การเดินทางครั้งนี้เป็นการ Trekking เต็มรูปแบบครั้งแรกของกลุ่มพวกเรา(มะงุมมะงาหรา) เราใช้เวลาในการศึกษาข้อมูลอุทยานและข้อมูลการเดินป่าค่อนข้างนาน ดอยลังกาหลวง เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติขุนแจ เป็นรอยต่อของ 3 จังหวัดคือเชียงราย - ลำปาง - เชียงใหม่ ดอยลังกาหลวงมียอดดอยอื่นๆซึ่งอยู่ในเส้นทางเดินป่าเส้นทางเดียวกันประกอบด้วย ดอยผาโง้ม( 1,764 เมตร ) , ดอยลังกาน้อย( 1,600 เมตร ) และดอยลังกาหลวง( 2,031 เมตร ) ดอยลังกาหลวงนี้ก็เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของเทือกเขาแห่งนี้ มีความสูงถึง 2,031 เมตร สูงเป็นอันดับ 6 ของยอดเขาสูงของเมืองไทย เป็นการเดินเท้าระยะไกลรวมทั้งสิ้น 17 กิโลเมตร ซึ่งเราสามารถเลือกเส้นทางเดินได้ 2 เส้นทาง
เส้นทางที่ 1. เดินเท้า 4 วัน 3 คืน สามารถเลือกได้ 2 แบบ คือ
1. เดินขึ้นจากสถานีเรดาร์ ไปผาโง้ม(พักแรมคืนที่ 1 ) ต่อด่วยลังกาหลวง (พักแรมคืนที่ 2 ) และลังกาน้อย(พักแรมคืนที่ 3) และเดินลงจากลังกาน้อยไปแม่ตอนหลวงในวันสุดท้าย
2. เดินขึ้นจากบ้านแม่ตอนหลวง ไปลังกาน้อย(พักแรมคืนที่ 1 ) ต่อด้วยลังกาหลวง (พักแรมคืนที่ 2 ) และผาโง้ม(พักแรมคืนที่ 3 )
เดินลงจากผาโง้มไปสถานีเรดาร์ในวันสุดท้าย
เส้นทางที่ 2. เดินเท้า 3 วัน 2 คืน นิยมเดินทางจากสถานีเรดาร์ ผ่านผาโง้ม ไปลังกาหลวง(พักแรกคืนที่ 1 ) ต่อด้วยลังกาน้อย(พักแรมคืนที่ 2) วันสุดท้ายเดินลงจากลังกาน้อยไปบ้านแม่ตอนหลวง ซึ่งการเดินทางแบบนี้จะต้องเดินทางเป็นระยะไกลในหนึ่งวันใครที่ไม่อึดพออาจจะถึงแคมป์พักแรกไม่ทันตามเวลาเดินทางมืดๆในป่าไม่น่าจะโอเคเท่าไหร่
กลุ่มของพวกเราตัดสินใจเดินทางจากแม่ตอนหลวง สิ้นสุดที่สถานีเรดาร์ในระยะเวลา 4 วัน 3 คืน
ในระหว่างวันที่ 31 ธ.ค. 2558 - 3 ม.ค. 2559 เดินเท้าข้ามปี
เป็นอีกทริปที่พวกเรารู้สึกประทับใจมาก แน่นอนว่าระยะทางที่ไกลและเส้นทางเดินที่ชันมาก สร้างความเหนื่อย ความล้าแก่มัดกล้ามเนื้อ
แสงแดดแผดเผา ขาเป็นตะคริว แต่นั่นมันก็ทำได้แค่ความเจ้บป่วยทางกายภาพ ไม่สามารถทำลายความตั้งใจของพวกเราได้
พวกเราไม่ใช่ผู้พิชิตยอดดอยลังกาหลวง พวกเราก็แค่กลุ่มคนเล็กๆที่พิชิตจิตใจตัวเอง
จากนี้เราจะมาดูกันว่าไป "ดอยลังกาหลวง" มีอะไรดี
พวกเราเลือกเส้นทาง แม่ตอนหลวง-ลังกาน้อย - ลังกาหลวง - ผาโง้ม - สถานีเรดาร์
เดินทางถึงที่ทำการอุทยานขุนแจ พวกเราจัดการสัมภาระ ข้าวของที่ใช้บริการลูกหาบ
รถ 4WD นำพวกเราไปส่งที่ บ้านแม่ตอนหลวง ที่นั่นถือจุดเริ่มต้นของการเดินทาง
เส้นทางในช่วงแรกเป็นทางราดยาง ค่อนข้างไกลน่าจะร่วมๆ 20 กม. และก็ชันมากด้วย
ก่อนถึงจุดเริ่มเดินจะต้องผ่านหมู่บ้าน ซึ่งเส้นทางนั้นแคบมาก นับถือฝีมือของคนขับจริงๆ
ลูกหาบพร้อม คนนำทางพร้อม พวกเราพร้อม (ตอนนี้หน้าตายังสดชื่นดีอยู่)
หลังจากเอาสัมภาระขึ้นหลังเชคความพร้อม พวกเราก็ออกเดินทางทันที เริ่มเดินปุ๊บชันปั๊บ
ที่นี่ไม่มีระยะทางให้ปรับตัวนะคะ ขาลงจากรถเดินขึ้นก็ชันเลย
บรรยากาศระหว่างทางเดินจากแม่ตอนหลวงไปดอยลังกาน้อย ที่นี่แทบไม่มีทางราบเลย up up up อย่างเดียว จุดแวะพักต่างก็เป็นเพียง พื้นที่ เล็กๆและทางเดินแคบมาก ในหลายๆจุดจะเดินผ่านได้ทีละคนเท่านั้น รวมทั้งในบางช่วงเป็นการเดินผ่านทุ่งหญ้าคาใบแหลมคมถ้าไม่มีเสื้อแขนยาวปกคลุมไว้ มีโอกาสโดนบาดเลือดไหลเอาง่ายๆ
