รีวิว เมื่อเพื่อนผมพาแบกเป้ล่องใต้ไปชุมพร 4 วัน 3 คืน

สวัสดีครับ วันนี้ผมมาเล่าเรื่องราวการท่องเที่ยว4วัน3คืนที่จังหวัดชุมพร 

เริ่มต้นเลยก็คือพวกเราได้จองตั๋วรถโดยสารกันที่สถานีขนส่งสายใต้ใหม่ ในคืนวันที่29ตุลาโดยเราเริ่มออกเดินทางเวลาประมาณ4ทุ่ม ถึงเวลาประมาณตี5 สรุปก็คือใช้เวลาประมาณ7ชั่วโมงจากกรุงเทพฯถึงชุมพร 


หลังจากลงรถมาที่บริษัทโชคอนันต์ทัวร์เราก็รอเวลาเพื่อที่จะกินอาหารเช้า ซึ่งร้านที่พวกเราเล็งไว้ก็คือร้านอร่อยดีติ่มซำ เอ้ย!!! โชคดีติ่มซำ
อยู่ใกล้ๆโรงแรมจันทรสม ร้านนี้เปิดเวลาประมาณ6โมงเช้า ซึ่งร้านนี้อยู่ห่างไม่ไกลจากสถานีขนส่งปลายทางของเรา เดินไปชิวๆประมาณ2กิโล เมื่อถึงร้านแล้วเราก็ได้สั่งอาหารกันมากิน ซึ่งแทนที่เราจะเริ่มกันที่ติ่มซำ เรากลับไปเจออาหารชนิดนึงที่ส่งกลิ่นหอมโชยมากตอนที่เราไปถึงร้าน ก็เพิ่งรู้ที่หลังว่าคือบักกุ๊ดเต๋ จากนั้นเราก็ได้ไปสั่งติ่มซำกัน ตามเป้าหมายแรกที่เราตั้งไว้ดูภาพประกอบเลยก็แล้วกันครับ



จากนั้นเราก็ได้นั่งรถที่เพื่อนเราเตรียมมาแล้วไปที่หาดทรายรีเพื่อไหว้กรมหลวงชุมพรฯ แต่สำหรับคนไม่มีรถสามารถเดินทางมายังหาดทรายรี
ได้โดยนั่งรถสองแถวจากตัวเมือง ซึ่งไม่ต้องกลัวที่จะต้องเดินทางด้วยรถสองแถวเลย นั้นก็คือระหว่างที่เราเดินทางจะไปรับประทานอาหารเช้า พวกเราก็ได้เจอรถสองแถวคันหนึ่งวิ่งผ่านมา เนื่องจากเขาเห็นพวกเราเป็นเหมือนนักท่องเที่ยวแหละมั้ง เค้าก็เลยถามพวกเราว่า… ใครไม่อยากเสียเวลาอ่านก็ข้ามไปได้เลย555



เมื่อเราไหว้กรมหลวงชุมพรเสร็จ เราก็ได้ไปที่จุดชมวิวเขามัทรี เพราะพวกเราได้สอบถามจากคนในท้องที่มาว่าที่ไหนสวยๆน่าไปเที่ยวบ้าง
เขาก็เลยแนะนำที่นี้มา เมื่อเรานั่งรถขึ้นไปก็ได้เจอกับปัญหาใหญ่ เห้ย!!!นี้มันเกิดอะไรขึ้นวะเนี้ย ไม่มีไรหรอกครับกวนไปงั้น555 จริงๆรถที่เพื่อนผมเตรียมมาเนี้ยมันเก่าแล้วก็เลยฝืนขึ้นไปไม่ไหวเพราะทางมันชันมาก เราก็เลยต้องเดินขึ้นไปชมวิวข้างบนแทน ก็ดูรูปได้เลยครับว่าเป็นยังไงบ้าง


เมื่อเราอิ่มเอมใจกับทิวทัศน์ที่เขามัทรีแล้วเราก็ได้เดินทางไปยังที่พักของเราที่ชื่อว่าบ้านไม้ชายคลองโฮมสเตย์ อยู่ในอำเภอปะทิวซึ่งที่เราพักเนี่ย
ก็เป็นที่พักแบบชาวประมงเลยได้บรรยากาศดีเพราะว่าเป็นบ้านไม้อยู่ริมน้ำ พวกเราบางคนที่ไปก็นอนกางมุ้งริมคลองเลยเพราะอากาศดีมั่กๆ เพิ่มเติมก็คือถ้าหากไม่มีรถ ก็เดินทางมาที่นี้ได้ด้วยการนั่งรถไฟไปยังสถานีรถไฟปะทิว และโทรติดต่อเจ้าของที่พักให้มารับเราได้ ซึ่งอัตราค่าที่พักเนี่ยอยู่ที่คนละ700บาท
แต่ว่ามีอาหารให้3มื้อ แต่ละมื้อก็เรียกว่าจัดเต็มไปด้วยอาหารทะเลสดๆรสชาติชาวใต้ อร่อยใช้ได้เลยครับแล้วก็เรียกได้ว่ากินอิ่มกันทุกคนเลย

