รีวิว คีรีวง"นครศรีเขียว" ต้นไม้ ลำธาร จักรยาน น้ำใจ


การเดินทางที่ผิดพลาดจากแผนที่วางไว้เพียง 1 อาทิตย์จากที่จะไปทีแรกคือ "อ่าวคราม" นำพาให้เรา
ต้องเปลี่ยนเส้นทาง (ลางานก็ลาไว้แล้ว - -*) จึงต้องเริ่มหาข้อมูลใหม่รัวๆๆๆ
ความรู้สึกคือต้องการพักผ่อน กิจกรรมไม่ต้องมาก เอาแบบตามใจฉัน... แล้วสุดท้ายก็มาเจอที่นี่ คีรีวง.


การเดินทางครั้งนี้เราวางแผน(จริงๆอย่าเรียกว่าแผนเลย 555 เป็นคนที่ไม่ถนัดกับเรื่องวางแผนเดินทางจริงๆอมยิ้ม20)
คือกะว่าเอาคร่าวๆ 3 วัน 2 คืน โดยเริ่มจากที่ ขนส่งสายใต้ เลิกงานตอนเย็นปุ๊บ รีบดิ่งไปกะขึ้นรถตู้แยกบางนา(ที่ทำงานแถวบางนา)
แต่ปรากฎว่ารถไม่วิ่งวันนี้ซะงั้น เพราะรถติดเข้ามารับไม่ได้!! ...ไงละทีนี้ เปลี่ยนแผนไปขึ้นรถเมล์ละกัน เมล์ 511 วิ่งยาวมาก
และสโลว์ไลฟต์สุดๆ ยิ่งเจอวันศุกร์เข้าไปนี่ไม่ต้องพูดถึง เราเผื่อเวลาไว้ 2 ชั่วโมง โดยจองตั๋วกับทางศรีสุเทพทัวร์ไว้แล้ว
ชีวิตฝากไว้กับรถเมล์ ค่อยๆคลานไปทีละนิด ใจนี่ก็ไปถึงคีรีวงเรียบร้อยแล้ว แต่ตัวนี่ยังนั่งหลับอยู่บนรถอยู่เลย
.....
เวลาใกล้ 2 ทุ่มเข้าไปทุกที แต่รถยังไม่ถึงไหนเลย เราจึงตัดสินใจลงจากรถและต่อวินมอไซต์แทน
เอาจริงๆเราไม่เคยไปขึ้นรถที่ขนส่งสายใต้เลย จึงกะเวลาไม่ได้...เหลือเวลาประมาณ 20 นาที ลงจากรถได้รีบวิ่งไปหาพี่วิน
บอกพี่รีบไปขนส่งเลย พี่(ตามจริงก็ไม่พี่แล้วแหละอายุเป็นประมาณ "ลุง" ได้ )
ขับไปได้สักพักแกก็หันกลับมาถามเราว่า เหลือกี่นาที แล้วบทสนาก็ยาวเป็นหางว่าว...


