าสำหรับสายการบินนกแอร์ กับแอร์เอเชียเค้าจะมีบริการรถรับส่งพาเข้าเมืองนครฯด้วย โดยราคาก็รวมไปกับค่าตั๋วเครื่องบินไปเลย ยังไงเพื่อนๆก็ลองหาข้อมูลการเดินทางดีๆกันก่อนจองตั๋วเครื่องบินแล้วกันนะ

ระหว่างที่เรารอเพื่อนมารับ เราก็แวะกินโกปี๊รองท้องกันก่อนค่ะ เป็นร้านโกปี๊สาขาเล็กๆ อยู่ในแอร์พอร์ท โกปี๊ เป็นภาษาจีนที่แปลว่า Coffee หรือว่ากาแฟ มาใต้ทั้งที ก็ต้องแวะกินกาแฟ จิบน้ำชากันสักหน่อย เล็กๆน้อยๆสำหรับใครจะสั่งเครื่องดื่ม รสชาติค่อนข้างติดหวาน ถ้าใครไม่ชอบทานหวานจัด แนะนำให้บอกพนักงานตอนสั่งด้วยนะคะ จะหวานน้อย หวานน๊อยน้อย หรือหวานน้อยสุดๆ ก็ว่าไป (เพราะส่วนใหญ่ได้มาก็หวานอยู่ดีนะ ฮ่าๆๆๆ)



โอ้โหยยยยย นึกว่าฮันนี่โทสแถวบ้าน



ไม่นานเพื่อนก็มา ทักทายกันพอหายคิดถึง ก็ลุยกันเลยยยย การมาเที่ยวตามคำชวนของเพื่อน โดยมีเพื่อนเป็นเจ้าบ้านนั้น มันช่างดีจริงๆ  เพราะนอกจากเราจะให้นางมารับถึงที่แล้ว นางยังอาสาแพลนทุกอย่างไว้ให้เราหมดแล้วด้วย (นี่เพื่อนอาสา หรือว่าเราใช้เพื่อนกันแน่ 555555 ไม่นะ เพื่อนเต็มใจช่วยเราจริงๆ 55555)

เพื่อนบอกว่าเดี๋ยววันนี้จะยังไม่ได้เข้าเมืองหรือไปทะเลนะ แต่จะพาเข้าป่า พบเจอธรรมชาติและจะไปล่องห่วงยางกัน เราก็นึกภาพไปถึงพวกล่องแก่งแบบในสี่แพร่งที่เค้าเล่นกันแล้วคว่ำตาย เอ้ยไม่ใช่ 5555555 เราถามเพื่อนว่าล่องห่วงยางนี่เป็นไง เพื่อนก็บอก ว่ามันก็ไม่รู้เหมือนกัน นี่อยู่นครฯ มาตั้งแต่เกิดก็ไม่เคยเล่นมาก่อน 5555 แล้วที่ๆมันจะไปวันนี้มันก็ไม่เคยไปเหมือนกันนะ ไปเปิดประสบการณ์ครั้งแรกพร้อมกันเลย โอเครจร้าาา เป็นไงเป็นกัน

เพื่อนพาขับรถแบบแลดูเข้าป่ามาก วิวเมืองเริ่มหาย ภูเขาต้นไม้เริ่มเยอะ ฟีลการผจญภัยเริ่มมา เรากำลังมุ่งหน้าไปยังอำเภอพรมคีรี ซึ่งอยู่ห่างจากสนามบินประมาณ 20 กม.ระหว่างทางเพื่อนชวนหยุดแวะกินข้าวเที่ยงเราเลยได้แวะกินส้มตำกัน ส้มตำร้านนี้พิเศษตรงที่เป็นร้านส้มตำที่อยู่ติดกับน้ำตกเลย คือกินส้มตำไปก็มีวิวน้ำตกอยู่ข้างๆงี้เลย เกร๋ๆอะ น้ำตกนี้ชื่อว่าน้ำตกพรหมโลก ระหว่างรออาหารมา ทุกคนก็หยิบกล้องไปถ่ายรูปฆ่าเวลากันเพลินๆ อากาศเย็นๆ สบายๆ ได้ใกล้ชิดธรรมชาติและเป็นส่วนตัวขนาดนี้ รู้สึกดีไปอีกแบบจริงๆ




เดินทางมาเหนื่อยๆ ประเดิมอาหารมื้อแรกอย่างเป็นทางการของทริปนี้ พวกเราเลยจัดเต็มกันเลยค่ะ เมนูมีดังนี้
ส้มตำไข่เค็ม ส้มตำมะพร้าวอ่อน น้ำตกหมู ไก่ย่าง ต้มแซ่บหมู ข้าวเหนียว ขนมจีน เฉลี่ยแล้วคนละประมาณ 100 บาทเท่านั้นค่ะ อิ่มแปร้ มีแรงไปเที่ยวต่อ มาชมภาพกันเลยยยย