เดินมาได้ร่วมๆ 3 ชม. พวกเราก็มาถึงจุดที่มองเห็นยอดลังกาน้อย ที่มีเจดีย์สีทองตระหง่านอยู่ลิบๆ ใจเต้นแรงอยากถึงเร็วๆ
เดินมาอีกหน่อยจะเจอมุมที่ชัดขึ้น
และนี่เป็นจุดพักสุดท้ายก่อนจะตะเกียกตะกายขึ้นดอยลังกาน้อย
จากนี้ก็จะเริ่มแล้ว
ใช้คำว่าคลานน่าจะเหมาะกว่าเดิน ทุกก้าวต้องทำอย่างมีสติเพราะมันชันมาก ด้านซ้ายคือหน้าผาหินสูงชัน ตกลงไปไม่รอดแหง๋ๆๆๆ
จุดนี้จะชันและหวาดเสียวมาก จึงมีไกด์คอยดูแลอยู่ตลอดเพื่อความปลอดภัยของพวกเรา
บรรยากาศบนยอดลังกาน้อย ลังกาตะเกียกตะกายเกือบเอาชีวิตไปทิ้งซะแล้ว
จากดอยลังกาน้อย เราต้องเดินเท้าต่อีก ประมาณ 500 เมตร เพื่อไปยังจุดกางเต๊น ทางเดินบางจุดแคบและชัน
จุดกางเต๊นลังกาน้อย
จากจุดกางเต๊นเดินลงไปอีกราวๆ 500 เมตร จะเจอแหล่งน้ำซึ่งเป็นแหล่งน้ำดื่ม/น้ำใช้ของพวกเรา ที่สำคัญลูกหาบบริการอย่างดีเยี่ยมเดินลงไปหาบน้ำมาให้พวกเราด้วย ขอบคุณอย่างสุดซึ้งคะ
ขอแนะนำ การพกผลไม้ไปกินดับกระหายนี่ก็โอเคเหมือนกันนะ
เมนูมื้อค่ำสำหรับแคมป์แรกที่ลังกาน้อย
แกงจืดเต้าหู้หมูสับ ปลาทูทอด หมูทอดและ ทีเด็ดคืนนี้ คือ ลาบหมู อร่อยกันทั่วหน้ากินเสร็จหลับสบาย
ภายใต้สโลแกน "ทริปเหนื่อยต้องกินอาหารหรู ปฏิเสธ มาม่า ปลากระป๋อง"
สิ้นสุดภาระกิจวันที่หนึ่ง ออกเดินทางจากแม่ตอนหลวง เวลา 10.30 น. ถึง แคมป์ลังกาน้อย 4 โมงเย็น กว่าๆ
วันที่ 2 เริ่มออกเดินทางจากแคมป์ลังกาน้อย เป้าหมายคือ แคมป์ลังกาหลวง
เส้นทางเดินโดยส่วนใหญ่จะเป็นการเดินลัดเลาะไปตามเนินทุ่งหญ้า มีสลับกับป่าดิบเขาบ้าง แต่ก็ถือว่าเดินสบายกว่าวันที่ 1
รวมระยะทางในวันนี้ 6.5 กิโลเมตร
ถ้าสังเกตดูดีๆ ตลอดเส้นทางเดินเท้าจะมี Yellow tag คอยบอกเป็นระยะ เดินต้ามป้ายรับรองไม่หลง
ที่สำคัญถึงแม้ทางจะแคบและเล็กแต่ก็พอมองเห็นเส้นทางเดินได้ชัดเส้น
จริงๆป้ายนี้อยู่ติดกัน บอกว่าเราเดินมาแล้ว 2.5 กม. จากลังกาน้อย อีก 4 กม. ถึงลังกาหลวง โห๊ะอยากให้ป้ายสลับกัน 5555
เดินมาได้ 2 ชม. เริ่มมองเห็นดอยลังกาหลวงเหมือนอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่ความเป็นจริงอีกไกลโข
มาถึงยอดสำคัญอีกยอดเรียกชื่อว่า "ยอด 1,900" เรียกชื่อยอดตามความสูง
จุดนี้จะเห็นภูเขารายรอบดูอลังการมาก
บริเวณจุดตั้งแคมป์ลังกาหลวงจะอยู่หว่างหุบเขามืดครึ้ม อากาศเย็นมาก
ติดกับแคมป์ มีพระพุทธรูปไว้ให้นักท่องเที่ยวสักการะบูชา(ตรงทางเดินก่อนขึ้นยอดลังกาหลวง)
เมนูอาหารมื้อค่ำสำหรับการเดินทางวันที่ 2
ฮอตดอก แกงฟักทองหมู ไข่เจียว และผัดผักรวมมิตร อิ่มหนำสำราญกันเลยทีเดียว
ตามด้วยมื้อพิเศษๆ ของหวานที่ให้พลังงานและโปรตีนสูงชดเชยกำลังที่เราเสียไป มันคือ "ถั่วเขียวต้มน้ำตาล"
จริงๆเราตั้งใจจะกินกันที่แคมป์ลังกาน้อย แต่เวลามีน้อย ต้มยังไม่สุกก็เอามาต้มกันต่อที่ลังกาหลวง
เป็นถั่วเขียวที่ต้มนานมากเพราะต้มกันข้ามปี 555( วันที่ 31 ธ.ค.2558 - 1 ม.ค. 2559)
จากนี้จะต่อด้วยบรรยากาศการขึ้น "ยอดลังกาหลวง" จุดสุงสุดที่ระดับ 2,031 m รอชมกันต่อนะคะ
เช้าตรู่ของวันที่ 3 เวลา 04.00 น. พวกเรามีนัดเดินขึ้นยอดดอยลังกาหลวงด้วยระยะทางเดินเท้าไปกลับราวๆ 2 กม.