เรา : ประมาณ 15 นาทีครับ แกก็เริ่มคุยเรื่องราคา
ลุง : ราคาให้ลุงได้เท่าไหร่....
เรา : หยุดไปสักพัก คิดอยู่นานแล้วบอกไป 80!! ละกัน
ลุง : โวยขึ้นมา โหหหหห อย่างนี้ไม่มีใครวิ่งหรอก ถ้าให้แค่นี้ ลุงจอดตรงนี้เลยละกัน!!
เรา : แล้วปรกติราคาเท่าไหร่อะครับ
ลุง : เอาเป็นว่าเราให้เราได้เท่าไหร่ ดูนะรถติดขนาดนี้ ต่อไปขึ้นสะพานถ้าไม่ติดลุงให้นั่งฟรีเลยเอา
เรา : (คิดในใจ ราคาก็ไม่บอก แล้วจะยังไงกัน - -) แล้วก็ถามราคาลุงอีกรอบ ย้ำๆๆ หลายรอบมาก
ลุง : ตอบแบบเดิมเป๊ะ สุดท้าย แกหลุดออกมาว่า ปรกติก็ 600 บางคนมากกว่านั้นอีก
เรา : โอววววววววแม่เจ้า!! นี่มันค่าฆ่ากันชัดๆ  เลยบอกให้ลุงแกจอดๆๆเลย
ลุง : (เริ่มอ่อนลง) แล้วเราให้ลุงได้เท่าไหร่ละ...
เรา : 300 ละกันครับ (ดูจากทางที่วิ่งมาไกลพอสมควร)
ลุง : ไม่เชิงตกลงและขอต่อนิดหน่อย
เรา : สุดท้าย ลุงส่งเราถึงที่และต่อเราขึ้นเป็น 350 แต่เราก็ให้ไป 400 เพราะฟังแกบ่นตามทางมาเยอะ 
       ประกอบกับระยะทางที่วิ่งมา มันไกลจริงๆจึงต้องเห็นใจแกด้วยส่วนหนึ่ง
ลุงส่งเราได้ทันเวลา เรารีบวิ่งไป ลุ้นอย่างหนักว่าจะทันรึเปล่า สุดท้ายทันพอดีจ้ายิ้ม


รถทัวร์พาเรามาถึงขนส่ง 8.33 น. ใช้เวลาประมาณ 12 ชั่วโมงได้ แล้วเราก็นั่งรถสองแถว นครศรี-คีรีวง
(ขึ้นตรงฝั่งตรงข้ามถนนใหญ่ ที่เราต้องเดินออกมาจากขนส่งก่อน) นั่งสุดสายไปลงสะพานท่าดี คีรีวงเลย


ทันทีที่ลงรถได้ เสียงเพลงในวิทยุที่ฟังมาตามทางดังขึ้น "บินหลาเอย ไม่เคยบินลับบินหาย...
เพลง ฝากใจไปบ้าน ของพจนาถ พจนาพิทักษ์ (คิดในใจนี่มันโคตรเข้ากับบรรยากาศเลยยยยยย ฟิน!!)
ลืมบอกไปว่าครั้งนี้เรามาคนเดียว และโทรจองที่พักไว้ก่อนแล้ว เมื่อถึงแล้วก็รอ "พี่วิว"
คนที่จัดการเรื่องที่พักให้กับเรา มารับไปยังที่พัก


ในระหว่างที่รอก็เดินเล่นชมนกชมไม้ไปเรื่อย บรรยากาศที่นี่ดีอย่างที่หลายๆคนบอกไว้จริงๆ อากาศเย็นๆ
ทำให้เรากล้าสูดอากาศเข้าแบบเต็มปอด รออยู่ไม่นานพี่วิวก็มาถึง ทักทายกันแปปนึงและแกก็แนะนำให้ไปเช่าจักรยาน
ที่บ้านนายทั่ง ในราคา 50 บาทต่อวันเราเช่าไป 2 วัน 100 บาทพอดี (เช่าจักรยานไม่ต้องใช้บัตรอะไรเลย)
แล้วพี่วิวก็บอกให้เราปั่นจักรยานตามแกไป โดยแกขี่รถมอไซด์นำทาง แกบอกว่าที่พักห่างจากนี่ประมาณ 2 กิโลได้
แต่เอาเข้าจริงนะ เราว่ามันเกิน2 กิโลด้วยซ้ำ!! หอบสิครับ ปั่นตามรถมอไซด์


นั่นแหละครับ ที่เห็นอยู่ไกลๆ พี่วิว สะพานกระเป๋าสีส้มให้เรา ขับนำไปไกลมาก รอด้วยยยยยยยยยพี่ ><