จากนั้นพวกเราก็ได้ไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆในปะทิวที่ทางโฮมสเตย์พาไป ไม่ว่าจะเป็นอ่าวทุ่งซางที่ทะเลสวยสดใสมากแต่คลื่นก็แรงไปหน่อย แล้วก็ดันเป็นโชคร้ายของเราที่ซวยลงไปแล้วเจอกับแมงกระพรุน ลงทะเลกันตั้ง7คน แต่เราดันโดนอยู่คนเดียวTT วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นหลังจากโดนแมงกะพรุนก็คือนำผักบุ้งทะเลปาดเมือกของมันออกให้หมด


จากนั้นก็เดินทางไปดูค่างแว่นที่วัดถ้ำเขาพลู ลักษณะคล้ายๆลิงอ่าแหละสำหรับเราแต่ตัวใหญ่กว่านิดหน่อย ตัวสีดำๆเทาๆขนยาวๆใส่แว่นด้วย
จริงๆก็ไม่ใช่แว่นอะไรหรอก แต่มันมีขนสีขาวที่รอบตามันทั้ง2ข้าง  แต่ที่เราไปดูนั้นเราเจอกับตัวลูกที่ขนสีทองซะงั้น ซึ่งเราก็สงสัยเลยถามเจ้าของโฮมสเตย์ที่พาไปเที่ยว เค้าก็บอกเราว่าตัวลูกปกติก็มีสีน้ำตาลออกทองๆอย่างที่เห็นเนี้ยแหละ ก็แปลกๆดีเหมือนกัน

ต่อจากนั้นเราก็เดินทางต่อไปดูวิวสวยๆที่วัดเขาเจดีย์ ซึ่งก็ต้องขึ้นเขาไปตามชื่อนั้นแหละครับ เราไปถึงกันตอนเย็นพอดีซึ่งเป็นช่วงที่พระอาทิตย์กำลังตกดินพอดิบพอดีเลย สวยงามมาก

แล้วก็เข้าไปกราบไหว้รอยพระพุทธบาทในตัวอุโบสถ ซึ่งในตัวกำแพงด้านในอุโบสถนั้นเป็นจิตรกรรมฝาผนังที่สวยมากๆ

ในตอนกลางคืนคุณลุงเจ้าของโฮมสเตย์พานั่งเรือชมหิ่งห้อย(ค่าเช่าเรือเพิ่มเติม500บาท) ซึ่งระยะทางที่ไปชมยาวมากประมาณ1ชั่วโมง เราได้เห็นหิ่งห้อยตามธรรมชาติ สังเกตได้ว่ามันจะอยู่เป็นกระจุกเฉพาะบางต้นเท่านั้น ทำให้ดูเหมือนต้นคริสมาสต์ จังหวะกระพริบของหิ่งห้อยจะรู้เลยว่าไม่ใช่หลอดไฟอย่างแน่นอน และไม่ได้เจอตลอดเส้นทางที่ล่องเรือ

นอกจากนี้ยังมีบริการพาเที่ยวตามสถานที่ต่างๆในปะทิว เช่นเหยี่ยวอพยพที่เขาดินสอ ซึ่งควรมาดูเหยี่ยวในช่วงต้นหน้าหนาว ดำน้ำดูปะการังที่เกาะไข่
ค่าเช่าเหมาเรือพร้อมอุปกรณ์ดำน้ำ1500บาท(จำกัด10คน) เนื่องจากวันที่เราไปฝนดันตกพอดีก็เลยไม่เหมาะที่จะออกไปทำกิจกรรมต่างๆ ข้อแนะนำเพิ่มเติมควรมาที่นี้ประมาณ2วัน เพราะเค้าจะเตรียมโปรแกรมการเที่ยวให้เราเยอะมาก เราก็อยู่ที่นี้แค่วันเดียวก็เลยไปได้ไม่ค่อยเท่าไหร่