บรรยากาศก่อนพระอาทิตย์ขึ้น
เมื่อแสงแรกมาเยือน
ยังคงมีเศษชิ้นส่วน ฮ. ตกบริเวณดอยลังกาหลวงให้เห็นอยู่
อากาศด้านบนหนาวพอสมควรแต่ช่วงที่หนาวที่สุดลืมถ่ายซะงั้น (ไม่ช่ายว่าถ่ายมาไม่ชัดนะคะ แต่หมอกลงหนักมากเกาะเต็มหน้าไฮกรอมิเตอร์เลยยย)
ดื่มด่ำกับแสงยามเช้าของพระอาทติย์ขึ้น ก็ได้เวลากินขนมปังปิ้งหอมกรุ่นจากกองไฟ
ที่ระดับความสูง 2031 m. จากระดับน้ำทะเลปานกลาง
ชักภาพกันซักหน่อยนะคะ ภายใต้ชื่อ "มะงุมมะงาหรา"@ ดอยลังกาหลวง
พอแสงแดดสว่างมากขึ้น เราจึงเห็นดอยดอยผาโง้มจากยอดลังกาหลวงได้อย่างชัดเจน สวยงามจริงๆ
บนยอดดอยจะมีเจดีย์องค์เล็กๆอยู่ด้วยนะคะ ตำแหน่งเห็นได้ชัดเจน
ปิดท้ายด้วยเส้นทางเดินที่มักจะชันและลื่นเป็นธรรมดา
ได้เวลาออกเดินทางจากแคมป์ลังกาหลวง ปลายทางสำหรับวันนี้คือ แคมป์ดอยผาโง้ม
เป็นการเดินลงในช่วงแรกๆจากนั้นเดินตามสันเขาค่อยๆไต่ระดับขึ้น จนกระทั่งถึงผาโง้มเริ่มชันมาก แต่เทียบไม่ได้เขาลงไปตั้งแคมป์ชันมากถึงมากที่สุด ระยะทางเพียงแค่ 150 m. (ในใจคิดใช่เหรอมันยังกะ 1500 m.) เราใช้เวลาร่วม 30 นาที เรียกว่าเดินคงไม่ได้เพราะเราต่างใช้ก้นไถลลง ก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ สนุกปนความหวาดเสียว
ทุกๆระยะที่ก้าวลงมีลมหายใจอยู่กับปัจจุบันขณะ
ทางเดินมีทั้งทุ่งหญ้าสลับกับป่าสน
เดินมาซักพักใหญ่ หันหลังกลับไปจะมองเห็นยอดดอยลังกาหลวงตระหง่านอยู่ไกล อลังการงานสร้างจริงๆ
เริ่มมองเห็นดอยผาโง้มมาแต่ไกล
เรียกกำลังใจสุดท้ายก่อนขึ้นผาโง้ม
และแล้วเราก็มาถึงซักที ดูจากสภาพแต่ละคนยังกะผ่านสงครามโลกกันมายังไงยังงั้น
การเดินขึ้นที่ว่าชัน งั้นการเดินลงจัดว่าเป็น Big Surprise!!!! ดิ่งลงเท่านั้นคร่าาาาา
ทางลงจุดนี้ชันมาก ในภาพเหมือนไม่ชันของจริงนี่พูดไม่ออกค่ะ
ถึงจุดตั้งแคมป์ดอยผาโง้ม
มีนกมาต้อนรับซะด้วย
ตั้งแคมป์เสร็จพอมีเวลา ชมนก ชมไม้ ชมวิว เห็นไปดูหลังแคมป์วิวกำลังสวยพอดี
จากจุดตั้งแคมป์ดอยผาโง้ม จะมีป้ายบอกทางไปแหล่งน้ำดื่มน้ำใช้ ระยะราวๆ 100 m .เส้นทางคล้ายๆเดินลงน้ำตก
เหน็ดเหนื่อยสาหัสกันมาทั้งวัน คืนนี้ขอเติมพลังก่อนนอนด้วยเมนู
แกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากราย ยำแหนม ยำปลากระป๋อง ไข่เจียวแหนม อร่อยยยยยยย
ราตรีสวัสดิ์จร้าาาาา
พวกเราตื่นแต่เช้าเก็บแคมป์ ปลายทางสถานีเรดาร์ระยะทาง 3.5 กม. เส้นทางไม่ชันมากเดินไปตามสันเขาขึ้นๆลงๆบ้างเป็นระยะ
ก่อนออกเดินทางเก็บภาพหมู่ซักหน่อย
เส้นทางเดินจากแคมป์ไปสถานีเรดาร์
เดินมาได้ซักพักใหญ่ ก็เริ่มเห็นเสาเรดาร์ชัดขึ้น ยิ่งเห็นชัดยิ่งเขาอ่อนเพราะเหนื่อยล้าเต็มทีอยากถึงปลายทางไวๆ
ระยะนี้ใกล้มากแล้ว งัดกำลังสำรองสุดท้ายออกมาใช้จนหมดเกลี้ยงเลย
ในที่สุดการเดินทางอันยาวไกลของพวกเราก็สิ้นสุดลง ว่าแล้วก็ใจหายเหมือนกันนะ
