Happy Reunion Dayyyyyyyyyy 
ที่มาที่ไปของกระทู้นี้คือการรวมตัวกันของเพื่อนๆหลังจากที่เรียนจบ และนี่คือความสำเร็จครั้งแรกของการรวมตัวกันได้ครบทุกคน (ขนาดในกลุ่มมีกันแค่5คนยังรวมตัวให้ครบทุกคนยากเลยค่ะ)
เริ่มจากการหาวันที่ทุกคนว่างตรงกันนั่นก็คือวันอาทิตย์ แล้วก็คิดกันว่าจะไปเที่ยวที่ไหนกันดี ซึ่งมีข้อจำกัดว่าจะต้องเป็นจังหวัดกาญจนบุรีเท่านั้น และจะต้องไปเช้าเย็นกลับได้[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
จขกท.กับเพื่อนๆเลยนัดรวมตัวกันที่บ้านโป่ง เพราะเพื่อนที่เป็นเจ้าของรถในการขับพาไปเที่ยวครั้งนี้บ้านอยู่บ้านโป่ง ตอนแรกนัดเจอกันที่บ้านโป่ง9โมง แต่ทำไปทำมา 7 โมงครึ่งทุกคนก็รวมตัวกันครบแล้ว (ไปเที่ยวนี่ตื่นเช้ากว่าไปทำบุญอีกค่ะ 5555555555) พอรวมตัวกันครบก็มุ่งหน้าสู่ อำเภอท่าม่วง จ.กาญจนบุรี เพื่อไปรับคุณเพื่อนคนสำคัญ แต่เพราะเราออกมาเช้ามากๆเลยยังไม่ได้ทานข้าวเช้ากัน เลยแวะร้านอาหารตามสั่งหาข้าวทานกันก่อน
หลังจากที่ทานกันอิ่มดูเวลามันเพิ่งจะ 9 โมงเช้าเอง ยังมีเวลาอีกเยอะเราจะไปเที่ยวแค่ในเมืองทำไม เลยหาที่เที่ยวที่ไม่ไกลจากตัวเมืองได้ข้อสรุปว่า จะไปปราสาทเมืองสิงห์ แล้วต่อด้วยถ้ำกระแซ ความจริงก็มีที่เที่ยวอีกเยอะแต่เพราะข้อจำกัดในการขับรถของเพื่อน จขกท. ที่ขับไม่เกิน 80 กม.ต่อชม. นี่จึงเป็นที่มาของชื่อ "ต้วมเตี้ยมทัวร์" ในครั้งนี้
เดี๋ยวจะไม่เชื่อ จขกท. มีหลักฐานค่ะ ว่าขับไม่เกิน 80 กม.ต่อชม. ตำรวจจราจรจะต้องรักการขับรถของเพื่อน จขกท. แน่นอนค่ะ ฮ่าๆ
พออิ่มหนำกันแล้วเราก้ออกเดินทางกันเลยค่าาาาา
ออกจากแยกท่าม่วงมาเราก็เลี้ยวซ้ายเพื่อเข้าตัวเมืองกาญจนบุรี พอมาถึงท่าล้อจะสามารถเลี้ยวขวาเข้าทางเลี้ยงเมืองได้ แต่ จขกท. เลือกตรงเข้าเมืองมาติดไฟแดงเล่นๆค่ะ 55555555
ขับมาเรื่อยๆพอถึงแยกแก่งเสี้ยนเราก็เลี้ยวซ้ายไปทางอำเภอไทรโยค ไม่ต้องกลัวหลงทางค่ะ จะมีป้ายบอกตลอดทาง เพราะ จขกท. ก็ไปตามป้ายค่ะ
เวลา 10.30 น. เราก็เดินทางมาถึงสถานที่แรกของเรา คือ "ปราสาทเมืองสิงห์" นั่นเอง
ค่าเข้าในปราสาท ผู้ใหญ่คนละ 20 บาท ค่ารถ 50 บาทค่ะ
พอจอดรถเรียบร้อยอันดับแรกที่ทำคือไปเข้าห้องน้ำค่ะ ห้องน้ำที่นี่ทำสวยงามเข้ากับพื้นที่มากค่ะ แต่ประตูเวลาเข้าจะดีดๆหน่อยต้องระวังค่ะ
