รีวิว เมื่อฉันหลงรัก ภู ก ร ะ ดึ ง


สวัสดีค่ะ 

วันศุกร์ที่ผ่านมา 23-25 ตุลาคมที่ผ่านมาเป็นวันหยุดยาว ตั้ง สอง สามวันแหล่ะ 
เราเชื่อว่า ใครๆก็อยากไปพักผ่อน หาที่เที่ยว วางแพลน หาข้อมูลต่างๆ
เราก็เหมือนกัน เราอยากไปภูกระดึง เราคิดว่า คงไม่มีอะไรหรอก คงแค่เดินๆปีนๆขึ้นภูเขา คงเหนื่อยๆล้าๆ
และคงไปกางเต้นท์นอน สัมผัสบรรยากาศบนยอดภู
.(เป็นกระทู้ความประทับใจที่มีต่อสถานที่นะคะ อาจจะผิดๆถูกๆเพราะไปเที่ยวที่ภูกระดึงครั้งแรกหากผิดพลาดอะไร ขอภัย ด้วยนะ)
.
.
. มารู้จักกับอุทยานแห่งชาติ ภูกระดึง กันเถอะ
ภูกระดึง นับเป็นอุทยานแห่งชาติ ลำดับที่ 2 ของประเทศไทย ตั้งอยู่ในท้องที่ตำบลศรีฐาน อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย เป็นภูเขาหินทรายยอดตัด เป็นที่ราบขนาดใหญ่ มีเนื้อที่ประมาณ 60 ตารางกิโลเมตร มีความสูง 400-1,200 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ได้รับความนิยมมากแห่งหนึ่งของเมืองไทย จุดสูงสุดอยู่ที่บริเวณคอกเมย มีความสูง 1,316 เมตรจากระดับน้ำทะเล สภาพทั่วไปของภูกระดึง ประกอบไปด้วยพรรณไม้นานาชนิด พันธุ์สัตว์ป่านานาพันธุ์ หน้าผา ทุ่งหญ้า ลำธาร และน้ำตก อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ต้นน้ำของลำน้ำพอง ซึ่งเป็นลำน้ำสายสำคัญสายหนึ่งของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ด้วยความสูง บรรยากาศ และสภาพอากาศที่เย็นสบายตลอดปี บนยอดภูกระดึง โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว อุณหภูมิอาจลดต่ำจนถึง 0 องศาเซลเซียส จึงเป็นแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยว ปรารถนาและหวังจะเป็นผู้พิชิตยอดภูกระดึง สักครั้งหนึ่งในชีวิต 

เวลาเปิด-ปิด ภูกระดึง
สำหรับการเดินทางขึ้นภูกระดึงนั้น ทางอุทยานฯ จะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเดินขึ้นได้ตั้งแต่เวลา 07.00 - 14.00 น. ของทุกวัน และหลังจากเวลา 14.00 น. เป็นต้นไป ทางอุทยานฯ จะไม่อนุญาต เพราะระยะทางในการเดินทางขึ้นเขาต้องใช้เวลาในการเดินเท้า ประมาณ 4-5 ชั่วโมง ซึ่งจะตรงกับเวลาพลบค่ำในระหว่างทาง ดังนั้น อาจจะทำให้เกิดความยากลำบาก อีกทั้งอาจได้รับอันตรายจากสัตว์ป่าที่ออกหากินในเวลากลางคืนอีกด้วย

พร้อมแล้ว รออะไรละ เก็บกระเป๋าไปกัน


เมื่อเก็บกระเป๋าแล้ว ก็ออกเดินทางสิค่ะ เอ่อ นัดหมายเพื่อนๆไว้ตีนภูนะ (ทางขึ้นอุทยานล่ะ)
ตื่นตั้งแต่ตี4.50แหน่ะ อาบน้ำขึ้นรถจากอุดร เอ่อ นั่งรถผิดคันด้วย ขึ้นชุมแพ ตอนนั้นรีบ
เพราะกลัวไม่ทันเพื่อน เพราะ เพื่อนมาจากสุราษฯ ขอนแก่น กรุงเทพฯ 
รวมลัดนะ เป็นคนชอบทำอะไรเร็วๆ 5555 สมมุติว่าเราอาบน้ำละนะ  ตี05.00
รอขึ้นรถ จากอุดร รอนานๆก็อาจจะบั้นทอน❤️❤️❤️ รอรถนานมากกินข้าวรอ หมดหมูปิ้งไป6ไม้ 