ขอขอบคุณคณะคนนำทาง ประกอบด้วยลูกหาบ 3 คน และน้องจะแล ทำหน้าเป็นไกด์นำทาง ดูแลพวกเราอย่างดีเยี่ยม คอยหาน้ำ อำนวยความสะดวกทุกอย่าง พวกเราไม่เคยได้รับการบริการแบบนี้จากที่ไหนมาก่อน ถ้าถามว่าทริปนี้เราประทับอะไรมากที่สุดขอบอกเลยว่า Super Hero คนนี้เลย ขอบคุณจากใจจริงๆ
ตลอดระยะทางเดินเท้าจะพบดอกไม้สีสันสวยงาม ทำให้ทริปนี้ดูมีสีสันขึ้นมาเยอะเลย
ข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับ ดอยลังกาหลวง อุทยานแห่งชาติขุนแจ
1. มีสองเส้นทางให้เลือกเดิน คือ เริ่มจากแม่ตอนหลวงไปสิ้นสุดที่สถานีเรดาร์ และ เริ่มจากสถานีเรดาร์ไปสิ้นสุดที่
แม่ตอนหลวง
2. ระยะเวลาในการเดินเท้าที่แนะนำควรเป็น 4 วัน 3 คืน เพราะจะได้ไม่เหนื่อยและหนักจนเกินไป
3. สภาพป่าเป็นแบบดิบเขาสลับกับทุ่งหญ้า เดินข้ามเขาหลายลูกมากนับไม่ถ้วนมีทางราบให้เดินบ้างเล็กน้อย แต่ส่วน
ใหญ่เป็นทางชัน- ชันมาก
4. บริเวณแคมป์ที่พักมีแหล่งน้ำทุกแคมป์ แต่ระหว่างทางเดินจะไม่มีแหล่งน้ำควรพกน้ำไปให้เพียงพอระหว่างการเดินทาง
เดินผ่านทุงหญ้า อากาศร้อน กระหายน้ำบ่อยมาก
5. เจ้าหน้าที่นำทาง/ลูกหาบจะจัดการหาน้ำดื่มน้ำใช้มาให้มาถึงจุดตั้งแคมป์และสามารถก่อไฟได้จึงไม่ต้องพกแก๊ส
กระป๋องไปให้หนัก มีสำรองซักกระป๋องสองกระป๋องก็พอเพื่อฉุกเฉิน
6. เสื้อผ้าไม่จำเป็นต้องเอาไปมาก เดินป่าระยะไกลจะหนักเปล่าสุดท้ายเป็นภาระโดยใช่เหตุ
พวกเราเองก็ใส่ชุดเดิมทั้ง 4 วัน ยกเว้นชุดเอาไว้ใส่นอนซักชุด
7. ควรมีเสื้อกันหนาวๆดีซักตัว อากาศหนาวและลมแรงมากโดยส่วนใหญ่ไม่เกิน 10 องศา
8. การบริหารจัดการมื้ออาหาร พวกเราใช้วิธีการเก็บรักษาเนื้อสัตว์ด้วยวิธีรวนให้แห้งด้วยเครื่องปรุง(เกลือ/ผงปรุงรสต่าง)
ซึ่งได้ผลดีมาก เก็บได้ 4 วัน ทำให้เราไม่ต้องกินแต่มาม่า ปลากระป๋อง การเดินทางไกลและเหนื่อยขนาดนั้นควรได้
กินโปรตีนอย่างเพียงพอ
9. บริหารจัดการเวลาให้ดี มีเวลาน้อยในขณะที่เราต้องย้ายแคมป์ทุกวัน ไหนจะอาหารเช้า เที่ยงที่ต้องเตรียมควรแบ่ง
หน้าที่กันให้ดีๆจะได้ไม่เสียเวลา
10. เส้นทางการเดินป่าค่อนข้างชัดก็จริง แต่ในบางจุดมีทางแยกถ้าให้ดีควรเกาะติดคนนำทางไม่งั้นอาจหลงทางได้
11. ออกกำลังและพักผ่อนให้เพียงพอก่อนเดินทาง เพราะเส้นทางจัดว่าโหดมาก
12. การติดต่อ ให้ติดต่อผ่านชมรมเดินป่าลังกาหลวง : คุณกาญจนา 086-19509012
13. เจ้าหน้าที่นำทาง 1,800 บาท ตลอดทริป
14. ลูกหาบคนละ 1,800 บาท ตลอดทริป แบกได้ 20 กก. กรณ๊ส่วนเกินคิด กก.ละ 90 บาท
( 90 x 20 = 1,800 คิดแล้วอัตราส่วนเดิมเป๊ะ)
15. รถ 4WD 1 คันนั่งได้ประมาณ 8 คน อย่าลืมเผื่อพื้นที่ให้ลูกหาบกับคนนำทางด้วย ราคาคันละ 1,900 บาท
ทั้งรับและส่ง ราคาเท่ากันทั้งสองเส้นทาง
*** นี่คือรายละเอียดสำหรับทริปเดินป่าดอยลังกาหลวง หวังว่ารีวิวนี้จะสามารถใช้เป็นข้อมูล
สำหรับผู้ที่สนใจนะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Pantip