หลังจากโซ้ยส้มตำเสร็จ ก็มีพี่อุ๊มารับเราบอกจะพาไปล่องห่วงยาง พี่อุ๊เป็นเพื่อนของเพื่อนเรา พี่เค้าเป็นคนเท่ๆ เรียนจบที่กรุงเทพ แล้วก็ตัดสินใจกลับบ้าน มารับช่วงทำสวนผลไม้ต่อจากที่บ้าน แล้วก็รู้สึกว่า Belong to the wild หง่อวววว เท่เด้อค่าาา เมื่อมีเจ้าถิ่นเป็นไกด์ให้ ทริปเราจึงสุดค่ะ สุด เริ่มจากที่พัก คือบอกตรงๆ ไม่ได้เตรียมใจว่าเพื่อนจะพามานอนอะไรแบบนี้เลย เป็นบ้านไม้ เล็กๆ โอเพ่นแอร์ กางมุ้งนอนแค่นั้นเอง บอกเลย super duper close to the nature เหมือนเราตัดขาดจากความสุขสบายในชีวิตกรุง และได้มาพบความสงบกลางป่าของจริง 

ตอนกลางคืน ก็มีไฟอยู่ไม่กี่ดวง มีปลั๊ก เสียบแบตชาร์จแบตได้ แต่ไม่แน่ใจว่าไฟเข้าหรือเปล่า แต่ก็ดีเหมือนกันนะ เพราะได้ใช้เวลากับเพื่อนตรงหน้า มีความสุขกับสิ่งที่ทำ 




พี่บ่าว หรือ เจ้าของบ้าน เป็นนักเดินป่า อยู่กลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติเขาหลวง (เขาหลวง เป็นหนึ่งในยอดเขาที่เขาว่ากันว่าโหดที่สุดในประเทศไทย) บ้านพักนี้ พี่บ่าวสร้างขึ้นเพื่อให้เพื่อนนักเดินป่ามาค้างแรมก่อนเข้าป่า บรรยากาศเลยออกมาเป็นส่วนตัวมาก เป็นกันเอง ไม่มีจองใน booking.com หรือ agoda นะ มีแต่ปากต่อปากเท่านั้น 



หลังจากเก็บของเรียบร้อยแล้ว เราก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมไปล่องห่วงยางกัน ก่อนจะออกไปจากที่พัก พี่อุ๊ก็ยื่น Welcome Drink มาให้ เป็นเหล้าข้าว เหล้าป่าต้นตำรับ เรียกได้ว่า เข้าถึงอารมณ์บ้านกลางป่าสุดๆไปเลย เราจัดกันคนละกรึ๊บ แล้วก็ขึ้นรถกระบะเดินทางไปล่องห่วงยางกัน