เย้ รถมาละ 05.35 รีบขึ้น พอขึ้นรถออกได้500เมตร ดขามาเก็บค่าโดยสาร ไปชุมแพหรอ ??
ห้ะ!!! คือจะไปลงวังสะพุงคะ ขึ้นผิดคัน ลงๆๆๆๆ รอขึ้นคันใหม่ 5555
อ้าววว ตัดภาพไป ถึงวังสะพุงละกัน 



ถึงวังสะพุงละนะ ลง4แยกไฟแดง รอ นั่งรถอีกรอบ


เนื่องจากขึ้นรถผิด เลยสาย เพื่อนรอที่ อุทยานหมด เลยต้องขึ้นรถไปเอง
แต่โชคดี เจอพี่ๆๆกลุ่มนี้ ไปด้วยกัน รถแดง รอบละ200


ระหว่างทางก็คุยกัน ทำไมมันแพงจัง 55555 ขึ้นได้ไม่เกิน8คน 
ระหว่างรอคนเต็มรถ ก็สามารถกินอาหารแถวนั้นได้ มีลุงคนนึงจะชอบพูดว่า
รีบกินนะมันจะเหนื่อย เดี่ยวจะทะเลาะกัน ชอบพูดกับ นทท ที่มาเป็นคู่ๆ เป็นแฟนกัน 
เพื่อ โปรโมท กับข้าวร้านแฟนตัวเอง น่ารักดี แต่เราไม่รู้ทำไม เราก็หลงกลลุงนะ

ป้าๆๆ กะเพราจานค้ะ 😁😁😁


หลังจากกินข้าวเสร็จ ก็ขึ้นไปนั่งบนรถ รอ คนอื่น เพื่อ กดดันให้เขากินเร็วๆๆ เห็นไหม???? ฉันรอพวกเธออยู่ รีบๆๆกินสิ!!!


หลังจากนั้งรถแดง ประมาณ5นาทีก็ถึงทางเข้าอุทยาน ถึงแล้วโวยยย!!





รีบโทรหาเพื่อน สุราษ  ขอนแก่น กรุงเทพ อยู่ไหนกัน ?

สุราษ :ขึ้นมาแล้ว ประมาณ500เมตรแล้วอ่ะ ธารี่ ตามมานะ จะรอ 😩
กรุงเทพ :อยู่ข้างหน้า ลูกหาบหมดเลยไม่ได้ขึ้นรอด้วยละ 🤔
ขอนแก่น: ไปจ้างหาบมา รอนาน แล้ว 

สรุป นัดกันขึ้น8คน ตอนนี้เหลือ3คน 😩😩😩😩😩 
พอดีเจอกับพี่ๆอีก2 ขึ้นพร้อมกัน เคร รีบๆ สายแล้ว 🏃🏃🏃🏃🏃🏃


ที่แรกที่ต้องเดินคือ ซำแฮก

ได้ยินมาว่า เป็นซำที่ยากมาก และเหนื่อยมาก คนส่วนมากจะถอดใจกับซำนี้

เราว่า มันจริง เหนื่อยมากกก 😩😩😩😩



เหนื่อย หิน หิน หินนนน และหิน สูง  ชัน 
แนะนำเพื่อนๆที่จะมา ต้องเตรียม ยานวด ยาคลายเส้น มาด้วย 

บ่น เดิน ไป บ่น นั่ง พัก บ่น ถ่ายรูป บ่น ทำไม มันเหนื่อย

เอ่อ เราเริ่มขึ้นภู 10.02 นาที มาจับเวลากันนน



พอมาถึงซำแฮก รู้เรื่อง!!! เหนื่อยมาก ซำแฮกๆๆ เลยล่ะ เหมือนกับวิ่งมาราธอนมา 
ใช้พลังงานขาในงานปีนมาก ถ่ายรูปเก็บหลักฐานแปป พักให้หายเหนื่อยไปต่ออีก
ยังมีเหลือหลายซำ 🏃🏃

ร้านอาหารที่นี้เยอะ ราคาก็แพงตามความสูง เข้าใจเลยว่าทำไม
น้ำขวดละ30บาท คือ ลูกหาบต้องหาบมาส่ง มาขายข้างบน ทางมันลำบาก
มาก นี้เป็นเสน่ห์อีกอย่าง ของ ภูกระดึง