Cr. TooN มะงุมมะงาหรา
เส้นทางที่ 1. เดินเท้า 4 วัน 3 คืน สามารถเลือกได้ 2 แบบ คือ
1. เดินขึ้นจากสถานีเรดาร์ ไปผาโง้ม(พักแรมคืนที่ 1 ) ต่อด่วยลังกาหลวง (พักแรมคืนที่ 2 ) และลังกาน้อย(พักแรมคืนที่ 3) และเดินลงจากลังกาน้อยไปแม่ตอนหลวงในวันสุดท้าย
2. เดินขึ้นจากบ้านแม่ตอนหลวง ไปลังกาน้อย(พักแรมคืนที่ 1 ) ต่อด้วยลังกาหลวง (พักแรมคืนที่ 2 ) และผาโง้ม(พักแรมคืนที่ 3 )
เดินลงจากผาโง้มไปสถานีเรดาร์ในวันสุดท้าย
เส้นทางที่ 2. เดินเท้า 3 วัน 2 คืน นิยมเดินทางจากสถานีเรดาร์ ผ่านผาโง้ม ไปลังกาหลวง(พักแรกคืนที่ 1 ) ต่อด้วยลังกาน้อย(พักแรมคืนที่ 2) วันสุดท้ายเดินลงจากลังกาน้อยไปบ้านแม่ตอนหลวง ซึ่งการเดินทางแบบนี้จะต้องเดินทางเป็นระยะไกลในหนึ่งวันใครที่ไม่อึดพออาจจะถึงแคมป์พักแรกไม่ทันตามเวลาเดินทางมืดๆในป่าไม่น่าจะโอเคเท่าไหร่
กลุ่มของพวกเราตัดสินใจเดินทางจากแม่ตอนหลวง สิ้นสุดที่สถานีเรดาร์ในระยะเวลา 4 วัน 3 คืน
ในระหว่างวันที่ 31 ธ.ค. 2558 - 3 ม.ค. 2559 เดินเท้าข้ามปี
เป็นอีกทริปที่พวกเรารู้สึกประทับใจมาก แน่นอนว่าระยะทางที่ไกลและเส้นทางเดินที่ชันมาก สร้างความเหนื่อย ความล้าแก่มัดกล้ามเนื้อ
แสงแดดแผดเผา ขาเป็นตะคริว แต่นั่นมันก็ทำได้แค่ความเจ้บป่วยทางกายภาพ ไม่สามารถทำลายความตั้งใจของพวกเราได้
พวกเราไม่ใช่ผู้พิชิตยอดดอยลังกาหลวง พวกเราก็แค่กลุ่มคนเล็กๆที่พิชิตจิตใจตัวเอง
จากนี้เราจะมาดูกันว่าไป "ดอยลังกาหลวง" มีอะไรดี
พวกเราเลือกเส้นทาง แม่ตอนหลวง-ลังกาน้อย - ลังกาหลวง - ผาโง้ม - สถานีเรดาร์
เดินทางถึงที่ทำการอุทยานขุนแจ พวกเราจัดการสัมภาระ ข้าวของที่ใช้บริการลูกหาบ
รถ 4WD นำพวกเราไปส่งที่ บ้านแม่ตอนหลวง ที่นั่นถือจุดเริ่มต้นของการเดินทาง
เส้นทางในช่วงแรกเป็นทางราดยาง ค่อนข้างไกลน่าจะร่วมๆ 20 กม. และก็ชันมากด้วย
ก่อนถึงจุดเริ่มเดินจะต้องผ่านหมู่บ้าน ซึ่งเส้นทางนั้นแคบมาก นับถือฝีมือของคนขับจริงๆ
ลูกหาบพร้อม คนนำทางพร้อม พวกเราพร้อม (ตอนนี้หน้าตายังสดชื่นดีอยู่)
หลังจากเอาสัมภาระขึ้นหลังเชคความพร้อม พวกเราก็ออกเดินทางทันที เริ่มเดินปุ๊บชันปั๊บ
ที่นี่ไม่มีระยะทางให้ปรับตัวนะคะ ขาลงจากรถเดินขึ้นก็ชันเลย
บรรยากาศระหว่างทางเดินจากแม่ตอนหลวงไปดอยลังกาน้อย ที่นี่แทบไม่มีทางราบเลย up up up อย่างเดียว จุดแวะพักต่างก็เป็นเพียง พื้นที่ เล็กๆและทางเดินแคบมาก ในหลายๆจุดจะเดินผ่านได้ทีละคนเท่านั้น รวมทั้งในบางช่วงเป็นการเดินผ่านทุ่งหญ้าคาใบแหลมคมถ้าไม่มีเสื้อแขนยาวปกคลุมไว้ มีโอกาสโดนบาดเลือดไหลเอาง่ายๆ
เดินมาได้ร่วมๆ 3 ชม. พวกเราก็มาถึงจุดที่มองเห็นยอดลังกาน้อย ที่มีเจดีย์สีทองตระหง่านอยู่ลิบๆ ใจเต้นแรงอยากถึงเร็วๆ
เดินมาอีกหน่อยจะเจอมุมที่ชัดขึ้น
และนี่เป็นจุดพักสุดท้ายก่อนจะตะเกียกตะกายขึ้นดอยลังกาน้อย
จากนี้ก็จะเริ่มแล้ว