เมื่อทำภารกิจส่วนตัวของแต่ละคนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็เริ่มทำการสำรวจพื้นที่กันค่ะ
และสิ่งที่อยู่ใกล้ๆกับลานจอดรถเลยก็คือ "ประติมากรรมดินทรายรูปครุฑ"
ด้านหลังประติมากรรมจะมีพิพิธภัณฑ์เล็กๆที่จัดแสดงศิลปวัตถุต่างๆค่ะ เราก็เดินข้ามฝั่งมาจากลานจอดรถก็จะเจอกับทางเดินเพื่อไปที่ตัวปราสาท ซึ่งจะมีป้ายบอกว่ามีโบราณสถานอะไรบ้าง
เราก็เดินตรงเข้าไปเรื่อยๆก็จะเห็นโบราณสถานหมายเลข1
ด้านหน้าของโบราณสถานหมายเลข1
ซึ่งตรงนี้เป็นด้านข้างของโบราณสถาน
และด้านหลังค่ะ
ส่วนทางด้านหลังของโบราณสถานหมายเลข1 จะเป็นโบราณสถานหมายเลข2
[/img]
บรรยากาศโดยรอบของอุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์นี้ร่มรื่นมากๆค่ะ
หลังจากที่เดินสำรวจกันเรียบร้อยแล้วเราก็ออกเดินทางต่อเพื่อไปยัง "ถ้ำกระแส หรือ ทางรถไฟสายมรณะ" ซึ่งห่างจากอุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ประมาณ 15 กิโลเมตร แต่เราจะไม่ให้หลุดconceptต้วมเตี้ยมทัวร์จึงใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 30 นาที
แม้จะใช้เวลาในการเดินทางนานไปนิด แต่เราก็เดินทางมาถึงกันโดยสวัสดิภาพค่ะ
มาถึงแล้วก็ต้องถ่ายรูปกับป้ายเป็นพิธี
ซึ่งบริเวณนี้ก็จะมีรีสอร์ท ให้เราสามารถจอรถได้ และที่รีสอร์ทก็จะมีเครื่องเล่น adventure ทั้งทางบกและทางน้ำค่ะ
บรรยากาศริมแม่น้ำแควสวยงามมากๆ ช่วงที่ จขกท. ไปถึงอากาศครึ้มๆค่ะเหมือนฝนกำลังจะตก
พอกำลังจะยกขบวนกันเดินไปตามทางรถไฟเพื่อไปที่ถ้ำ คุณลุง จนท. ก็บอกว่าเดี๋ยวรถไฟก็มา จขกท. เลยรอให้รถไฟมาแล้วขึ้นรถไฟไปลงสถานีข้างหน้าแทนค่ะ
รถไฟมาแล้ววววววว
ทั้งขบวนเต็มไปด้วยชาวต่างชาติ
style="border: none; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif, Geneva, Tahoma; font-size: 16.002px; line-height: 25.0111px; margin: 10px 0px; max-width: 100%;">
จนท. บนรถไฟตะโกนมาบอกว่า คนไทยไปขบวนหลังเลย ไอเราก็อยู่กันตั้งแต่ขบวนแรก ต้องเดินไปยันขบวนหลังสุด กำลังเดินอยู่ จนท. บอกให้วิ่งอีก รถไฟจะออกแล้ว ตัวเรานี่ไม่เท่าไรคุณเพื่อนนี่สิท้องอยู่ค่าาาา แต่ก็รีบเดินกันไปจนขึ้นทัน (เกือบไปแล้ววว) [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
พอขึ้นรถไฟไปคนเยอะมากๆค่ะ แต่ยังโชคดีมีที่ให้เพื่อนนั่ง เพราะคนไปมุ่งอยู่อีกด้านเพื่อรอถ่ายรูปกัน