เดินมาซักพักใหญ่ นิดๆ ถึงอีกแล้วซำบอน โอ้ เหนื่อยเหลือเกิน
กินแตงโม 10บาท เป็นแตงโมที่อร่อยที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ อ้าววว
พักๆ พัก อีกรอบบ เก็บรูป ค่อยเดินต่อ  




กินแตงโมแล้ว มีแรง อ้าวเดินต่อ เราจะไปพักกินข้าว เที่ยง ซำต่อไป
ไหวไหมมมม ทุกคน


ระหว่างทางจะเจอ คนมากหน้าหลายตา เดินผ่านกันไปมา
เจอลูกหาบ เจอ นทท ทุกคนจะทักทายกัน สนุกสนาน เหมือนว่า รู้จักกันมาก่อน
อีกไกลไหมพี่?? อีกนิดเดียวครับ 5555


เชื่อเถอะ ถ้าได้ยินแบบนี้ คือ เขากำลังปลอบ อย่าเชื่อใจใครง่ายๆ
ระหว่างเดินทาง เพราะมันไกลมาก ที่ว่า นิดเดียวจะถึง 
ขึ้นอีกซำก็ใกล้ๆ 555555 

สถานะการณ์ตอนนี้ คือ กระเป๋าอยู่บนหลัง ขวดน้ำ ทุกอย่างยังจำเป็นอยู่ไหม 
ทำไม มันหนักขนาดนี่ ทำไมมันล้า ขนาดนี้ 
แค่จะขึ้นไปนอนบนยอดภูนี้ ทำไมต้องแบกอะไรมาเยอะแยะ 
ทำไมต้องมาลำบาก ทำไมมมมม มม !!



พอเดิน จากซำบอน ผ่าน หลายๆซำ






เราว่าเราแบกกระเป๋าเป้แค่ไม่กี่กิโลนะ แต่เมื่อเทียบกับลุงๆๆ พวกท่านแข็งแรงมาก เราถามว่า แบกขแงเยอะแบบนี้ทุกวันเลยหรอ
เขาบอกว่า ทำตอนฤดูท่องเที่ยวแหละหนู มีงานทำก็ทำไม่เลือกงาน มันมีไม่กี่เดือนเอง
แล้วลุงก็เดิน ต่อไป
ถึงหลังแป ใช้เวลานานมาก แต่เมื่อถึงหลังแป รู้สึกว่าเหมือนอยู่คนละโลก
กับไอ้ที่ เดินปีนป่ายขึ้นมาเมื้อกี้เลย เหมือนหลุดไปอยู่ในโลก ที่มีแต่ป่าสน ต้นไม้สูงใหญ่ หญ้าสีเขียว มองไปไหนก็สุดสายตา
มีทางเดินที่เป็นทรายละเอียดสีขาว สองข้างทางระหว่างหลังแป ไปจุดกางเต้นท์ มีต้นไม้น้อยใหญ่ หลากหลายสายพันธุ์
เต็มไปหมด คือเมื่อกี้ เหนื่อยมาก แทบอยากโยนสัมภาระทิ้งทั้งหมด แต่ พอถึงหลังแป รู้สึกว่ามันคุ้ม คุ้มที่จะยอมเหนื่อย ขึ้นมา หอบของ
แบกเป้ พาขาสองข้างพาตาสองลูก พาร่างกายมาสัมผัส ถึงแล้วโวยยยย


เดิน ถึง ลานกางเต้นท์ 16.12 นาที พักผ่อนน

ถึงแล้วโวยย


มาต่อแล้วววว 

หลังจากถึงลานกางเต้น ก็เดินเข้าศูนย์บริการนักท่องเที่ยวของอุทยาน 
คือพวกเราเอาเต้นท์มาเอง หอบของเอง เลยไม่ได้ยุ่งยากรอลูกหาบ
แค่ต่อคิวแจ้ง ว่าต้องการเช่าอะไรเพิ่มเติมไหม
ก็มีเช่า เบาะรองนอน ผ้าห่ม ผ้ากันฝน ฟรายชีท ที่เตรียมมามันไม่พอ

พอได้ของทุกอย่างแล้ว ก็จัดแจงสิ่งของ กางเต้นท์ รู้สึกตื่นเต้นมาก ผู้คนเยอะ
พี่ที่ทำงานในอุทยานบอกว่า วันนี้คนเยอะกว่าปกตินะ สงสัยเป็นวันหยุด นี่เกือบสองพันห้าร้อยคนแหนะ
ปกติไม่เกิน สองสามร้อย ตั้งแต่วันเปิดภู ให้เดินเที่ยว มาของฤดูกาลนี้ วันนี้เยอะสุด

