กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกถ้าผิดพลาดไปขออภัยด้วยครับ
กระทู้นี้เป็นการท่องเที่ยว backpack และ ค้าง 1 คืน จากวิชาท่องเที่ยวของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง 5555 ไปดูกันเลยดีกว่าครับ
เป็นคำถามที่ยากจะหาคำตอบว่าเราจะ backpack กันไปที่ไหนกันดี สำหรับการเที่ยวในรายวิชา GEN441 ที่ได้รับโจทย์ว่า เราต้องไปค้างที่นั่นเป็นเวลา 1 คืน แต่เนื่องด้วยมีภารกิจหลายอย่าง จึงทำให้มีเวลากระชั้นชิดเหลือเกินในการเที่ยวครั้งนี้ เราจึงไม่อยากเสียเวลากับการเดินทางมากนักทำให้เรามองว่าที่เที่ยวที่ไม่ได้ไกลจากรุงเทพมากนัก แต่กลุ่มเราส่วนใหญ่ต่างก็เป็นคนอีสานเราจึงเลือกที่ที่ไม่ไกลจากรุงเทพและเป็นที่ที่เราไม่เคยไป เราจึงตกลงกันว่าวันหยุดยาวเนื่องในวันปิยมหาราชนี้ เราจะแบกเป้ไปอัมพวา จังหวัดสมุทรสงครามกัน การเที่ยวครั้งนี้มีคอนเซ็ปคือ low price high experience เราจึงวางแผนการเดินทางไปด้วย “รถไฟฟรีจากภาษีประชาชน” เนี่ยแหละ แต่ที่จริงอัมพวาอยู่ใกล้มากถ้ามีรถส่วนตัวก็ขับไปเองได้ แค่ชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึงแล้ว แต่อีกทางหนึ่งคือเดินทางด้วยรถตู้จากเคหะธนบุรี หรืออนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิก็สะดวกไม่แพ้กัน ที่เราเลือกรถไฟฟรีเพราะคิดว่าระหว่างทางคงมีอะไรที่หลากหลายให้ได้เรียนรู้มากกว่าต้องไปเจอรถติดบนท้องถนน เราเริ่มต้นการเดินทางที่สถานีรถไฟวงเวียนใหญ่ ด้วยการซื้อตั๋วเอ้ย “ขอตั๋ว” รถไฟ เพียงแค่เอาบัตรประชาชนไปแลกมา นี่แหละครับ สิทธิที่เห็นได้ชัดของการเป็นคนไทยคือขึ้นรถไฟฟรี ฮ่าๆๆ ในขณะที่ฝรั่งต้องซื้อตั๋วโดยสารไปกับเรา
เส้นทางรถไฟไปอัมพวาคือ เราต้องตีตั๋วจากวงเวียนใหญ่ มุ่งหน้าสู่สถานีมหาชัย จากนั้นต้องนั่งเรือข้ามฟากไปขึ้นรถไฟที่ท่าฉลองมุ่งหน้าสู่สมุทรสงคราม จากนั้นก็ต่อรถสองแถวเข้าสู่อำเภออัมพวา โห!!!! แค่ฟังดูเส้นทางที่หลากหลายขนาดนี้ก็น่าตื่นเต้นสุดๆแล้ว
เรามาถึงสถานีรถไฟวงเวียนใหญ่ก็ 10.30 แต่รถไฟมาเกือบ 11 โมง ไม่ค่อยตรงเวลาเท่าไหร่เลยแต่ก็สนุกดีครับ
ระหว่างทางในการนั่งรถไฟก็เพลินดีครับ ทั้งตึกรามบ้านช่อง คลอง สวนปาล์ม วิถีชุมชุนที่หลากหลาย ขอบอกว่าต้องลองมาสัมผัสเองครับ