ใช้คำว่าคลานน่าจะเหมาะกว่าเดิน ทุกก้าวต้องทำอย่างมีสติเพราะมันชันมาก ด้านซ้ายคือหน้าผาหินสูงชัน ตกลงไปไม่รอดแหง๋ๆๆๆ
จุดนี้จะชันและหวาดเสียวมาก จึงมีไกด์คอยดูแลอยู่ตลอดเพื่อความปลอดภัยของพวกเรา
บรรยากาศบนยอดลังกาน้อย ลังกาตะเกียกตะกายเกือบเอาชีวิตไปทิ้งซะแล้ว
จากดอยลังกาน้อย เราต้องเดินเท้าต่อีก ประมาณ 500 เมตร เพื่อไปยังจุดกางเต๊น ทางเดินบางจุดแคบและชัน
จุดกางเต๊นลังกาน้อย
จากจุดกางเต๊นเดินลงไปอีกราวๆ 500 เมตร จะเจอแหล่งน้ำซึ่งเป็นแหล่งน้ำดื่ม/น้ำใช้ของพวกเรา ที่สำคัญลูกหาบบริการอย่างดีเยี่ยมเดินลงไปหาบน้ำมาให้พวกเราด้วย ขอบคุณอย่างสุดซึ้งคะ
ขอแนะนำ การพกผลไม้ไปกินดับกระหายนี่ก็โอเคเหมือนกันนะ
เมนูมื้อค่ำสำหรับแคมป์แรกที่ลังกาน้อย
แกงจืดเต้าหู้หมูสับ ปลาทูทอด หมูทอดและ ทีเด็ดคืนนี้ คือ ลาบหมู อร่อยกันทั่วหน้ากินเสร็จหลับสบาย
ภายใต้สโลแกน "ทริปเหนื่อยต้องกินอาหารหรู ปฏิเสธ มาม่า ปลากระป๋อง"
สิ้นสุดภาระกิจวันที่หนึ่ง ออกเดินทางจากแม่ตอนหลวง เวลา 10.30 น. ถึง แคมป์ลังกาน้อย 4 โมงเย็น กว่าๆ
วันที่ 2 เริ่มออกเดินทางจากแคมป์ลังกาน้อย เป้าหมายคือ แคมป์ลังกาหลวง
เส้นทางเดินโดยส่วนใหญ่จะเป็นการเดินลัดเลาะไปตามเนินทุ่งหญ้า มีสลับกับป่าดิบเขาบ้าง แต่ก็ถือว่าเดินสบายกว่าวันที่ 1
รวมระยะทางในวันนี้ 6.5 กิโลเมตร
ถ้าสังเกตดูดีๆ ตลอดเส้นทางเดินเท้าจะมี Yellow tag คอยบอกเป็นระยะ เดินต้ามป้ายรับรองไม่หลง
ที่สำคัญถึงแม้ทางจะแคบและเล็กแต่ก็พอมองเห็นเส้นทางเดินได้ชัดเส้น
จริงๆป้ายนี้อยู่ติดกัน บอกว่าเราเดินมาแล้ว 2.5 กม. จากลังกาน้อย อีก 4 กม. ถึงลังกาหลวง โห๊ะอยากให้ป้ายสลับกัน 5555
เดินมาได้ 2 ชม. เริ่มมองเห็นดอยลังกาหลวงเหมือนอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่ความเป็นจริงอีกไกลโข
มาถึงยอดสำคัญอีกยอดเรียกชื่อว่า "ยอด 1,900" เรียกชื่อยอดตามความสูง
จุดนี้จะเห็นภูเขารายรอบดูอลังการมาก
บริเวณจุดตั้งแคมป์ลังกาหลวงจะอยู่หว่างหุบเขามืดครึ้ม อากาศเย็นมาก
ติดกับแคมป์ มีพระพุทธรูปไว้ให้นักท่องเที่ยวสักการะบูชา(ตรงทางเดินก่อนขึ้นยอดลังกาหลวง)
เมนูอาหารมื้อค่ำสำหรับการเดินทางวันที่ 2
ฮอตดอก แกงฟักทองหมู ไข่เจียว และผัดผักรวมมิตร อิ่มหนำสำราญกันเลยทีเดียว
ตามด้วยมื้อพิเศษๆ ของหวานที่ให้พลังงานและโปรตีนสูงชดเชยกำลังที่เราเสียไป มันคือ "ถั่วเขียวต้มน้ำตาล"
จริงๆเราตั้งใจจะกินกันที่แคมป์ลังกาน้อย แต่เวลามีน้อย ต้มยังไม่สุกก็เอามาต้มกันต่อที่ลังกาหลวง
เป็นถั่วเขียวที่ต้มนานมากเพราะต้มกันข้ามปี 555( วันที่ 31 ธ.ค.2558 - 1 ม.ค. 2559)
จากนี้จะต่อด้วยบรรยากาศการขึ้น "ยอดลังกาหลวง" จุดสุงสุดที่ระดับ 2,031 m รอชมกันต่อนะคะ
เช้าตรู่ของวันที่ 3 เวลา 04.00 น. พวกเรามีนัดเดินขึ้นยอดดอยลังกาหลวงด้วยระยะทางเดินเท้าไปกลับราวๆ 2 กม.