พูดแล้วก็จัดเต้นท์ อ้าาาาวววววววววว  ฝนตก

ฝนตก
ฝนตก
ฝนตก


ฝนตก ประมาณ 20 นาที ก็เลยคุยกันว่า เย็นนี้จะตามล่าหาช้างเผือกกกกกกก

แต่หลังจากฝนตก เก็บของอะไรเสร็จเรียบร้อย
หิวข้าววววกับข้าว เริ่มต้นที่จานละ 60 บาท เนื้อย่างชุดละ 500 ทำไมรู้สึกว่ามันคุ้ม
อร่อยทุกอย่างเลย ข้าวกับน้ำปลาก็ยังอร่อย หรือเพราะเราเหนื่อย ฮ่า ฮ่า ฮ่า

แต่คนที่นี้ใจดีมาก พ่อค้า แม่ค้า ใจดี 

หลังจากทานข้าวเสร็จก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำ ระหว่างเดินทางไปอาบน้ำ ก็จได้ยินเสียงตะโกน
เป็นระยะ ระยะ เอามันออกไปปปป กริ๊ดดดดดดดดดด ทากก มันเข้ามา
ปูนขาวอยู่ไหน ยาฉีด กันยุงอยู่ไหน เลือดออก ไม่หยุด บร้าาาาๆๆ เยอะแยะไปหมด 
หน้าฝนนี้ ทากเยอะมาก เหมือนมาให้มันดูด เพื่อนๆๆที่มาด้วยกัน โดนมันเกาะทุกคน และอีก สามคนโดนดูดเลือด

เอ่ะ แต่ทำไม เรา ทากไม่เกาะ ไม่อะไรเลย เอ่ออออ แต่ก็ดีแล้วนิ 

ไปอาบน้ำพักผ่อนกันนน




หลังจากอาบน้ำ ทำภารกิจส่วนตัวเสร็จ ก็พากันนอนหลับตั้งแต่ สอง สามทุ่ม สรุป คือ 

อดตามล่าหาช้าง เพราะ ต่างคนต่างเหนื่อยยยย


สวัสดีเช้ามืด ของวัน ที่ 24 ตื่นเช้า เพพื่อจะไปดู พระอาทิตย์ ขึ้น ที่ ผานกนางแอ่น รีบตื่นกัน

จัดการตัวเองเรียบร้อย ออกเดิน ไปยังจุดหมาย ประมาณ2-3-4กิโล อากาศตอนเช้าเย็น สบายมาก
มีหมอกอ่อนๆๆ ระหว่างเดินทางไปดู ผู้คนก็ทยอยตื่น ทยอยเดินไปเหมือนกัน
แต่ละคนจะมีไอเทม เด็ดๆๆติดตัว หลากหลายสีสัน
นั้นก็คืออ ถุงกัน ทากก ไอ้สับปะหลาดดูดเลือด ที่ตอนนี้ใครๆก็หวาดกลัว 

สับปะหลาดตัวเล็กๆๆ  ยืดๆๆๆ



ประมาณ ตีห้า กว่าๆๆ ก็เดินไปยังจุดชมวิว ไปที่ผานกนางแอ่น 

ไปรอถ่ายรูป แต่คนเยอะมากกก 




หมอก กำลังมา พระอาทิตกำลังขึ้น คนก็กำลังตื่นนน
เหมือนนัดหมายกันมาา






ดูพระอาทิต ได้แปป นึง มองเห็นไกลๆๆ ก็พากันเดินกลับ ระหว่างเดินทางกลับ ก็แวะ แวะ แวะ อีกละ 

ฮ่าๆๆ แวะถ่ายรูปไง แบกสังขารมาทั้งที เอาให้คุ้ม 

อ้าวววว ยิ้มมมมมม






หลังจากเดิน่ายรูป และกลับที่พัก เพื่อ กินข้าวเช้า บังเอิญเจอ เจ้าถิ่นมาเยี่ยมม ถึงที่เลย
พักกินนข้าวววววเช้าเสร็จ

นัดกันน ออกเดินเที่ยว สิบโมงเช้า ระหว่างนั้นก็สำรวจตัวเอง เห้ยยย มีทากเกาะตัว เข้าตูดไหม