เรามาถึงสถานีมหาชัยเที่ยงเป้ะ จากนั้นก็เดินถามคนแถวนั้นดูว่าสถานีรถไฟท่าฉลอมต้องไปขึ้นเรือข้ามฟากตรงไหนเพื่อจะไปอัมพวา ได้ความว่า “ตอนนี้ไม่มีรถไฟไปสมุทรสงครามแล้ว” อ่าวเป็นงั้นไป เนื่องจากมีการซ่อมแซมทางรถไฟ เราจึงต้องเปลี่ยนแผนกันซะหน่อย เนื่องจากโชคดี มีรถตู้จากตลาดมหาชัยไปส่งถึงอัมพวาเลย
เที่ยงแล้วท้องก็เริ่มหิวเรากะเลยเดินหาอะไรรองท้องที่ตลาดมหาชัยกันก่อน เคยได้ยินแต่ชื่อเสียงว่าตลาดมหาชัยเป็นแหล่งที่รวบรวมอาหารทะเลทั้งสดและแห้งมากมาย แต่พอมาเห็นด้วยตาตัวเองถึงกับตะลึงครับ มันเยอะจริงๆ เราก็ไม่พลาดที่จะถ่ายรูปมาฝากกัน อีกมุมที่เห็นแล้วรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูกคือ ภาพอันกว้างใหญ่ของแม่น้ำท่าจีนตรงท่าเรือมหาชัย ได้เห็นอีกหนึ่งวีถีชวิตของชาวจังหวัดสมุทรสาครที่อาศัยแม่น้ำท่าจีนแห่งนี้เป็นเส้นทางหลักในการสัญจรและขนส่งสินค้า
พักเหนื่อยจากการนั่งรถไฟและอิ่มท้องกันแล้ว ป้ายต่อไปคือขึ้นรถตู้มุ่งหน้าสู่อัมพวากันครับ ค่ารถตู้ 60 บาท ก็ถือว่าไม่แพงครับ รถตู้ใช้เวลาวิ่งประมาณชั่วโมงครึ่งเนื่องจากรถค่อนข้างติด ก็มาถึงอัมพวาเป้าหมายของเราในการพักค้างคืนกันครับ
เรามาถึงตลาดน้ำอัมพวากันประมาณบ่ายสาม สิ่งแรกที่เห็นคือความเงียบสงบของบ้านริมคลอง
อัมพวา มีเพียงเรือติดเครื่องยนต์ที่สัญจรไปมาอย่างห่างๆ
พอเดินเรียบคลองไปเรื่อยๆ จึงเจอกับโซนที่เป็นตลาดน้ำที่หนาแน่นไปด้วยร้านขายของมากมายเลียบคลองทั้งสองฝั่ง สอบถามผู้คนแถวนั้นก็ได้ทราบว่าตลาดน้ำริมคลองอัมพวานี้จะคึกคักมาตอนช่วงเย็น เราจึงวางแผนกันว่าจะเข้าที่พักกันเก็บของกันก่อนแล้วค่อยออกมาเดินชิวกันตอนช่วงเย็น เราจองที่พักไว้ที่ “บ้านทอแสง” ซึ่งต้องข้ามเรือไปอีกฟากของแม่น้ำแม่กลอง ระหว่างทางเดินฝ่าผู้คนมุ่งสู่ท่าเรือข้ามเพื่อเข้าที่พัก ทุกคนต่างก็ตื่นเต้นเพราะความรู้สึกแรกที่เราได้สัมผัสที่อัมพวาแห่งนี้มันเกินจากที่เราคาดหวังไว้มาก เพราะถ้าเราไม่ได้มาสัมผัส เราอาจจะคิดว่ามันก็แค่ตลาดน้ำแต่พอมาถึง คลองอัมพวาแห่งนี้ยังมีเสน่ห์หลายอย่างที่ชวนให้อยากค้นหาต่อไป เรารีบเดินไปท่าเรือข้ามฟากเพื่อไปเก็บข้าวของ