ห่วงยางที่ไว้ล่องก็จะเป็นห่วงยางสีดำ อันใหญ่ๆ วิธีล่องคือเหมือนเรานอนไปบนห่วงยาง หย่อนตูดลงไปในห่วงแบบนั้นแหละ คือเรานึกถึงเวลาไปเล่นสวนน้ำ ที่เรานอนบนห่วงยางหย่อนตูด สบายๆ แล้วค่อยๆลอยไปตามน้ำ แต่อันนี้มันไม่ใช่แบบนั้นนะ มันไม่ได้ชิวๆ ไหลเอื่อยๆ แต่มันไหลแรงแล้วมันมาก 5555 ก่อนที่เราจะล่อง พี่อุ๊ก็จะสอนก่อนว่า พยายามอย่าเอามือยื่นออกไปนอกห่วงยางนะ แล้วก็ให้พยายามแอ่นตูดไว้ด้วยเพราะตูดอาจจะกระแทกหินได้ เราก็โอเค เข้าใจ พร้อมแล้ว อยากล่องห่วงยางแล้ว พอปล่อยตัวไปเท่านั้นแหละ โป๊กกก!!!! โอ้ยยยย ตูดกระแทกหิน ยังไม่ทันไรเลย โอ้ยยย คือเจ็บ คือตอนแรกยังไม่เข้าใจว่าที่ให้แอ่นตูดต้องทำไง ตอนนี้คือเข้าใจละ คือเราจะหย่อนตูดไปเยอะๆไม่ได้ เราต้องพยายามแอ่นไม่ให้ตูดเรามันเลยขอบห่วงยางลงไป นึกออกมั้ยอะ 555555 หลังจากนั้นเราก็พยายามตั้งสติ คอยเซฟตัวเอง ไม่อยากกระแทกหินแล้ว 5555 คือมันสนุกมากเลยนะ มันทำให้เรานึกถึงเวลาเราไปเที่ยวสวนน้ำ แล้วลื่นห่วงยางบนสไลด์เดอร์ แต่อันนี้มันเจ๋งตรงที่ว่าทุกอย่างมันเกิดจากธรรมชาติโดยทั้งหมดเลย มันสนุกมากเลยว่าห่วงยางเราไปชนหินแล้วมันทำให้ห่วงยางเราหมุน เปลี่ยนทิศทางบ้าง แล้วน้ำก็ค่อนข้างไหลแรง บางครั้งก็เสียวเหมือนกัน มีคว่ำบ้างกันเป็นบางครั้ง แต่ทั้งหมดที่เราเล่นกันนี้ จะมีพี่มาช่วยดูอยู่ตลอด คอยช่วยเวลาเราคว่ำ ช่วยดึงเราเวลาเราติดกับพุ่มไม้ เพราะฉะนั้นเรื่องความปลอดภัยก็ไม่ต้องห่วงเลย แต่พูดถึงเราก็ต้องคอยเซฟตัวเองด้วยเหมือนกัน คอยดูหิน สังเกต ตลอดเวลา แล้วก็ต้องอย่าลืมที่จะแอ่นตูด เราโดนหินกระแทกตูดเยอะสุดเลย 5555 สรุปเราล่องห่วงยางกันไป 2 รอบ บอกตรงๆว่าสนุก แต่ขาเราแอบช้ำเลย เพราะกระแทกหิน ถ้าใครมาเล่นก็ระวังกันนิดนึงแล้วกันนะ แต่รับรองว่าสนุกจริงๆ 




ล่องห่วงยางเสร็จ พี่อุ๊ก็ชวนเราไปเที่ยวน้ำตกพรหมโลก หรือว่าต้นสายของสายน้ำที่เราเพิ่งล่องกันไป เว่อวังอลังการมากมาย ทั้งความเชี่ยวของน้ำตก และ ความกว้างใหญ่ของสายน้ำ




เสร็จแล้ว เราก็กลับมา อาบน้ำกันเรียบร้อย เพื่อนบางคนก็เดินไปอาบน้ำที่ลำธารใกล้ๆ เพราะห้องน้ำมีแค่ห้องเดียว close to nature สุดๆ มื้อเย็น เค้าก็มีอาหารให้เราทาน ออกจะแนวอาหารท้องถิ่น น่าจะหาทานยากอยู่ รสชาดอาจจะไม่ค่อยคุ้นปาก แต่ก็ทานได้นะ หลังจากทานเสร็จเราก็นั่งเม้าท์ต่อกันยาวเลย แต่จะนอนดึกมากไม่ได้เพราะพรุ่งนี้เราต้องรีบตื่นกันแต่เช้า เพราะเรามีโปรแกรมชมทะเลหมอกแต่เช้ามืดเลย

เช้าวันที่สอง เช้านี้เราตื่นกันตั้งแต่ตี4 อ่านไม่ผิดค่ะ ตี4จริงจริ๊ง เป้าหมายของเช้านี้คือการได้เห็นทะเลหมอกเต็มๆตา ตอนแรกที่เพื่อนบอกว่าจะพาไปดูทะเลหมอก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าภาคใต้ก็มีทะเลหมอกด้วย เราเข้าใจว่าต้องไปภาคเหนือภาคอีสานถึงจะมี(คือคิดไปเองล้วนๆ) เราก็ตื่นเต้นมากเพราะไม่เคยเห็นทะเลหมอกมาก่อน มาถึงจุดนี้แล้ว ตี4 ก็ตี4เถอะค่ะ ลุยยยยย

จุดที่เราไปชมทะเลหมอกกันนั้นเรียกว่า “จุดชมทะเลหมอกกรุงชิง” ซึ่งอยู่ในพื้นที่อำเภอนบพิตำ
พี่อุ๊เป็นไกด์ให้เราเช่นเดิม มากันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง มีเพียงแสงไฟฉายส่องทางเดินเรียงกันไปจากที่จอดรถ ขึ้นไปถึงจุดชมวิวใช้เวลาประมาณ 10 นาทีได้ ไม่ไกลนะ แต่ทางมันมืดและต้องเดินระวังทางหน่อย อากาศก็ชื้นๆ เย็นๆ พอขึ้นไปถึงจุดชมวิว  เราก็เดินสำรวจ หาที่ทางเตรียมถ่ายรูปกัน จากนั้นก็รอ รอค่ะ แล้วก็รอ รอเวลาพระอาทิตย์ขึ้น และเผยภาพทะเลหมอก ทั้งรอทั้งลุ้นในเวลาเดียวกัน แต่เราไม่ได้รอกันแบบน่าเบื่อนะ พี่อุ๊เค้าเอาไก่ทอดข้าวเหนียว และกาแฟมาให้กินบนนี้ด้วย ฟินสุดๆ 55555 คือดีงามมาก ณ จุดนั้น อากาศเย็นสบาย สดชื่น จิบกาแฟร้อนๆ เปิบข้าวเหนียวไก่อร่อยๆ กับเพื่อนดีๆ จนเวลาผ่านไป พระอาทิตย์ขึ้น สรุป เราก็ไม่ได้เห็นทะเลหมอกแบบชัดๆ ...เศร้าแพพ แต่วิวก็สวยอยู่ดีนะ อากาศดี แค่นี้ก็แฮปปี้แล้ว