จขกท. ยืนตรงทางเชื่อมระหว่างโบกี้พอดีแต่ถ่ายได้แค่นี้เสียวมากๆค่ะไม่กล้ายื่นออกไปมาก ><

รูปนี้เพื่อน จขกท. ถ่ายให้ค่ะ

พอมาถึงอีกสถานีที่ใกล้ๆกันเราก็ลงมาจากรถไปแล้วเดินย้อนกลับมา ก็จะผ่านถ้ำกระแซ ซึ่งด้านในมีพระพุทธรูป ให้นักท่องเที่ยวได้สักการะกัน[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ทางเข้าถ้ำ

ด้านในของถ้ำ

ป้ายประวัติความเป็นมาของถ้ำกระแซ

พอออกมาจากถ้ำเราก็เดินไปตามทางรถไฟเพื่อกลับไปยังที่จอดรถของเรา แต่วันที่ จขกท. ไปเป็นวันอาทิตย์คนเลยเยอะมากๆ ค่ะ

ระหว่างทางที่เดินก็มีช่วงที่หวาดเสียวบ้าง

หวาดเสียวจนเพื่อน จขกท. ถึงกับต้องถอดรองเท้าเดิน ฮ่าๆ

เดินไปแวะถ่ายรูปกันไปเลยไม่ค่อยเหนื่อยมาก ระหว่างทางที่กำลังเดินกลับตอนนั้นท้องฟ้าครึ้มมากๆ พอ จขกท. และเพื่อนๆขึ้นรถขับออกมา ฝนก็ตกลงมาพอดี ถือว่าโชคดีมากกกกกกก ที่ไม่ตกตอนที่กำลังเดินกันอยู่ ระหว่างที่กำลังขับออกมาฝนก็ตกแรงมากจากที่เคยขับอยู่ 80 กม.ต่อชม. คราวนี้เหลือแค่ 40 -60 กม.ต่อ ชม. เลยค่าาา แต่ก็ดีแล้วค่ะเพื่อความปลอดภัยเซฟตี้สุดๆ
แต่เพราะฝนตกหนักเราเลยตัดสินใจกันว่าจะกลับเข้าไปทานข้าวในตัวเมืองกันเลย (ซึ่งตอนแรกวางแผนว่าจะไปทานข้าวกันที่ครัวผักหวาน) แต่ด้วยที่ฝนตกและเป็นวันอาทิตย์รถเลยเยอะมากๆ พอมาถึงแยกที่จะเข้าเมืองรถก็ติดมาก ฝนก็ตกหนัก เลยตัดสินใจกันอีกว่าจะไปหาอะไรทานที่ท่าม่วงแทน ระหว่างทางที่ไปฝนก็ตกตลอดทางค่ะ ตกแรงบ้างเบาบ้าง
และแล้วเราก็มาถึง "ร้านท่าม่วงปลาเผา" กันตอนเวลาบ่ายสามโมง ซึ่งทุกๆคนหิวกันมากๆ เพราะทานข้าวเช้ากันไปตอนเก้าโมง แล้วก็ยังไม่ได้ทานอะไรกันเลย พอไปถึงก็สั่งอาหารกันอย่างบ้าคลั่ง ไม่มีใครห้ามใคร เราสั่งอาหารไปทั้งหมด 6 อย่าง ได้แก่
ปลาเผา (เป็นปลาช่อนที่ตัวใหญ่เท่าแขน)

แกงป่าไก่ (เพื่อนคนเมืองกาญฯบอกว่ามาเมืองกาญต้องกินแกงป่า ก็จัดไปอย่าให้เสีย)

แกงส้มชะอมผักรวม (รสชาติเข้มข้นอร่อยมากๆค่ะ)

ยำรวมมิตร (กุ้ง หมึก มาเต็มมม)

ยังมีปลาดุกฟู กับส้มตำไทยอีก แต่สองอย่างนี้มาช้ามากเลยไม่ได้ถ่ายไว้ เพราะตอนนั้นหิวมากๆค่ะ พออาหารมาได้4 อย่างก็จัดการกันก่อน ทานกันคนข้าวโถแรกหมด เลยสั่งโถที่2มา (บอกแล้วว่าหิวมากจริงๆ 5555555) ปลาดุกฟูก็ยังไม่มา ตอนแรกจะไปยกเลิกแล้วเพราะอิ่มมากแต่แม่ครัวบอกกำลังทำเลยรอ พอปลาดุกฟูมาก็หมดเรียบอีก (เดี๋ยวนะ!!! ไหนบอกว่าอิ่ม คิคิ) อาหารอร่อยทุกอย่างเลยค่ะ แต่ยำจะติดหวานไปนิด แต่โดยรวมแล้วถือว่าใช่ได้เลยค่ะ
สรุปรวมค่าเสียหาย
อาหาร 6 อย่าง
-ปลาเผา
-แกงป่า
-แกงส้ม
-ยำรวมมิตร
-ปลาดุกฟู
-ตำไทย
ข้าวเปล่า 2 โถ
น้ำเปล่า 4 ขวด
น้ำแข็งเปล่า 1 ถัง
ทั้งหมด 820 บาท ถูกมากกกกกกก อิ่มไปยันพรุ่งนี้เช้า ใครที่จะมาเมืองกาญฯ ขอแนะนำร้านนี้เลยค่ะ "ท่าม่วงปลาเผา" อยู่ตรงบายพาส ก่อนถึงร้านแก้วของฝากเมืองกาญ
ปล. ร้านนี้อยู่ติดกับทางรถไฟเลยค่ะ ตอนที่ จขกท. นั่งทานอาหารกันอยู่ รถไฟก็ผ่านอีกแล้วค่ะ เป็นรถไฟขากลับเข้า กทม. (สงสัยดวงจะถูกกับรถไฟ 55555)
สุดท้ายต้องขอบคุณเพื่อนๆที่หาเวลาว่างตรงกันได้ ขอบคุณรถคันเล็กๆของจินที่พาเรา5คนเดินทางอย่างปลอดถัย ขอบคุณคุณแม่ที่อดทนแบกลูกในท้องไปเที่ยวถึงจะบ่นว่าเหนื่อยแต่นางก็ไป 555555 ขอบคุณหนึ่งที่ตื่นตั้งแต่ตี4 ขึ้นรถเมล์รอบแรกจนได้มาเจอกันแต่เช้าตรู่ ขอบคุณตูนที่คอยแซวเพื่อนให้ได้ฮาตลอดทริป แม้จะเป็นเวลาสั้นๆแต่ก็หัวเราะได้เต็มที่เหมือนที่เคยหัวเราะ ยิ้มได้เต็มที่เหมือนที่เคยยิ้ม ได้กลับมาเติมพลังกันก่อนที่จะไปสู้กับวันใหม่ ถ้าเหนื่อยหรือท้อก็กลับมาเติมพลังกันอีกนะ