จากท่าเรือข้ามฟาก เรือจะมาส่งที่ท่าเรือหน้าวัด เราก็เดินตรงผ่านวัดออกมา แล้วข้ามถนนเดินเข้าซอยที่อยู่ตรงข้ามวัด เข้าสู่โฮมสเตย์ “บ้านทอแสง”
“บ้านทอแสง” เป็นโฮมสเตย์ที่ตั้งอยู่ริมคลอง แสดงให้เห็นวิถีชีวิตริมคลองแบบไทยเดิม ที่เราไม่คิดว่าเราจะได้มาสัมผัส เรียกได้พอได้มานั่งริมคลองดูสายน้ำ ดูการใช้ชีวิตของชาวบ้านที่นี่ ที่อยู่กันแบบเรียบง่ายทำเอาลืมความวุ่นวาย ความเร่งรีบและกิจวัตรประจำวันที่เต็มไปด้วยการแข่งขันในกรุงเทพไปเลย ได้นั่งเอาเท้าแช่น้ำคลองทำให้นึกถึงเพลง “มนต์รักแม่กลอง” ของพี่ก๊อต จักรพันธ์ เลยครับ ท่ามกลางความเรียบง่ายและความสงบนิ่ง มันมีความโรแมนติกแทรกซึมอยู่ สามารถสะกดเราให้ช้าลงได้เลยทีเดียว นี่แหละครับผมว่า “Slow life” ที่ทุกคนต่างให้ความสนใจในยุคนี้
ได้เวลานัดห้าโมงเย็น ก็มีเรือมารับเราไปเดินตลาดน้ำยามเย็น ไฮไลท์ของอัมพวาแห่งนี้ ริมคลองทั้งสองฝั่งเต็มไปด้วยร้านขายอาหารมากมาย ไม่ว่าจะเป็นหมึก ปูหรือกุ้งเผาตัวใหญ่ๆ นั่งกินชิวๆ ริมคลองก็เข้าท่าอีกแบบ ขอแนะนำเลยครับสำหรับคออาหารทะเล มาที่อัมพวาไม่ผิดหวังแน่นอน
เลียบทางเดินริมคลองมีร้านขายของมากมายทั้งของกิน ของที่ระลึก และของเล่นที่เราต่างเคยเห็นในตอนเด็กที่ไม่มีขายตามร้านขายของเล่นทั่วไป เพลิดเพลินไปกับการเดินดูของที่ทำให้เราคิดถึงสมัยเด็กๆ เรียกได้ว่า เป็นการเดินย้อนความทรงจำกันเลยก็ว่าได้
นอกจากการเดินตลาดน้ำยามเย็นแล้ว อีกหนึ่งกิจกรรมที่ทุกคนที่มาอัมพวาต้องได้สัมผัสคือการนั่งเรือชมหิ่งห้อยยามค่ำคืน ซึ่งนอกจากจะได้ชมความสสวยงามของหิ่งห้อยแล้วยังได้เห็นวิถีชีวิตของชาวอัมพวาจริงๆที่ไม่ได้อยู่ในย่านที่นักท่องเที่ยวพลุกพล่าน เป็นชีวิตที่เรียบง่ายที่ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องไปออกันบนท้องถนนหลังเลิกงาน ไม่ต้องแย่งกันขึ้นรถเมล์หรือรถไฟฟ้าในชัวโมงเร่งด่วน เป็นอีกหนึ่งข้อพิสูจน์ว่า วิถีชีวิตของคนไทยเดิมยังคงทำให้คนเรามีความสุขได้ ไม่จำเป็นต้องวิ่งตามเทคโนโลยีเสมอไป ซึ่งแท้จริงแล้วชาวบ้านอัมพวาอาจจะไม่ต้องการเทคโนโลยีเลยด้วยซ้ำไป (เป็นที่น่าเสียดายที่ไม่สามารถถ่ายรูปหิ่งห้อยมาฝากได้ ต้องไปสัมผัสเองน่ะครับ) กิจกรรมในวันที่สองของการมาเที่ยวอัมพวาคือ การใส่บาตรตอนเช้าซึ่งยอมรับตามตรงเลยว่า