เมื่อเราดูทะเลหมอก จางๆ และควันเสร็จ ก็มุ่งหน้าไปขนอม หรือ บ้านเพื่อนของเรานั่นเอง แต่เพราะเมื่อเช้าเราตื่นกันเช้ามากกกกกกก ทุกคนจึงร้องเรียกหากาแฟ เพื่อนเราเลยแวะ “ขนอมEspresso” ร้านน่ารักเป็นกันเอง กาแฟอร่อย ลาเต้อาร์ตงามตา





แล้วเราก็ไปกินขนมจีนกัน เป็นร้านขนมจีนท้องถิ่น ร้านขนมจีน จากสี่แยกแรก เลี้ยวซ้ายไปทางตลาดบางโหนด เลย7-11ไปนิดนึง เลี้ยวซ้ายเข้าไปเลย จะเจอร้านเล็กๆริมถนน มีกันสาด อารมณ์โลคอลมากๆ  ให้อารมณ์ไปขอบ้านเค้ากินมากเลย 5555555 เราอยากลิ้มลองน้ำยา น้ำพริก และแกงทุกแบบที่มี เราเลยรีเควส ทุกแกงมาวางไว้ตรงกลาง และสั่งขนมจีนมากันคนละจาน เราจึงได้ชิมน้ำพริก น้ำยากันหมดทุกแบบเลย กินกับไข่ต้มนะ คืออร่อยมาก พูดแล้วยังอยากกินอยู่เลย 555555





ขนมจีนจานละ 10 บาท
ไข่ฟองละ 10 บาท
แกงแยก 20 บาท แต่ถ้าเป็นแกงไก่ 30 บาท

รวมๆ พวกเรากินเฉลี่ยคนละ 50 บาท คือถูกมากกกก อิ่มมากกกก และอร่อยมากกก ใครจะมาขนอม แนะนำๆนะคะ

แต่เพราะเรายกขบวนกันมา 5 คน จะไปนอนบ้านเพื่อนก็เกรงจุยนิสนุง เพื่อนเราเลยช่วยจองที่พักในขนอมให้ รีสอร์ทที่เราไปพักชื่อ อนาวิลล่า เป็นรีสอร์ทเล็ก น่ารักๆ ได้ฟีลrelax-nature- peacefulดี ไปไม่ยาก ถ้าไปโรงไฟฟ้า เราก็แค่ข้ามสะพานบางแพงที่เรือจอดเยอะๆ ตรงไปนิดนึงจะโค้งซ้ายไป เลยโรงเรียนท่าม่วง ผ่านเทศบาลตำบลท้องเนียนไปนิดนึงก็เจอกับอนาวิลล่าตังเก รีสอร์ทอยู่ทางซ้ายมือ



รีสอร์ทแต่งด้วยเปลือกหอยเล็ก หอยน้อย ให้อารมณ์อยู่ชายทะเล เรามากัน5 คนเลยจองห้องสองห้อง แบบที่สามารถเชื่อมหากันได้ ห้องกว้างขวางมาก ตู้เย็น ทีวี และมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบจร้า (กระซิบสาวๆว่ามีไดร์เป่าผมให้ด้วยนะ สบายแฮร์ละ อิอิ)







รีสอร์ทไม่ได้อยู่ติดทะเล แต่ติดป่าโกงกาง ก็เท่ๆ ไปอีกแบบ แทนที่จะนอนสวยริมหาด พวกเราก็ได้พายเรือคายักชมป่าโกงกางแทน เพราะเราเป็นลูกค้ารีสอร์ท พวกเราเลยได้พายฟรีจ้า แต่ถ้าใครที่อยากพายเรือเล่นเฉยๆ ไม่นอนโรงแรม เค้าคิดค่าพายชั่วโมงละ 200 บาทนะ 