บรรยากาศก่อนพระอาทิตย์ขึ้น
เมื่อแสงแรกมาเยือน
ยังคงมีเศษชิ้นส่วน ฮ. ตกบริเวณดอยลังกาหลวงให้เห็นอยู่
อากาศด้านบนหนาวพอสมควรแต่ช่วงที่หนาวที่สุดลืมถ่ายซะงั้น (ไม่ช่ายว่าถ่ายมาไม่ชัดนะคะ แต่หมอกลงหนักมากเกาะเต็มหน้าไฮกรอมิเตอร์เลยยย)
ดื่มด่ำกับแสงยามเช้าของพระอาทติย์ขึ้น ก็ได้เวลากินขนมปังปิ้งหอมกรุ่นจากกองไฟ
ที่ระดับความสูง 2031 m. จากระดับน้ำทะเลปานกลาง
ชักภาพกันซักหน่อยนะคะ ภายใต้ชื่อ "มะงุมมะงาหรา"@ ดอยลังกาหลวง
พอแสงแดดสว่างมากขึ้น เราจึงเห็นดอยดอยผาโง้มจากยอดลังกาหลวงได้อย่างชัดเจน สวยงามจริงๆ
บนยอดดอยจะมีเจดีย์องค์เล็กๆอยู่ด้วยนะคะ ตำแหน่งเห็นได้ชัดเจน
ปิดท้ายด้วยเส้นทางเดินที่มักจะชันและลื่นเป็นธรรมดา
ได้เวลาออกเดินทางจากแคมป์ลังกาหลวง ปลายทางสำหรับวันนี้คือ แคมป์ดอยผาโง้ม
เป็นการเดินลงในช่วงแรกๆจากนั้นเดินตามสันเขาค่อยๆไต่ระดับขึ้น จนกระทั่งถึงผาโง้มเริ่มชันมาก แต่เทียบไม่ได้เขาลงไปตั้งแคมป์ชันมากถึงมากที่สุด ระยะทางเพียงแค่ 150 m. (ในใจคิดใช่เหรอมันยังกะ 1500 m.) เราใช้เวลาร่วม 30 นาที เรียกว่าเดินคงไม่ได้เพราะเราต่างใช้ก้นไถลลง ก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ สนุกปนความหวาดเสียว
ทุกๆระยะที่ก้าวลงมีลมหายใจอยู่กับปัจจุบันขณะ
ทางเดินมีทั้งทุ่งหญ้าสลับกับป่าสน
เดินมาซักพักใหญ่ หันหลังกลับไปจะมองเห็นยอดดอยลังกาหลวงตระหง่านอยู่ไกล อลังการงานสร้างจริงๆ
เริ่มมองเห็นดอยผาโง้มมาแต่ไกล
เรียกกำลังใจสุดท้ายก่อนขึ้นผาโง้ม
และแล้วเราก็มาถึงซักที ดูจากสภาพแต่ละคนยังกะผ่านสงครามโลกกันมายังไงยังงั้น
การเดินขึ้นที่ว่าชัน งั้นการเดินลงจัดว่าเป็น Big Surprise!!!! ดิ่งลงเท่านั้นคร่าาาาา
ทางลงจุดนี้ชันมาก ในภาพเหมือนไม่ชันของจริงนี่พูดไม่ออกค่ะ
ถึงจุดตั้งแคมป์ดอยผาโง้ม
มีนกมาต้อนรับซะด้วย
ตั้งแคมป์เสร็จพอมีเวลา ชมนก ชมไม้ ชมวิว เห็นไปดูหลังแคมป์วิวกำลังสวยพอดี
จากจุดตั้งแคมป์ดอยผาโง้ม จะมีป้ายบอกทางไปแหล่งน้ำดื่มน้ำใช้ ระยะราวๆ 100 m .เส้นทางคล้ายๆเดินลงน้ำตก
เหน็ดเหนื่อยสาหัสกันมาทั้งวัน คืนนี้ขอเติมพลังก่อนนอนด้วยเมนู
แกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากราย ยำแหนม ยำปลากระป๋อง ไข่เจียวแหนม อร่อยยยยยยย
ราตรีสวัสดิ์จร้าาาาา
พวกเราตื่นแต่เช้าเก็บแคมป์ ปลายทางสถานีเรดาร์ระยะทาง 3.5 กม. เส้นทางไม่ชันมากเดินไปตามสันเขาขึ้นๆลงๆบ้างเป็นระยะ
ก่อนออกเดินทางเก็บภาพหมู่ซักหน่อย
เส้นทางเดินจากแคมป์ไปสถานีเรดาร์
เดินมาได้ซักพักใหญ่ ก็เริ่มเห็นเสาเรดาร์ชัดขึ้น ยิ่งเห็นชัดยิ่งเขาอ่อนเพราะเหนื่อยล้าเต็มทีอยากถึงปลายทางไวๆ
ระยะนี้ใกล้มากแล้ว งัดกำลังสำรองสุดท้ายออกมาใช้จนหมดเกลี้ยงเลย
ในที่สุดการเดินทางอันยาวไกลของพวกเราก็สิ้นสุดลง ว่าแล้วก็ใจหายเหมือนกันนะ