ที่พักเราอยู่แถวหนานหินท่าหา กว่าจะถึงจุดนี้เรามีขอพี่วิวจอดพัก 1 ครั้ง เนื่องจากเหนื่อยสิครับ(ตามภาษาคนเริ่มมีอายุบ้าง 555)
บรรยากาศที่ปั่นเลยมาดีมากๆเลย มองไปทางไหนก็มีแต่สีเขียว เราหยุดได้สักพักก็เริ่มปั่นต่อ
พี่วิวบอก อีกนิดเดียววววววจะถึงแล้ว เอาวะ อีกนิดเดียวๆ



และแล้วก็มาถึง บอกได้คำเดียวว่าเหงื่อท่วม 5555 - ที่จริงเราพักอยู่ตรงข้ามเรินท่าหา แต่เจ้าของเป็นคนเดียวกันคือ "ป้าสาว"



เปิดเข้ามาดูในห้องพัก รู้สึกตกใจนิดหน่อยเป็นห้องธรรมดาจริงๆ...
เราเป็นคนไม่ซีเรียสกับที่พัก เอาแค่ว่านอนพักได้สะดวกก็พอแล้ว แต่แค่รู้สึกมันไม่คุ้มกับเงิน 500 บาทที่จ่ายไปสักเท่าไหร่ - -*



ที่พักมีครัวอยู่ด้วย ป้าสาวบอกจะสั่งอะไรก็บอกแม่ครัวได้ ด้วยความอยากกินอาหารพื้นถิ่นเลยบอกไป
แต่กลับไม่มีซะงั้น มีแต่ข้าวผัดทะเล... เอาครับ ยังไงก็ได้กินง่ายอยู่ง่ายอยู่แล้ว ชั่วโมงนี้หิวด้วย เราจึงขอไปอาบน้ำรอก่อน
(ข้าวผัดให้เยอะมาก อร่อยด้วย รึหิวก็ไม่รู้ 555)


ที่พักเราติดริมธารเลย และมีทางลงไปด้านล่าง นั่งเล่นน้ำด้วย

เราเดินลงไปเอาเท้าจุ่มน้ำดู น้ำเย็นมากใสด้วย^^


เสร็จจากกินข้าว เราก็ปั่นจักรยานสำรวจพื้นที่กันต่อ หาที่แวะหาที่กินไปเรื่อยๆ 



ปั่นมาได้สักพักก็เริ่มหิว เลยแวะจัดกาแฟไปแก้วนึง และนั่งชมวิวไปเรื่อย แต่สักพักฝนก็ตก
ทำให้ต้องนั่งรอในร้านสักระยะ ก่อนจะไปปั่นต่อ



ช่วงหลังฝนตกมีไอน้ำดันขึ้นมา ทำให้รู้สึกเย็นๆขึ้นมาอีกนิดนึง



พักอยู่สักแปปนึง เราก็ปั่นกันไปกันต่อ ช่วงที่ปั่นเป็นตอนบ่ายโมงแต่รู้สึกว่าไม่ร้อนเลย
ทำให้เราปั่นเล่นได้เรื่อยๆ


มาสะดุดที่ลูกอะลูมิไลท์ สักพักนึง 5555 เห็นมีอยู่เต็มต้นเลย เห็นสีสวยดีแต่ไม่กล้ากิน ประหลาดใจ



ช่วงที่มารู้สึกน้ำจะเยอะมาก ทุกอย่างจึงดูอุดมสมบูรณ์สุดๆ



เกือบ 90% ของที่นี่เหมือนจะเป็นสีเขียวของต้นไม้ ธรรมชาติ และลำธาร



ปั่นมาจนสุดทาง แต่จริงๆก็เห็นชาวบ้านเขาขี่รถมอไซด์ข้ามกันได้นะ 
แต่เราก็เสียวๆเหมือนกัน กลัวน้ำพัดปลิวไปซะก่อน เอาเป็นว่าปั่นกลับละกัน ป๊อด!! 5555

นี่ไงป้าแกโชว์ว่าเดินข้ามได้แบบสบายๆ ทอดน่องได้แบบชิวๆ ไอ้เราก็กลัวเนอะ เห็นน้ำไหลแรงเม่าเศร้า