เพื่อนบอกว่าจริงๆ ตอนกลางคืนเราสามารถออกเรือไปชมหิ่งห้อยได้ด้วยนะ แต่ว่าเพื่อนไม่ได้จองเรือไว้ให้ก่อน ก็เลยไม่ได้ไป ถ้ามีโอกาสไปอีก จัดแน่นอน

หลังจากนั้นเราก็ยังมีเวลาเหลือ เพื่อนเลยพาเราไปเที่ยวน้ำตก ซึ่งเป็นน้ำตกลึกลับ (น้ำตกลึกลับนี่คือเราเรียกกันเองนะ 55555) ระหว่างทางที่เดินไปคือแดดแรงมาก พอไปถึงเราก็ลงไปแช่น้ำกัน ตอนนั้นคือไม่ไหวละ ขอแช่น้ำเย็นๆหน่อยเถอะ 



น้ำตกลึกลับของเราจริงๆชื่อน้ำตกหินลาด เป็นน้ำตกลึกลับ สุด exclusive ที่นักท่องเที่ยวยังไม่ค่อยรู้จักกัน พวกเราจอดรถตีนเขาแล้วเดินเท้าเข้าไปต่อ เดินผ่านทิวมะพร้าว และ เขื่อนชุมชน พอเดินถึงน้ำตก ที่เพื่อนเราคุยโม้ว่า น้ำไหลสูงเท่าเอว แถมเชี่ยวมาก ต้องใช้เวลาเดินครึ่งชั่วโมง กว่าจะฝ่าน้ำข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งได้ แต่เมื่อพวกเราไปถึง ปรากฎว่า เอ๊ะ น้ำเท่าตาตุ่ม ก็ธรรมชาติอะเนาะ คาดการณ์อะไรไม่ค่อยได้ 55555 ถือว่าโชคดีของพวกเราไป





พวกเราใช้เวลาเดินข้ามน้ำตกประมาณ 10 นาที ก็ถึงจุดไฮไลท์ เราก็ถ่ายรูปกันหนำใจ แต่เดินมา 10 นาทีจะกลับก็อะไรอยู่ พวกเราจึงตัดสินใจวางกล้องใหญ่ หยิบโกโปร แล้วเดินต่อ สำรวจน้ำตกขั้นสูงขึ้นไปอีก คราวนี้ก็หวาดเสียวหน่อย มีเดินลุยน้ำ ปีนหิน ว่ายน้ำเล็กๆ สนุกมากเลย จนเราไปถึงที่ๆ น้ำไหลถึงเอวและมีน้ำตกสายใหญ่ พวกเราก็เป็นอันสมใจ ถ่ายรูปกัน แล้วก็เดินลงค่ะ 

หลังจากกลับที่พัก อาบน้ำอะไรเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลามื้อเย็น มื้ออาหารเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนรอคอย เย็นวันนี้เพื่อนเราพามากินข้าวที่ร้าน Summer Beach  มาจากขนอม เจอสี่แยกแรกตรงไป จนถึงถนนหาดหน้าด่าน เลี้ยวขวาไปประมาณ 2 กม. จะเห็นป้ายปลา3ตัวอยู่ด้านซ้ายมือ ถึงแล้ว Summer Beach (เพื่อนกระซิบว่าร้านนี้เปิดเฉพาะ ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ นะ เรามาได้จังหวะพอดี๊พอดี)



เป็นร้านที่บรรยากาศดีมากๆ ขอย้ำว่า บรรยากาศดีมากกก กอไก่ ยาวๆไปเลย เหมาะแก่การมานั่งชิวยามเย็น กับเพื่อน หรือถ้าใครมากับแฟนก็โรแมนติกใช้ได้เลยจริงๆ มันทำให้เรานึกไปถึงร้านบรรยากาศดีๆ แถวสุขุมวิทอะไรแบบนี้ แต่นี่เป็นฉบับต่างจังหวัดและที่สำคัญคือมันติดทะเล !!!     



เมนูอาหารของร้านนี้จะเรียกว่าเป็นแนวอะไรดี ไม่ใช่อาหารซีฟู้ด แต่จะเน้นดื่ม อาหารที่ทางร้านแนะนำก็จะเป็นเสต็กเนื้อเทนเดอลอย อะไรแบบนี้ 
มีเสต็กเทนเดอร์ลอยน์ ลาบแซลม่อน แซลม่อนซาชิมิ แล้วก็ส้มตำทอด เราชอบส้มตำทอดมากอร่อยๆ