ขอขอบคุณคณะคนนำทาง ประกอบด้วยลูกหาบ 3 คน และน้องจะแล ทำหน้าเป็นไกด์นำทาง ดูแลพวกเราอย่างดีเยี่ยม คอยหาน้ำ อำนวยความสะดวกทุกอย่าง พวกเราไม่เคยได้รับการบริการแบบนี้จากที่ไหนมาก่อน ถ้าถามว่าทริปนี้เราประทับอะไรมากที่สุดขอบอกเลยว่า Super Hero คนนี้เลย ขอบคุณจากใจจริงๆ
ตลอดระยะทางเดินเท้าจะพบดอกไม้สีสันสวยงาม ทำให้ทริปนี้ดูมีสีสันขึ้นมาเยอะเลย
ข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับ ดอยลังกาหลวง อุทยานแห่งชาติขุนแจ
1. มีสองเส้นทางให้เลือกเดิน คือ เริ่มจากแม่ตอนหลวงไปสิ้นสุดที่สถานีเรดาร์ และ เริ่มจากสถานีเรดาร์ไปสิ้นสุดที่
แม่ตอนหลวง
2. ระยะเวลาในการเดินเท้าที่แนะนำควรเป็น 4 วัน 3 คืน เพราะจะได้ไม่เหนื่อยและหนักจนเกินไป
3. สภาพป่าเป็นแบบดิบเขาสลับกับทุ่งหญ้า เดินข้ามเขาหลายลูกมากนับไม่ถ้วนมีทางราบให้เดินบ้างเล็กน้อย แต่ส่วน
ใหญ่เป็นทางชัน- ชันมาก
4. บริเวณแคมป์ที่พักมีแหล่งน้ำทุกแคมป์ แต่ระหว่างทางเดินจะไม่มีแหล่งน้ำควรพกน้ำไปให้เพียงพอระหว่างการเดินทาง
เดินผ่านทุงหญ้า อากาศร้อน กระหายน้ำบ่อยมาก
5. เจ้าหน้าที่นำทาง/ลูกหาบจะจัดการหาน้ำดื่มน้ำใช้มาให้มาถึงจุดตั้งแคมป์และสามารถก่อไฟได้จึงไม่ต้องพกแก๊ส
กระป๋องไปให้หนัก มีสำรองซักกระป๋องสองกระป๋องก็พอเพื่อฉุกเฉิน
6. เสื้อผ้าไม่จำเป็นต้องเอาไปมาก เดินป่าระยะไกลจะหนักเปล่าสุดท้ายเป็นภาระโดยใช่เหตุ
พวกเราเองก็ใส่ชุดเดิมทั้ง 4 วัน ยกเว้นชุดเอาไว้ใส่นอนซักชุด
7. ควรมีเสื้อกันหนาวๆดีซักตัว อากาศหนาวและลมแรงมากโดยส่วนใหญ่ไม่เกิน 10 องศา
8. การบริหารจัดการมื้ออาหาร พวกเราใช้วิธีการเก็บรักษาเนื้อสัตว์ด้วยวิธีรวนให้แห้งด้วยเครื่องปรุง(เกลือ/ผงปรุงรสต่าง)
ซึ่งได้ผลดีมาก เก็บได้ 4 วัน ทำให้เราไม่ต้องกินแต่มาม่า ปลากระป๋อง การเดินทางไกลและเหนื่อยขนาดนั้นควรได้
กินโปรตีนอย่างเพียงพอ
9. บริหารจัดการเวลาให้ดี มีเวลาน้อยในขณะที่เราต้องย้ายแคมป์ทุกวัน ไหนจะอาหารเช้า เที่ยงที่ต้องเตรียมควรแบ่ง
หน้าที่กันให้ดีๆจะได้ไม่เสียเวลา
10. เส้นทางการเดินป่าค่อนข้างชัดก็จริง แต่ในบางจุดมีทางแยกถ้าให้ดีควรเกาะติดคนนำทางไม่งั้นอาจหลงทางได้
11. ออกกำลังและพักผ่อนให้เพียงพอก่อนเดินทาง เพราะเส้นทางจัดว่าโหดมาก
12. การติดต่อ ให้ติดต่อผ่านชมรมเดินป่าลังกาหลวง : คุณกาญจนา 086-19509012
13. เจ้าหน้าที่นำทาง 1,800 บาท ตลอดทริป
14. ลูกหาบคนละ 1,800 บาท ตลอดทริป แบกได้ 20 กก. กรณ๊ส่วนเกินคิด กก.ละ 90 บาท
( 90 x 20 = 1,800 คิดแล้วอัตราส่วนเดิมเป๊ะ)
15. รถ 4WD 1 คันนั่งได้ประมาณ 8 คน อย่าลืมเผื่อพื้นที่ให้ลูกหาบกับคนนำทางด้วย ราคาคันละ 1,900 บาท
ทั้งรับและส่ง ราคาเท่ากันทั้งสองเส้นทาง
*** นี่คือรายละเอียดสำหรับทริปเดินป่าดอยลังกาหลวง หวังว่ารีวิวนี้จะสามารถใช้เป็นข้อมูล
สำหรับผู้ที่สนใจนะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Pantip
Cr. TooN มะงุมมะงาหรา