ใกล้ๆกับบ้านพักของเจ้าหน้าที่อุทยาน จะมีต้นสนเยอะมาก คล้ายๆๆอุโมงค์ต้นสน 
ดูสวยมากเลยละ แวะไปเดินเล่นกันค่ะ แต่ระวังหน่อยนะ สับปะหลาด ดูดเลือดเยอะมาก


เจ้าทากเกาะอยู่เต็มเลย แถมชูหัว เรด้า ไว้กระโดด


จากนั้น พวกเราก็เดินไปเรื่อยๆๆๆ ผ่านน้ำตกหลายๆๆที่ ผ่านป่าสน เพื่อจะไปยังเป้าหมาย คือผาหล่มสัก






เราถือว่าโชคดีมาก ที่มาในช่วงนี้ เพราะมีน้ำตก ตลอดทาง ร่มรื่นมากก น้ำเย็น ชื่นใจ


ระหว่างทางที่เราจะเดินไปยังผาหล่มสัก จะมี น้ำตกและ ป่าสนสลับกันไป 
เหมือนกำลังผจญภัยในป่าใหญ่ เลยยยย








พักแวะเล่นน้ำกันนนน


เดินทางต่อออ






ระหว่างทางเดินจะไปถึงผาหล่มสัก ทุกคนเหนื่อยมาก รีบเดิน 
โดยพากันเล่นเกมส์ เดินแซงคนข้างหน้า เพื่อล่า อาหาร
กติกาของเกมส์ คือ เดินผ่านกี่คนจะได้กินข้าวเร็วขึ้น

ฮ่าๆๆๆ เอาวิ่งงงงง ต่างคนต่างรีบเดินนน เพราะความหิว 

เจอใครเดินสวนก็ถาม 
พี่ค่ะ ใกล้ถึงผาหล่มสักยัง

ใครๆก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันใกล้แล้ววว อีกนิดเดียว

แต่ทำไมยิ่งเดินเหมือนยิ่งนาน ใกล้ของพี่ นี่ใกล้กี่กิโล


ฮ่าๆๆ สนุกมาก เหนื่อยมาก ผู้คนที่เจอระหว่างทาง น่ารัก ตะโกนถามกัน ตลอดเส้นทาง

เป็นความประทับใจอีกอย่างนึงที่ได้พบเจอ


ใกล้แล้วววววว โค้งข้างหน้าถึงแล้วววว ผาหล่มสักกก 

จะได้กินข้าวแล้ววว วิ่งงงงงงง




ตอนนี้ทุกคนหิวมากกก ไม่มีแรงแม้แต่จะหยิบกล้องออกมาถ่ายรูป วิ่งไปนั่งและสั่งอาหาร 
เหมือนกันทุกคนเพื่อ จะได้กินเร็วขึ้น


ผ่านไป สามสิบนาที ทำไมลุงเขาทำนานจัง
ลุงคะ ข้าวพวกหนูได้ยัง สั่งไปเมื่อสามสิบนาทีที่แล้ว แล้วนะคะ
ลุงรีบเดินมาหา และตอบขึ้นมา พวกหนูสั่งไรนะ ลุงลืมมมมมม.....

โอ้ ไมมมมมมมมม่ ที่พวกหนูวิ่งแซง แข่งคนเยอะๆมาเพราะหิวว แต่ลุงกับลืมทำข้าวให้ ฮ่าๆๆ
ลุงทำไมทำได้ลง เข่าทรุดดด ลุงบอกแปปเดียว เดี๋ยวได้กิน

ที่ผาหล่มสักมีร้านอาหารไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ แต่ก็มีเพียงพอสำหรับนักท่องเที่ยว และมีขนมหวานตักเอง ถ้วยละ สามสิบบาท


และขอแนะนำร้านกาแฟ ชมพูมะเหมี่ยว มีร้านเดียวที่นั้น ฮ่าๆ อร่อยดี ร้านน่านั่ง มีที่ชาต์ทแบตด้วย
บราวนี่อร่อยยมาก ต้องโทรสั่งล่วงหน้าด้วยละ ตอนมาถึงน้ำแข็งหมด เลยเดินไปซื้อน้ำแข็งจากร้านข้าวมาใส่เอง







หลังจากนั่งกินกาแฟแล้ว เราก็รอ ดูพระอาทิตย์ตก นี้เดินมาหลายๆกิโลเพื่อสิ่งนี้เลย
ที่ผาหล่มสัก มีคนยืนรอแถวยาวมาก เพื่อถ่ายรูปกับหินที่ยื่นออกมา
ใครไม่ถ่ายถือว่ามาไม่ถึง พวกเราก็ต่อแถวเช่นกัน ฮ่าๆๆ