ก็เคยเห็นแต่ในละครเหมือนกันที่พระสงฆ์พายเรือมาบิณฑบาตร ตอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยก็ไม่ค่อยได้ทำบุญกันซักเท่าไหร่ เช้านี้ทำบุญซะหน่อยครับ เรียกได้ว่าเช้านี้ที่อัมพวาเป็นเช้าที่สดชื่นที่สุดในรอบปีครับเพราะสูดอากาศได้ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะได้รับควันรถเลย การได้หายใจช้าลง แต่หายใจลึกขึ้นขึ้นก็ทำให้ร่างกายสดชื่น มีชีวิตชีวาอย่างไม่น่าเชื่อ น่าเสียดายที่วันนี้เราต้องโบกมือลา “Slow life” ที่อัมพวาแห่งนี้กลับสู้ชีวิตจริงที่แสนวุ่นวายในเมืองกรุงกันแล้ว เอาเป็นว่าถ้าใครไม่ค่อยมีเวลาได้พักยาวๆ หรือไม่อยากเหนื่อยขับรถไกลๆ แต่อยากได้ออกซิเจนเต็มปอด อัมพวาก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ ให้เราได้เดินตามคนอื่นน้อยลงแต่เดินตามใจเราเองมากขึ้น รับรองว่าคลองอัมพวาแห่งนี้จะไม่ทำให้ขาช็อป ขาชิม หรือใครที่กำลังมองหาชีวิตที่ช้าลงผิดหวังอย่างแน่นอน
ลากันไปด้วยภาพแม่น้ำแม่กลองยามเย็น ถ้ามีโอกาสได้ไปที่ไหนที่มีความประทับใจอีกจะมารีวิวให้ติดตามกันอีกน่ะครับ
ขอบคุณที่มาจาก Pantip
Cr. สมาชิกหมายเลข 2464504
กระทู้นี้เป็นการท่องเที่ยว backpack และ ค้าง 1 คืน จากวิชาท่องเที่ยวของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง 5555 ไปดูกันเลยดีกว่าครับ
เป็นคำถามที่ยากจะหาคำตอบว่าเราจะ backpack กันไปที่ไหนกันดี สำหรับการเที่ยวในรายวิชา GEN441 ที่ได้รับโจทย์ว่า เราต้องไปค้างที่นั่นเป็นเวลา 1 คืน แต่เนื่องด้วยมีภารกิจหลายอย่าง จึงทำให้มีเวลากระชั้นชิดเหลือเกินในการเที่ยวครั้งนี้ เราจึงไม่อยากเสียเวลากับการเดินทางมากนักทำให้เรามองว่าที่เที่ยวที่ไม่ได้ไกลจากรุงเทพมากนัก แต่กลุ่มเราส่วนใหญ่ต่างก็เป็นคนอีสานเราจึงเลือกที่ที่ไม่ไกลจากรุงเทพและเป็นที่ที่เราไม่เคยไป เราจึงตกลงกันว่าวันหยุดยาวเนื่องในวันปิยมหาราชนี้ เราจะแบกเป้ไปอัมพวา จังหวัดสมุทรสงครามกัน การเที่ยวครั้งนี้มีคอนเซ็ปคือ low price high experience เราจึงวางแผนการเดินทางไปด้วย “รถไฟฟรีจากภาษีประชาชน” เนี่ยแหละ แต่ที่จริงอัมพวาอยู่ใกล้มากถ้ามีรถส่วนตัวก็ขับไปเองได้ แค่ชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึงแล้ว