พอทานอาหารเสร็จ ก็ออกไปเดินริมชายหาด แล้วเห็นดาวชัดมากด้วย ชิวสุดๆ

ใครแวะไปขนอมก็อย่าลืมแวะไปทานอาหาร ไปกินลม ชมบรรยากาศดีๆกันได้ แต่อย่าลืมว่าเปิดแค่ ศุกร์-อาทิตย์ และเปิดตั้งแต่ 15:00- 23:00 ค่า
แอบฝากเบอร์ร้านไว้ให้นิดนุง 089-337-9222 

ก่อนกลับที่พัก เราก็แวะกินของหวานกันสักหน่อยค่ะ มาใต้เราก็ต้องกินชาชักกับโรตี แต่โรตีที่เรากินไม่ใช่โรตี ธรรมดาๆ นะคะ เพราะเป็น โรตีทิชชู่ คือโรตีที่ใส่ทิชชู่ลงไป เอ้ยไม่ใช่!! 5555555555 แต่คือโรตีแผ่นใหญ่ๆ กรอบๆ ที่อร่อยมากๆเลย




เช้าวันนี้สาม วันสุดท้ายแล้ว ต้องรีบตื่นเช้าหน่อย ใช้เวลาให้คุ้มค่า เราตื่นกันประมาณเจ็ดโมง เพื่อนบอกตั้งแต่เมื่อคืนแล้วแหละว่าวันนี้จะพาไปดูปลาโลมาสีชมพู ตอนเช้า เพื่อนเราก็โทรไปเช็คที่ท่าเรือ ว่าเรือออกได้มั้ย เพราะถ้าเกิดมีพายุเข้า บางทีเรือก็จะออกไม่ได้ แต่ปรากฏว่าเรือออกได้ไม่มีปัญหาอะไร เราก็รีบไปกันเลย ไปถึงแหลมประทับ ประมาณ 8 โมงเช้า เราไปแวะซื้อข้าวเหนียวหมูเป็นห่อๆ เอาขึ้นไปกินบนเรือด้วย ตอนนั้นคนยังน้อยมาก แทบไม่มีคนที่มาแบบเราเลย แบบเป็นนักท่องเที่ยวมา มีแต่บรรดาแม่ค้าที่เค้ามาขายน้ำ ขายหมวก ขายนู่นขายนี่กันเต็มไปหมด เราก็เดินไปขึ้นเรือ เป็นเรือหางยาว มีลุงคนขับเรือตรงหางคนนึง และมีป้าอยู่หน้าเรือคนนึง พร้อมแล้วก็ออกเรือไป เราก็นั่งชิวๆไป ให้ลมตีหน้าไป มองดูนู่นดูนี่ไปเรื่อย ซักพัก เรือก็มาหยุดอยู่ตรงนึง ป้าบอกว่าตรงเนี่ยแหละ ปลาโลมาจะมา ทุกคนก็มองหากันให้ควั่ก ปรากฎว่า ไหนนนนน ป้าาาาา ทำไมไม่มี!!!!! แล้วป้าก็พูดว่า “วันนี้มันไม่มาละ ถ้ามันมามันต้องโผล่มาแล้ว”  เราก็นึกกัน อ้าวเห้ยป้า ทำไมแน่ใจจัง นี่ป้าไม่ให้เวลาเลยหรอ อยู่ดีๆจะมาบอกว่าวันนี้ไม่เจอ แล้วหนูออกเรือมาแล้วเนี่ย ตังก็จ่ายมาแล้ว แล้วจะยังไงป้า 555555 ตอนนั้นคือรู้สึกแบบ ทำไมป้าไม่รอหน่อย มันอาจจะออกมาก็ได้นะ เราต้องอดทน พยายามนั่งรอซักพักรึเปล่า นี่ป้าเหมือนสรุปแบบอย่างรวดเร็วเลย เราก็เซ็งใหญ่ พยายามให้ใครลองบอกป้าซิว่า ป้ารอหน่อยนะ แต่สุดท้ายป้าก็บอกให้เรือขับต่อไปเลย เราก็เซ็งดิโห่ ทำไมทำงี้อะป้า 5555555 เรือก็แล่นต่อไป ไปหยุดให้เราแวะไหว้หลวงปู่ทวด เราก็ขึ้นจากเรือไป จุดนี้เป็นจุดที่เราเจอนักท่องเที่ยวที่มากับเรือลำอื่นๆ พากันมาจอดตรงนี้กันหมด เราก็พยายามจะถามเรือลำอื่นนะ ว่าเป็นไง เจอโลมามั้ย แต่ก็ไม่มีใครบอกว่าเจอเลย เราก็เออ หรือว่าวันนี้เราจะดวงไม่ดีจริงๆนะ ใจก็ยังคิด นี่เราจะไม่เจอโลมากันจริงๆหรอ 55555