จนท. บนรถไฟตะโกนมาบอกว่า คนไทยไปขบวนหลังเลย ไอเราก็อยู่กันตั้งแต่ขบวนแรก ต้องเดินไปยันขบวนหลังสุด กำลังเดินอยู่ จนท. บอกให้วิ่งอีก รถไฟจะออกแล้ว ตัวเรานี่ไม่เท่าไรคุณเพื่อนนี่สิท้องอยู่ค่าาาา แต่ก็รีบเดินกันไปจนขึ้นทัน (เกือบไปแล้ววว) [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
พอขึ้นรถไฟไปคนเยอะมากๆค่ะ แต่ยังโชคดีมีที่ให้เพื่อนนั่ง เพราะคนไปมุ่งอยู่อีกด้านเพื่อรอถ่ายรูปกัน
จขกท. ยืนตรงทางเชื่อมระหว่างโบกี้พอดีแต่ถ่ายได้แค่นี้เสียวมากๆค่ะไม่กล้ายื่นออกไปมาก ><
รูปนี้เพื่อน จขกท. ถ่ายให้ค่ะ
พอมาถึงอีกสถานีที่ใกล้ๆกันเราก็ลงมาจากรถไปแล้วเดินย้อนกลับมา ก็จะผ่านถ้ำกระแซ ซึ่งด้านในมีพระพุทธรูป ให้นักท่องเที่ยวได้สักการะกัน[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ทางเข้าถ้ำ
ด้านในของถ้ำ
ป้ายประวัติความเป็นมาของถ้ำกระแซ
พอออกมาจากถ้ำเราก็เดินไปตามทางรถไฟเพื่อกลับไปยังที่จอดรถของเรา แต่วันที่ จขกท. ไปเป็นวันอาทิตย์คนเลยเยอะมากๆ ค่ะ
ระหว่างทางที่เดินก็มีช่วงที่หวาดเสียวบ้าง
หวาดเสียวจนเพื่อน จขกท. ถึงกับต้องถอดรองเท้าเดิน ฮ่าๆ
เดินไปแวะถ่ายรูปกันไปเลยไม่ค่อยเหนื่อยมาก ระหว่างทางที่กำลังเดินกลับตอนนั้นท้องฟ้าครึ้มมากๆ พอ จขกท. และเพื่อนๆขึ้นรถขับออกมา ฝนก็ตกลงมาพอดี ถือว่าโชคดีมากกกกกกก ที่ไม่ตกตอนที่กำลังเดินกันอยู่ ระหว่างที่กำลังขับออกมาฝนก็ตกแรงมากจากที่เคยขับอยู่ 80 กม.ต่อชม. คราวนี้เหลือแค่ 40 -60 กม.ต่อ ชม. เลยค่าาา แต่ก็ดีแล้วค่ะเพื่อความปลอดภัยเซฟตี้สุดๆ
แต่เพราะฝนตกหนักเราเลยตัดสินใจกันว่าจะกลับเข้าไปทานข้าวในตัวเมืองกันเลย (ซึ่งตอนแรกวางแผนว่าจะไปทานข้าวกันที่ครัวผักหวาน) แต่ด้วยที่ฝนตกและเป็นวันอาทิตย์รถเลยเยอะมากๆ พอมาถึงแยกที่จะเข้าเมืองรถก็ติดมาก ฝนก็ตกหนัก เลยตัดสินใจกันอีกว่าจะไปหาอะไรทานที่ท่าม่วงแทน ระหว่างทางที่ไปฝนก็ตกตลอดทางค่ะ ตกแรงบ้างเบาบ้าง