แต่อีกทางหนึ่งคือเดินทางด้วยรถตู้จากเคหะธนบุรี หรืออนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิก็สะดวกไม่แพ้กัน ที่เราเลือกรถไฟฟรีเพราะคิดว่าระหว่างทางคงมีอะไรที่หลากหลายให้ได้เรียนรู้มากกว่าต้องไปเจอรถติดบนท้องถนน เราเริ่มต้นการเดินทางที่สถานีรถไฟวงเวียนใหญ่ ด้วยการซื้อตั๋วเอ้ย “ขอตั๋ว” รถไฟ เพียงแค่เอาบัตรประชาชนไปแลกมา นี่แหละครับ สิทธิที่เห็นได้ชัดของการเป็นคนไทยคือขึ้นรถไฟฟรี ฮ่าๆๆ ในขณะที่ฝรั่งต้องซื้อตั๋วโดยสารไปกับเรา
เส้นทางรถไฟไปอัมพวาคือ เราต้องตีตั๋วจากวงเวียนใหญ่ มุ่งหน้าสู่สถานีมหาชัย จากนั้นต้องนั่งเรือข้ามฟากไปขึ้นรถไฟที่ท่าฉลองมุ่งหน้าสู่สมุทรสงคราม จากนั้นก็ต่อรถสองแถวเข้าสู่อำเภออัมพวา โห!!!! แค่ฟังดูเส้นทางที่หลากหลายขนาดนี้ก็น่าตื่นเต้นสุดๆแล้ว
เรามาถึงสถานีรถไฟวงเวียนใหญ่ก็ 10.30 แต่รถไฟมาเกือบ 11 โมง ไม่ค่อยตรงเวลาเท่าไหร่เลยแต่ก็สนุกดีครับ
ระหว่างทางในการนั่งรถไฟก็เพลินดีครับ ทั้งตึกรามบ้านช่อง คลอง สวนปาล์ม วิถีชุมชุนที่หลากหลาย ขอบอกว่าต้องลองมาสัมผัสเองครับ
เรามาถึงสถานีมหาชัยเที่ยงเป้ะ จากนั้นก็เดินถามคนแถวนั้นดูว่าสถานีรถไฟท่าฉลอมต้องไปขึ้นเรือข้ามฟากตรงไหนเพื่อจะไปอัมพวา ได้ความว่า “ตอนนี้ไม่มีรถไฟไปสมุทรสงครามแล้ว” อ่าวเป็นงั้นไป เนื่องจากมีการซ่อมแซมทางรถไฟ เราจึงต้องเปลี่ยนแผนกันซะหน่อย เนื่องจากโชคดี มีรถตู้จากตลาดมหาชัยไปส่งถึงอัมพวาเลย
เที่ยงแล้วท้องก็เริ่มหิวเรากะเลยเดินหาอะไรรองท้องที่ตลาดมหาชัยกันก่อน เคยได้ยินแต่ชื่อเสียงว่าตลาดมหาชัยเป็นแหล่งที่รวบรวมอาหารทะเลทั้งสดและแห้งมากมาย แต่พอมาเห็นด้วยตาตัวเองถึงกับตะลึงครับ มันเยอะจริงๆ เราก็ไม่พลาดที่จะถ่ายรูปมาฝากกัน อีกมุมที่เห็นแล้วรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูกคือ ภาพอันกว้างใหญ่ของแม่น้ำท่าจีนตรงท่าเรือมหาชัย ได้เห็นอีกหนึ่งวีถีชวิตของชาวจังหวัดสมุทรสาครที่อาศัยแม่น้ำท่าจีนแห่งนี้เป็นเส้นทางหลักในการสัญจรและขนส่งสินค้า
พักเหนื่อยจากการนั่งรถไฟและอิ่มท้องกันแล้ว ป้ายต่อไปคือขึ้นรถตู้มุ่งหน้าสู่อัมพวากันครับ ค่ารถตู้ 60 บาท ก็ถือว่าไม่แพงครับ รถตู้ใช้เวลาวิ่งประมาณชั่วโมงครึ่งเนื่องจากรถค่อนข้างติด ก็มาถึงอัมพวาเป้าหมายของเราในการพักค้างคืนกันครับ