เรือนภูงาม น้ำสวย เห็นแค่ภายนอกก็สวยแล้ว แต่เราไม่ได้แวะเข้าไป



ที่นี่จะมีหลายกลุ่มที่เป็นการรวมตัวกันเพื่อทำสินค้าหัถกรรมสำหรับชุมชน



ไปกันต่อ เรารู้สึกว่าที่นี่ดีอย่างหนึ่ง ว่าเป็นที่เที่ยวที่ไม่มี Landmark หรือจุดสำคัญในการถ่ายรูปสักเท่าไหร่
ทำให้นักท่องเที่ยวไม่แห่กันมามาก แม้ในช่วงที่เรามาถึงวันเสาร์ แต่ความรู้สึกค่อนข้างเงียบอยู่เหมือนกัน
ทำให้ที่เหมาะแก่การพักผ่อนแบบจริงๆ


ปั่นวนไปวนมากลับมาใกล้ที่พักมีสะพานข้ามด้วยแหละ ชาวบ้านน่าจะทำขึ้น
เพราะทางข้ามใกล้ๆกัน บางทีน้ำก็ขึ้นมาเยอะ



อากาศเย็นๆทำให้เราหยุดยืนดูที่นี่อยู่สักพัก ก่อนจะไปต่อ


เอาจริงๆเราปั่นเล่นตั้งแต่เช้าที่มาถึง จนมืด ทีแรกก็กะว่าจะพักนอนช่วงนึงแล้วมาปั่นต่อแต่พอได้กาแฟเข้าไปเท่านั้นแหละ ดีด!! 55555เม่าเริงร่า


ตอนหัวค่ำหน่อยๆ ร้านกาแฟก็ยังคงครึกครื้นอยู่ แต่!! อย่างหนึ่งที่เราลืมไป ที่พักเราอยู่ไกลนี่หว่า
ทางก็มืด ปั่นกว่าจะถึง ปั่นไปเกือบครึ่งทาง มีพี่คนนึงเป็นชาวบ้านขับรถมอไซด์ตามเรามา
ถามว่าเราพักที่ไหน เราก็เอ๋อๆ จำชื่อที่พักไม่ได้ เลยไม่รู้จะบอกยังไง แต่แกก็อาสาส่องไฟนำทาง
ส่งให้เราไปยังที่พัก เราลืมถามชื่อไว้แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณน้ำใจมา ณ ที่นี้ด้วย ^^

และแล้วไม่คิดว่าประวัติศาสตร์ก็ซ้ำรอยกับที่เคยไปสังขละบุรี
เจอที่พักแบบมีปลั๊กเสียบแบบทั้งห้องมีตัวเดียว!! โอยยยยย ออกอาการโอดครวญเบาๆ



แต่สุดท้ายเราได้เปลี่ยนที่นอน ไปนอนเรินท่าหา(อีกฝั่ง)เพราะที่ที่เราจะนอนดันมีงานเลี้ยง จัดคาราโอเกะซะ
ป้าสาวเลยจัดให้เรานอนที่ใหม่ที่สบายกว่า^^


เช้านี้ที่แสนสดใส ตั้งนาฬิกาปลุก 6.20 น. แต่ลุกมาปิดแล้วนอนต่อตื่นมา 8.30 น. ฮ่าๆๆ ก็คนมันเพลีย
จากเมื่อวานนี่หน่า  ช่วงเช้าป้าสาวทำโจ๊กให้กิน หน้าที่พักมีกาแฟให้กินด้วย ซึ่งเราถามพี่วิวก่อนมาว่า
ที่พักมีอาหารเช้าให้ไหม แกก็บอกไม่มี แต่พอมาถึงก็เซอร์ไพร์เหมือนกันที่ป้าสาวทำโจ๊กเลี้ยง 