และแล้วเราก็มาถึง "ร้านท่าม่วงปลาเผา" กันตอนเวลาบ่ายสามโมง ซึ่งทุกๆคนหิวกันมากๆ เพราะทานข้าวเช้ากันไปตอนเก้าโมง แล้วก็ยังไม่ได้ทานอะไรกันเลย พอไปถึงก็สั่งอาหารกันอย่างบ้าคลั่ง ไม่มีใครห้ามใคร เราสั่งอาหารไปทั้งหมด 6 อย่าง ได้แก่
ปลาเผา (เป็นปลาช่อนที่ตัวใหญ่เท่าแขน)
แกงป่าไก่ (เพื่อนคนเมืองกาญฯบอกว่ามาเมืองกาญต้องกินแกงป่า ก็จัดไปอย่าให้เสีย)
แกงส้มชะอมผักรวม (รสชาติเข้มข้นอร่อยมากๆค่ะ)
ยำรวมมิตร (กุ้ง หมึก มาเต็มมม)
ยังมีปลาดุกฟู กับส้มตำไทยอีก แต่สองอย่างนี้มาช้ามากเลยไม่ได้ถ่ายไว้ เพราะตอนนั้นหิวมากๆค่ะ พออาหารมาได้4 อย่างก็จัดการกันก่อน ทานกันคนข้าวโถแรกหมด เลยสั่งโถที่2มา (บอกแล้วว่าหิวมากจริงๆ 5555555) ปลาดุกฟูก็ยังไม่มา ตอนแรกจะไปยกเลิกแล้วเพราะอิ่มมากแต่แม่ครัวบอกกำลังทำเลยรอ พอปลาดุกฟูมาก็หมดเรียบอีก (เดี๋ยวนะ!!! ไหนบอกว่าอิ่ม คิคิ) อาหารอร่อยทุกอย่างเลยค่ะ แต่ยำจะติดหวานไปนิด แต่โดยรวมแล้วถือว่าใช่ได้เลยค่ะ
สรุปรวมค่าเสียหาย
อาหาร 6 อย่าง
-ปลาเผา
-แกงป่า
-แกงส้ม
-ยำรวมมิตร
-ปลาดุกฟู
-ตำไทย
ข้าวเปล่า 2 โถ
น้ำเปล่า 4 ขวด
น้ำแข็งเปล่า 1 ถัง
ทั้งหมด 820 บาท ถูกมากกกกกกก อิ่มไปยันพรุ่งนี้เช้า ใครที่จะมาเมืองกาญฯ ขอแนะนำร้านนี้เลยค่ะ "ท่าม่วงปลาเผา" อยู่ตรงบายพาส ก่อนถึงร้านแก้วของฝากเมืองกาญ
สุดท้ายต้องขอบคุณเพื่อนๆที่หาเวลาว่างตรงกันได้ ขอบคุณรถคันเล็กๆของจินที่พาเรา5คนเดินทางอย่างปลอดถัย ขอบคุณคุณแม่ที่อดทนแบกลูกในท้องไปเที่ยวถึงจะบ่นว่าเหนื่อยแต่นางก็ไป 555555 ขอบคุณหนึ่งที่ตื่นตั้งแต่ตี4 ขึ้นรถเมล์รอบแรกจนได้มาเจอกันแต่เช้าตรู่ ขอบคุณตูนที่คอยแซวเพื่อนให้ได้ฮาตลอดทริป แม้จะเป็นเวลาสั้นๆแต่ก็หัวเราะได้เต็มที่เหมือนที่เคยหัวเราะ ยิ้มได้เต็มที่เหมือนที่เคยยิ้ม ได้กลับมาเติมพลังกันก่อนที่จะไปสู้กับวันใหม่ ถ้าเหนื่อยหรือท้อก็กลับมาเติมพลังกันอีกนะ
ขอบพระคุณทุกท่านที่ได้เข้ามาอ่านกระทู้นี้ ขอบคุณค่ะ
ขอบคุณที่มาจาก Pantip
Cr. หมีจี