เราก็ขึ้นจากเรือไปสักการะหลวงปู่ทวดกัน เราเองก็ไหว้ไปพอเป็นพิธีไม่ได้ขออะไรจริงจัง พอตอนกำลังจะกลับขึ้นเรือไปแล้ว เพื่อนเราที่เป็นคนนครฯ ก็บอกว่า รู้มัยว่ามันขออะไร เราก็ถามว่าอะไรหรอ มันบอกว่า มันขอหลวงปู่ทวดให้เราเห็นปลาโลมา เราก็เลยแบบ เห้ยยยทำไมเราถึงคิดไม่ได้ จุดนี้ต้องพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วสินะ 



หลังจากกลับขึ้นเรือแล้วเรือแล่นไปอีกครั้ง ไม่นาน เพื่อนเราตะโกน “นั่นไง โลมา” หันควับกันทั้งลำเลยจ้าาา เรือหยุด แล้วเราก็เห็น โลมาค่อยๆออกมาจริงๆด้วย เหมือนว่าจะมีหลายตัวเลย ทั้งไกล แล้วดูไปเรื่อยๆ มีว่ายมาใกล้ๆด้วย โหยย หลวงปู่ทวดนี่ศักดิ์สิทธิ์แท้ เราก็ตื่นเต้นดีใจมาก และดีใจยิ่งกว่าอะไรเลยคือเราถ่ายรูปมาได้ด้วย เย่ๆๆๆๆ ภูมิใจสุดๆ โลมาที่ขนอมนี่ก็ไม่ใช่โลมาเฉยๆนะ เพราะโลมาที่นี่เขาเป็นสีชมพู โลมาสีชมพู หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า โลมาเผือกหลังโหนก ความจริงแล้วตอนเกิดมา พวกมันก็มีสีเทาเหมือนโลมาทั่วๆไปนั่นแหละ แต่พอเริ่มแก่มันถึงจะกลายเป็นสีชมพู เพราะว่าเม็ดสีที่กระจายตัวมาชิดผิวหนังมากขึ้น โลมาก็น่ารักอยู่แล้ว ยิ่งสีชมพูก็น่ารัก คาวาอิเนะ กันไปอีกคร่า แต่ที่เราเห็นมันก็ออกเทาๆ แบบโลมาปกตินะ



พอขึ้นเรือจ่ายค่าเรือเหมาลำ 1,000 บาท พวกเราไปกัน 6 คน ตกคนละ 170 บาท คุ้มมากค่ะ ทั้งงง ทั้งลุ้น ทั้งฮา ถือว่า mission completed แล้วหละ อย่างน้อยก็ได้เจอโลมา คุ้มแล้ว

หลังจากนั้นเราก็กลับมาที่พัก มาอาบน้ำกันใหม่ เก็บของ เตรียมตัวกลับบ้าน ตอนนั้นก็เที่ยงพอดี ก็ต้องกินข้าวเที่ยงสิจริงมั้ย เราเลยมากินมื้อเที่ยงกันที่ครัวตังเก ซึ่งเป็นร้านอาหารที่อยู่ในรีสอร์ท ถือเป็นอีกหนึ่งความดีงามที่เราได้พักที่นี่ เพราะมีร้านครัวตังเก (เห็นว่าร้านนี้มีชื่ออยู่นะ) อยู่ใกล้ เรียกว่าใกล้มากๆ เดินจากห้องพักกันมาแบบชิวๆเลยทีเดียว 



ครัวตังเกเป็นร้านอาหารทะเล ร้านจะตั้งอยู่ติดริมคลอง มองไปเห็นวิวป่าโกงกาง บรรยากาศค่อนข้างดีงาม เราตกลงกันง่ายๆคือเลือกสั่งกันมาคนละ 1 เมนู  เราเลยได้มา 5 จานหลักๆ คือ แกงส้มปลากระพงยอดมะพร้าว อร่อยนะเราว่า รสชาติจัดจ้านฟีลแกงใต้ แต่ใครไม่ถนัดทานเผ็ดคงต้องเลี่ยงหน่อยนะ เมี่ยงปลาสำลี เมนูนี้ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าฟินนนน คืออร่อยมาก แนะนำเลย แต่เหมือนว่าจะไม่อยู่ในเมนูนะ ต้องลองถามพนักงานดู  เนื้อกั้งทอดกระเทียม กั้งเป็นกั้ง เต็มคำมาก ด้วยความที่ชาวแก๊งเราเป็นสาวกกั้งกันทุกคน เลยปลื้มปริ่มกันไปตามๆกัน ยังมีส้มตำปูเรด้า(เมนูนี้เห็นว่าเป็นปูหายาก แบบมีstory พนักงานเล่าให้เราฟัง แต่เราจำไม่ได้ แหะๆ) ผัดผักรวม และแถมข้าวผัดครัวตังเกเพิ่มมาอีกจาน(เพราะเพื่อนเราคนนึงดันไม่อยากกินข้าวสวย 5555) รวมๆคืออร่อย อิ่มหนำมาก 