เรามาถึงตลาดน้ำอัมพวากันประมาณบ่ายสาม สิ่งแรกที่เห็นคือความเงียบสงบของบ้านริมคลอง
อัมพวา มีเพียงเรือติดเครื่องยนต์ที่สัญจรไปมาอย่างห่างๆ
พอเดินเรียบคลองไปเรื่อยๆ จึงเจอกับโซนที่เป็นตลาดน้ำที่หนาแน่นไปด้วยร้านขายของมากมายเลียบคลองทั้งสองฝั่ง สอบถามผู้คนแถวนั้นก็ได้ทราบว่าตลาดน้ำริมคลองอัมพวานี้จะคึกคักมาตอนช่วงเย็น เราจึงวางแผนกันว่าจะเข้าที่พักกันเก็บของกันก่อนแล้วค่อยออกมาเดินชิวกันตอนช่วงเย็น เราจองที่พักไว้ที่ “บ้านทอแสง” ซึ่งต้องข้ามเรือไปอีกฟากของแม่น้ำแม่กลอง ระหว่างทางเดินฝ่าผู้คนมุ่งสู่ท่าเรือข้ามเพื่อเข้าที่พัก ทุกคนต่างก็ตื่นเต้นเพราะความรู้สึกแรกที่เราได้สัมผัสที่อัมพวาแห่งนี้มันเกินจากที่เราคาดหวังไว้มาก เพราะถ้าเราไม่ได้มาสัมผัส เราอาจจะคิดว่ามันก็แค่ตลาดน้ำแต่พอมาถึง คลองอัมพวาแห่งนี้ยังมีเสน่ห์หลายอย่างที่ชวนให้อยากค้นหาต่อไป เรารีบเดินไปท่าเรือข้ามฟากเพื่อไปเก็บข้าวของ
จากท่าเรือข้ามฟาก เรือจะมาส่งที่ท่าเรือหน้าวัด เราก็เดินตรงผ่านวัดออกมา แล้วข้ามถนนเดินเข้าซอยที่อยู่ตรงข้ามวัด เข้าสู่โฮมสเตย์ “บ้านทอแสง”
“บ้านทอแสง” เป็นโฮมสเตย์ที่ตั้งอยู่ริมคลอง แสดงให้เห็นวิถีชีวิตริมคลองแบบไทยเดิม ที่เราไม่คิดว่าเราจะได้มาสัมผัส เรียกได้พอได้มานั่งริมคลองดูสายน้ำ ดูการใช้ชีวิตของชาวบ้านที่นี่ ที่อยู่กันแบบเรียบง่ายทำเอาลืมความวุ่นวาย ความเร่งรีบและกิจวัตรประจำวันที่เต็มไปด้วยการแข่งขันในกรุงเทพไปเลย ได้นั่งเอาเท้าแช่น้ำคลองทำให้นึกถึงเพลง “มนต์รักแม่กลอง” ของพี่ก๊อต จักรพันธ์ เลยครับ ท่ามกลางความเรียบง่ายและความสงบนิ่ง มันมีความโรแมนติกแทรกซึมอยู่ สามารถสะกดเราให้ช้าลงได้เลยทีเดียว นี่แหละครับผมว่า “Slow life” ที่ทุกคนต่างให้ความสนใจในยุคนี้
ได้เวลานัดห้าโมงเย็น ก็มีเรือมารับเราไปเดินตลาดน้ำยามเย็น ไฮไลท์ของอัมพวาแห่งนี้ ริมคลองทั้งสองฝั่งเต็มไปด้วยร้านขายอาหารมากมาย ไม่ว่าจะเป็นหมึก ปูหรือกุ้งเผาตัวใหญ่ๆ นั่งกินชิวๆ ริมคลองก็เข้าท่าอีกแบบ ขอแนะนำเลยครับสำหรับคออาหารทะเล มาที่อัมพวาไม่ผิดหวังแน่นอน