วันนี้เราตั้งใจว่าจะละเลียดปั่นเก็บบรรยากาศของที่นี่ไปแบบชิวๆละกัน - ในภาพทางขึ้นสวนผลไม้ทางชันใช้ได้เลย



คีรีวง รีสอร์ท เราขอพี่เขาเข้าไปถ่ายรูปด้านใน น่าพักเช่นกันข้างในทำเหมือนบ้านสวนเลย ต้นไม้เยอะดี



ระบบเตือนภัยที่ติดไว้ข้างบ้านที่พัก



ไปกันต่อๆ จักรยานที่เช่ามาจะมีตะกร้าซึ่งพอดีกับกระเป๋ากล้องที่เรามีเลย แต่จักรยานไม่มีเกียร์นะ 
เวลาลงเนินก็พอไหว แต่พอขึ้นเนินนี่แทบถีบจักรยานทิ้ง แล้วลงเดินแทน 5555



ปั่นไปอีกช่วงหนึ่งงก็จะมีสะพานเล็กๆ ชือสะพานคลองปง เป็นสะพานเชื่อมไปอีกฝั่งหนึ่งของหมู่บ้าน



สักพักนึงฝนก็ตกลงมาอีกแล้ว ทำให้ต้องมาให้หยุดรอในร้านข้าวแถวคิวรถสองแถวอีกครั้ง
ไหนๆก็พักรอฝนหยุดตกละ สั่งข้าวมันไก่มากินรอซะเลย 555 (ทำเนียนหิวอีก)



ช่วงหลังฝนหยุดตก แต่ก็ยังมีฝนปรอยๆอยู่ เราก็ขอกลับไปปั่นต่อ ที่นี่จะมีศาลาอยู่เป็นระยะๆ
ถ้าเหนื่อยอยากหยุดพักตรงไหนก็ได้ สามารถซื้อขนมมานั่งกินที่ศาลา แต่ก็ควรรักษาความสะอาดให้ด้วยเหมือนกัน
เราสังเกตว่าทางที่เราปั่นจักรยานมาที่นี่แทบจะไม่มีขยะอยู่เลย ชาวบ้านต่างช่วยกันดูแลกันเป็นอย่างดี



ที่นี่มีป่า และต้นไม้ปกคลุมเยอะมาก เราชอบช่วงอากาศช่วงหลังฝนตก
มันเหมือนการ refresh ทุกอย่างขึ้นใหม่อีกครั้งยิ้ม



เราปั่นแวะเข้าไปในหมู่บ้าน จะมีโรงเรียน วัด และชุมชนที่ทำกิจกรรมต่างๆ


เด็กนั่งเล่นอยู่ในบ้าน เราขอถ่ายและเด็กก็ยิ้มสู้กล้องมาก  ยิ้ม



บ้านของคนที่นี่ส่วนใหญ่จะมีต้นไม้ล้อมรอบบ้าน ดูแล้วสบายตาดีจัง



ปั่นมาจนสุดทาง แต่จริงๆก็ไปได้แหละ แต่กลัวน้ำพัดปลิวไปซะก่อน 555
ทางเหมือนจะเชื่อมอีกฝั่งที่เราปั่นมาเมื่อวาน



ปั่นมาได้สักพัก มาสะดุดตาที่มุมนี้จนต้องปั่นกลับมาถ่ายรูปเก็บไว้ เราชอบมุมนี้เพราะมันเหมือนกับ
ที่เราคิดฝันไว้ถ้ามีบ้านก็คงอยากที่จะมีบ้านอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอย่างนี้แหละ



ทางสะอาด บวกกับสองข้างทางที่เต็มไปด้วยต้นไม้ และผู้คนที่นี่ส่วนใหญ่ขับมอไซด์ บ้างก็มีเดินกันบ้าง



เส้นทางในหมู่บ้านที่นี่ปั่นทะลุกันได้หมด เราปั่นออกมาอีกเส้นหนึ่งซึ่งยาวมาก และไกลพอสมควร
จนคิดว่าเส้นนี้มันน่าจะออกจากหมู่บ้านแล้วแหละ