หลังจากทานอาหารกันเสร็จแล้ว ก็ไม่รอช้า โปรแกรมเรายังไม่หมดนะ เพื่อนรีบพาเราเข้าตัวเมืองนคร เพราะตั้งใจจะพาพวกเรามาไหว้พระธาตุ ซึ่งถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างมากของที่นี่ สำหรับใครที่ใส่กระโปรงหรือกางเกงขาสั้น เค้าก็จะมีผ้านุ่งสีขาวๆ ให้นุ่งทับด้วย เพื่อนความเรียบร้อยจ้าาา 






พออิ่มบุญกันไปแล้ว ยัง ยัง เรื่องอาหารเรายังไม่หยุด เรายังมีพื้นที่ในกระเพราะ และมีเวลาสำหรับอาหารได้อยู่เสมอ  และมื้อสุดท้ายก่อนจะจากไป เรามาจบกันที่ร้าน โกปี๊ เป็นร้านเดียวกับที่เราทานกันที่แอร์พอร์ทตอนขามานั่นแหละ แต่ที่นี่จะเป็นสาขาใหญ่  ร้านนี้เป็นร้านชื่อดังของนครฯ เช่นกัน เป็นร้านที่เน้นขายอาหารเช้า แนว ขนมปัง กาแฟ ชาเย็น แล้วก็มีพวก ขนมจีบ ซาลาเปา รวมไปถึงบักกุ๊ดเต๋ด้วย 






ทริปนี้ เรียกได้ว่า เจ้มจ้นมากจริงๆ อัดแน่นไปด้วยกิจกรรม และเรื่องกินเราก็จัดเต็มเช่นกัน 5555 ถึงแม้เราจะมีเวลาแค่ 3 วัน แต่เราก็ได้ทำอะไรเยอะแยะเลย แล้วยิ่งทุกวันนี้ตั๋วเครื่องบินถูกลงเยอะมากแล้ว จะไปไหน ก็ช่วยเซฟคอส เซฟเวลาไปได้เยอะ ก็อยากเชิญชวนทุกคนให้มาเที่ยวเมืองไทยกันนะ และสำหรับนครศรีธรรมราช อาจจะไม่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองท่องเที่ยว แต่นครฯ ก็มีอะไรให้เราได้ทำเยอะเหมือนกัน ลองมาเที่ยวดู แล้วคุณจะรู้ว่ามันมีอะไรที่มากกว่ามาเที่ยวทะเล หวังว่ากระทู้นี้ คงจะสร้างความบันเทิง และช่วยแนะนำ ชี้แนะแนวทางให้ผู้สนใจ และรักในการท่องเที่ยว ได้สาระความรู้ไปบ้าง ไม่มากก็น้อยนะคะ ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ ถ้ามีอะไรผิดพลาด ติชมมาได้เลยนะคะ แล้วเจอกันใหม่กระทู้หน้าค่าาาา



สุดท้าย เรามาสรุปค่าเสียหายทั้งทริปกันดีกว่า เป็นค่าเสียหายโดยเฉลี่ยต่อคน ตลอดทั้งทริปนะคะ

ค่าเครื่องบิน 1,600 บาท

วันแรก 
-ของว่างร้านโกปี้ที่สนามบิน 50 บาท
-ส้มตำริมน้ำตก 120 บาท

วันที่ 2
ค่าที่พักบ้านริมเขา 700 บาท 
จิบกาแฟที่ ขนอม expresso 55 บาท
ขนมจีนในตำนาน 50 บาท
ดินเนอร์สุดชิล ที่ Summer Beach 350 บาท

วันที่ 3
ไปนั่งเรือไปดูปลาโลมาสีชมพู (ราคาเหมาลำ 1,000 บาท พวกเรา 6 คน) ตกคนละ 170 บาท 
มื้อใหญ่ที่ครัวตังเก 200 บาท
ค่าที่พักอนาวิลล่า 550 บาท
จิบกินขนอม expresso 55 บาท เช่นเคย
กินโกปี๊ตัวเมืองคอน 70 บาท

ค่าใช้จ่ายตลอดทริป 2,670 บาท (ไม่รวมค่าเดินทางนะคะ เพราะเพื่อนรับส่ง อุอิ)

ใครสนใจอยากได้เบอร์ติดต่อ หลังไมค์มาได้นะคะ


ที่มา Pantip
Cr. thipthapthipthap