เลียบทางเดินริมคลองมีร้านขายของมากมายทั้งของกิน ของที่ระลึก และของเล่นที่เราต่างเคยเห็นในตอนเด็กที่ไม่มีขายตามร้านขายของเล่นทั่วไป เพลิดเพลินไปกับการเดินดูของที่ทำให้เราคิดถึงสมัยเด็กๆ เรียกได้ว่า เป็นการเดินย้อนความทรงจำกันเลยก็ว่าได้
นอกจากการเดินตลาดน้ำยามเย็นแล้ว อีกหนึ่งกิจกรรมที่ทุกคนที่มาอัมพวาต้องได้สัมผัสคือการนั่งเรือชมหิ่งห้อยยามค่ำคืน ซึ่งนอกจากจะได้ชมความสสวยงามของหิ่งห้อยแล้วยังได้เห็นวิถีชีวิตของชาวอัมพวาจริงๆที่ไม่ได้อยู่ในย่านที่นักท่องเที่ยวพลุกพล่าน เป็นชีวิตที่เรียบง่ายที่ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องไปออกันบนท้องถนนหลังเลิกงาน ไม่ต้องแย่งกันขึ้นรถเมล์หรือรถไฟฟ้าในชัวโมงเร่งด่วน เป็นอีกหนึ่งข้อพิสูจน์ว่า วิถีชีวิตของคนไทยเดิมยังคงทำให้คนเรามีความสุขได้ ไม่จำเป็นต้องวิ่งตามเทคโนโลยีเสมอไป ซึ่งแท้จริงแล้วชาวบ้านอัมพวาอาจจะไม่ต้องการเทคโนโลยีเลยด้วยซ้ำไป (เป็นที่น่าเสียดายที่ไม่สามารถถ่ายรูปหิ่งห้อยมาฝากได้ ต้องไปสัมผัสเองน่ะครับ) กิจกรรมในวันที่สองของการมาเที่ยวอัมพวาคือ การใส่บาตรตอนเช้าซึ่งยอมรับตามตรงเลยว่า ก็เคยเห็นแต่ในละครเหมือนกันที่พระสงฆ์พายเรือมาบิณฑบาตร ตอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยก็ไม่ค่อยได้ทำบุญกันซักเท่าไหร่ เช้านี้ทำบุญซะหน่อยครับ เรียกได้ว่าเช้านี้ที่อัมพวาเป็นเช้าที่สดชื่นที่สุดในรอบปีครับเพราะสูดอากาศได้ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะได้รับควันรถเลย การได้หายใจช้าลง แต่หายใจลึกขึ้นขึ้นก็ทำให้ร่างกายสดชื่น มีชีวิตชีวาอย่างไม่น่าเชื่อ น่าเสียดายที่วันนี้เราต้องโบกมือลา “Slow life” ที่อัมพวาแห่งนี้กลับสู้ชีวิตจริงที่แสนวุ่นวายในเมืองกรุงกันแล้ว เอาเป็นว่าถ้าใครไม่ค่อยมีเวลาได้พักยาวๆ หรือไม่อยากเหนื่อยขับรถไกลๆ แต่อยากได้ออกซิเจนเต็มปอด อัมพวาก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ ให้เราได้เดินตามคนอื่นน้อยลงแต่เดินตามใจเราเองมากขึ้น รับรองว่าคลองอัมพวาแห่งนี้จะไม่ทำให้ขาช็อป ขาชิม หรือใครที่กำลังมองหาชีวิตที่ช้าลงผิดหวังอย่างแน่นอน
ลากันไปด้วยภาพแม่น้ำแม่กลองยามเย็น ถ้ามีโอกาสได้ไปที่ไหนที่มีความประทับใจอีกจะมารีวิวให้ติดตามกันอีกน่ะครับ
ขอบคุณที่มาจาก Pantip
Cr. สมาชิกหมายเลข 2464504