ทางขึ้นเนินนี่ค่อยๆปั่นอย่างเดียวเลย บางทีเราลงแล้วเดินจูงเอาก็มี 5555 ไม่ไหวอะ


ปั่นไปสักพักฝนเริ่มมาอีกครั้ง เลยต้องแวะปั้มน้ำมัน จะมีร้านสะดวกซื้ออยู่ข้างๆ
เราเดินเข้าไปซื้อน้ำในร้านสะดวกซื้อ ซื้อเสร็จเรียบร้อย เด็กในร้านถามขึ้นมาว่า "เอาหรดหม่าย"
เรา: ห๊าๆ อะไรนะ!
เด็ก: เอาหรดหม่าย หรดอะ (พร้อมชี้บอก)
เรา: มองไปเห็นมอไซด์กับรถจักรยานจอดกันเรียงราย พร้อมตอบกลับไปด้วยความเกรงใจ "อ่อ... ไม่ละน้อง พี่มีรถจักรยานมาเอง"
เด็ก: ทำหน้าเซ็ง พร้อมกับเดินมาหยิบหลอดให้. หรดนี่เอาหม่าย!!
เรา: ทำตลกกลบเกลื่อน เอาๆ พี่เอาหรดก็ด้ายยย - -"
เดินอายๆออกจากร้านมานั่งกินชาเขียวไปพลางๆFacepalm


ไปกันต่อ เส้นทางที่ปั่นไปเขียวชอุ่มมาก ทำให้เราต้องหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายเก็บไว้เป็นระยะๆ



พอปั่นขึ้นเนินไปสุดๆ จะสามารถเห็นวิวที่เป็นภูเขาในมุมกว้างของอีกฝั่งได้เลย



เราปั่นไปไม่สุดทางเพราะมันไกลจริงๆ เลยตัดสินใจปั่นกลับมาที่หมู่บ้านอีกครั้ง



ใกล้ๆกันมีร้านขายของอยู่ และร้านบะหมี่อยู่ข้างๆกัน เราเลยจัดไปซะ ชดเชยพลังงานที่เสียไป



ช่วงที่ถ่ายเป็นตอนบ่าย 3 โมง แต่อากาศยังเย็นสบาย แดดค่อนข้างน้อยมาก
ทำให้คิดว่าแล้วถ้าซักผ้า ตากไว้นี่จะแห้งไหมอะ...



ที่นี่มีให้อาหารปลาด้วย เป็นปลาปล่อยตามธรรมชาติ อยู่ใกล้เขตอภัยทานแถววัด (ปลาตัวใหญ่มากกกก)



เราแวะกลับมาเก็บภาพแถวที่พักอีกครั้ง คราวนี้แสงดีมาก ฟ้าเริ่มเปิดขึ้นมาบ้าง
จึงได้อัดวีดีโอเก็บไว้ ฟังเสียงน้ำ และบรรยากาศรอบๆ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้



ช่วงบนสะพานมีนักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปอยู่บ้าง



วนกลับมาช่วงกลางหมู่บ้าน ช่วงเกือบเย็นๆ ชาวบ้านเริ่มกลับจากทำงาน



ช่วงทางลำธารที่น้ำไหลผ่าน บางช่วงก็มีชาวบ้านและนักท่องเที่ยวออกมาเล่นน้ำกัน



ยายกำลังอาบน้ำให้หลาน เด็กพอเห็นเราถ่ายรูปก็เขินอายอยู่บ้าง แต่พอเราเดินออกมาไกลสักหน่อย
ก็เล่นน้ำร่าเริงสนุกสนานมาก - ทำให้เรานึกถึงตอนเด็กๆ(เป็นเด็กบ้านนอกจ้า^^) ที่เราวิ่งเล่นได้อย่างสนุก
มีเพื่อนๆเป็นกลุ่มไปยิ่งสนุกใหญ่เลย^^