หลังจากนั้นเราก็ได้เดินทางไปยังอำเภอหลังสวน ซึ่งช่วงนี้เป็นช่วงออกพรรษาพอดี ที่อำเภอนี้จะมีประเพณีแห่พระแข่งเรือขึ้นโขนชิงธงพอดี
เราจึงตัดสินใจไปเที่ยวที่นี่ โดยงานประเพณีนี้จะจัดขึ้นทุกปีโดยเริ่มวันแรกที่วันออกพรรษา ในวันแรกเนี่ยจะมีการตักบาตรตอนเช้าและมีการแห่เรือพระบกซึ่งมีความสวยงามมาก

หลังจากนั้นอีก5วันจะเป็นการแข่งเรือชิงถ้วยและโล่พระราชทาน โดยการแข่งเรือที่อำเภอนี้จะมีความแตกต่างจากที่อื่นคือเมื่อเรือจะเข้าเส้นชัย
นายหัวเรือจะทำการปีนขึ้นไปยังบนโขนเรือเพื่อแย่งชิงธงที่อยู่ตรงเรือตัดสิน ถ้าเรือลำไหนได้ธงไปก็ถือว่าเรือลำนั้นชนะ บรรยากาศในงานก็มีพิธีกรที่พากษ์การแข่งขันอย่างดุเด็ดเผ็ดมันส์มากครับ และยังมีอีกหลายอย่างที่น่าสนใจไม่ว่าจะเป็นกองเชียร์เรือที่มาจากตำบลต่างๆ เรือโจ๊กที่มาสร้างสีสันในงานนี้ทุกปี 

นอกจากนี้ก่อนวันงานประเพณีแข่งเรือ จะมีเทศกาลเปิดเมืองกินฟรีโดยเทศกาลนี้จะเป็นเทศกาลที่มีชาวบ้านจากหลากหลายตำบลนำอาหารขึ้นชื่อมาให้เลือกกินกันฟรีๆอีกด้วย ซึ่งเราก็รู้ทีหลังจากการเชียร์เรืออย่างเมามันส์จนเค้าบอกว่าจะสนุกกว่านี้อีกถ้ามาทันเทศกาลกินฟรีTT

ต่อไปพวกเราก็เดินทางไปยังเกาะพิทักษ์ซึ่งเราเดินทางมาถึงตอนเย็นพอดี เป็นช่วงน้ำลงและพระอาทิตย์ตกด้วย ทำให้ได้บรรยากาศที่เรียกว่า
ลอยเลยทีเดียว ซึ่งที่พักของเรามีชื่อว่าเรือนปาริฉัตรอยู่ในส่วนของหาดหินพอดี แต่เกาะพิทักษ์มีทั้งหาดทราย หาดหิน และจุดชมวิวบนภูเขาในเกาะ ซึ่งราคาที่พักก็ไม่แพงมากราคาคนละ500บาทมีอาหาร2มื้อ ถ้า3มื้อก็จะราคา600บาท เจ้าของที่พักดูแลอย่างดีเหมือนกับลูกกับหลานเลยทีเดียว และที่เกาะนี้จะสามารถหาเรือไปตกหมึกได้ในช่วงกลางคืน ราคาเช่าเรืออยู่ที่ประมาณ700บาท แต่ถ้าหากอยากตกหมึกแนะนำให้มาในช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายน


เนื่องจากว่าเรามีเวลาเหลือ จึงตัดสินใจเดินทางไปยังอำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อไปไหว้พระธาตุไชยาและซื้อของฝากที่ขึ้นชื่อของอำเภอนี้
ก็คือ ไข่เค็มไชยานั้นเองงง!!! คุณชาคริตครับแล้วเราจะไปไหนกันต่อ ไม่เล่นดีกว่าไม่ฮา พอๆๆๆ555

    สุดท้ายนี้เราก็ได้เดินทางกลับกรุงเทพฯด้วยรถไฟจากสถานีรถไฟหลังสวน เดินทางด้วยขบวนรถไฟสปรินท์เตอร์ซึ่งเป็นรถไฟแบบติดแอร์ ก็ราคาแพงกว่ารถทัวร์ประมาณ100บาท แต่ที่นั่งบอกได้เลยว่าสบายมากๆเลย มีอาหารเสิร์ฟด้วย1มื้อ กับอาหารว่างอีก1มื้อ แต่ถ้าเรื่องเวลาก็นั่งนานกว่ารถทัวร์นะ เพิ่งรู้เหมือนกัน555 

จบแล้วครับสำหรับการเล่าเรื่องที่เราไปเที่ยวบ้านเพื่อนเรา ไปเที่ยวชุมพรเถอะ... อยากให้ไป  เท่


ขอขอบคุณข้อมูลจาก Pantip
Cr. สมาชิกหมายเลข 1413261