เราแวะกลับมาชมวิวที่สะพานอีกครั้ง วันนี้เงียบกว่าเมื่อวานด้วยซ้ำ เพราะวันนี้วันอาทิตย์
เราลางานวันจันทร์ไว้อีกวันเพื่อกะว่าจะกลับวันพรุ่งนี้



ระหว่างทางกลับก็เริ่มมืดขึ้นมาแล้ว เราจึงรีบกลับก่อนที่จะมองทางไม่ชัด



ช่วงระหว่างทางแอบเห็นที่นั่งชิวด้วยแหละ เริ่มมีเปิดไฟแสงสีและเปิดเพลงประกอบไปด้วย


เช้าวันจันทร์ วันนี้ตื่นแต่เช้าจ้า กะว่าไปแวะตลาดเช้า แต่!!ฝนดันตกตั้งแต่เมื่อวานจนถึงเช้านี้
ทำให้อดเลย ข้าวกล่องนี้ป้าสาว ใจดีซื้อมาให้ เราก็เกรงใจและเราก็ขอบคุณป้าสาว 
พอตอนจ่ายค่าที่พัก ปรากฎว่าแกลดค่าที่พักให้อีก 200 บอกเก็บไว้เป็นค่ารถเถอะ แกเห็นเรามาคนเดียว
และพัก 2 วันกลัวว่าจะแพงเกินไป (เพราะทีแรกเราบอกกับพี่วิวไว้แล้วว่า ขอโฮมสเตย์ก่อนละกัน
ถ้าไม่มีค่อยเป็นรีสอร์ทแทนก็ได้)



เราจึงขอขอบคุณและขอถ่ายรูปป้าสาวไว้ก่อนที่จะลากลับอีกครั้ง



เราออกมาช่วง 11 โมงเช้าได้ ซึ่งปรากฎว่ารถทัวร์ไม่มีจ้า!! มีรอบเร็วสุดคือเช้าเลย และตัดกลับมา
เป็นช่วง 5 โมงเย็น ไงละทีนี้ รออีก 5 ชั่วโมงกว่าจะได้กลับ จึงขอบันทึกไว้ตือนใจ(สำหรับตัวเอง -.-) 
น่าจะเช็คเวลาก่อนเดินทาง แต่ก็ดีอยู่อย่างหนึ่งทำให้เรามีเวลานั่งอ่านกระทู้
ที่ กดชืนชอบไว้แต่ยังไม่ได้อ่าน ได้กลับมามีเวลาอ่านอีกครั้ง^^



รถที่กลับเป็นของนครศรีร่มเย็น ป.1 ราคา 562 บาท (ความรู้สึกคือดีกว่านครศรีสุเทพทัวร์ ขามา)
รถออกประมาณ 5 โมงนิดๆ ถึง กรุงเทพฯ สายใต้ใหม่เวลาเกือบตี 4.40 น. ใช้เวลาไม่ถึง 12 ชั่วโมงดี



สุดท้ายเราขอลาทริปนี้ไปด้วยภาพหน้าที่พักเรินท่าหา ความรู้สึกมาที่นี่เหมือนการเอาตัวเอง
มาหย่อนลงบนธรรมชาติ ปั่นจักรยานเล่นได้แบบเรื่อยเปื่อยอิเหรื่อยเฉื่อยแฉะมากถึงมากที่สุด 
จุดหมายปลายทางของของการปั่นคือไม่มีจริงๆ แต่สิ่งที่ได้เจออยู่สองข้างทางมันก็คุ้มมากเกินกว่าที่คิดไว้ 
และดูวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในหมู่บ้าน

Special Thank : พี่วิว ป้าสาว ลุงวีระ สำหรับที่พักทั้งยังทำกับข้าวเลี้ยงและลดค่าที่พักให้ด้วย ใจดี๊ใจดี^^
มีโอกาสคงได้กลับไปอีก.

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Pantip