ถือว่าเราทำสำเร็จ พวกเราพิชิตผาหล่มสักได้แล้ว เดินทางกลับที่พัก ฮ่าๆ

ระหว่างนั้นก็แวะถ่ายรูปไปเรื่อยๆๆ


เดินทางกลับที่พัก เวลามืดเร็วมาก ของจำเป็นที่ขาดไม่ได้คือไฟฉายและเดินเป็นกลุ่ม 
ระหว่างทางที่เดินกลับจะมีจุดให้แวะพัก ประมาณ สอง ถึง สาม ที่ มีร้านอาหาร มีห้องน้ำ
รู้สึกว่ามันเผา ไข่ปิ้ง แตงโม ที่นี้อร่อยมาก หรือเป็นเพราะเราหิว 
เดินนนนนนนนนนนน ต่ออีกจนถึงที่พัก

หลังจากดูพระอาทิตตก ที่ผาหล่มสักก็เดินทางกลับที่พัก ระยะทางก็ไกลพอประมาณค่ะ
ใช้เวลาเดินทางจากหล่มสักไปยัง ที่พัก18.04-20.24 ล้ามาก
สนุกมาก ระหว่างเดินเท้ากลับ จะเจอเพื่อนผู้ร่วมเดินทาง ถือไฟฉาย
รีบเร่งฝีเท้ากัน อากาศเริ่มเย็น มีหมอกนิดๆ ระหว่างทางเดิน จะมี
เพื่อนร่วมทาง บางกลุ่มปั่นจักรยานผ่าน  ความรู้สึกตอนนั้น เหมือนกับ
ได้พบเจอเพื่อนใหม่ๆ ฟินนนนน เหมือนพาร่างกายมาชาตแบต 
รู้แล้วทำไม ใครๆก็มากัน



หลังจากเดินออกจากผาหล่มสักก็ไม่ได้หยิบอะไรขึ้นมาถ่ายรูปเลยค่ะ เพราะว่ามืดเร็วมาก ทุกคนต่างรีบเดิน จ้ำอ้าววว
เพื่อให้ถึงที่พักเร็วๆระหว่างเดินทาง อากาศเริ่มเย็น

ถึงที่พัก เกือบบ สองทุ่มครึ่ง เดินทั้งวัน ล้ามาก ทุกคนต่างแยกย้ายกันพักผ่อน 



เช้าวันสุดท้ายของที่นี้


ทุกคนต่างเตรียมตัวเก็บของ และตื่นมาสูดอากาศตอนเช้าๆ

และจัดการสัมภาระส่วนตัว และนำของที่เช่าจากอุทยานไปคืน และเตรียมตัวเดินทางกลับ

ระหว่างจะเดินออกจาจุดบริการ นทท ทุกคนต่างเอ่ยปากถามกันว่า อยากกลับมาอีกไหม?

บางคนบอกว่า อยากมาอีกว่ะ ถ้าถูกลอตเตอรรี่ จะมาอีก 30 รอบ แต่ต้องหลายๆล้านนะจะได้คุ้ม
บางคนบอกว่า จะมีครั้งที่ 8 แน่นอน
บางคนบอกว่า ครั้งที่ 4 จะมาล่าทางช้างเผือก
เพื่อนอีกคนบอก ต้องมีครั้งที่ 3
และเราบอกว่า ถ้ากลับถึงบ้านไม่ไข้ จะมาครั้งที่ 2 เพราะเราเริ่มหลงรักมันเหมือนพวกเธอแล้ว

หลังจากนั้นก็ออกเดินทาง แบกเป้คนละใบ เต้น ใส่หลัง และเดินทางกลับแต่เช้า มีคนกลับวันเดียวกันกับเราเยอะมาก
เพราะว่าเป็นวันสุดท้ายของวันหยุด ทุกคนก็คงต้องรีบกลับมาทำงานเหมือนกัน  
เดินจากวังกวางถึง หลังแป จะมีป่าสนอยู่ ข้างทาง เอ้าาาา วางกระเป๋าาา วิ่งงไปถ่ายรูปกัน





และก็เดินทางต่อ


มีเพิ่มเติมนะคะ ผาชะโงก  รู้จักกันแค่บางกลุ่ม มันอยู่ระหว่างผาหมากดูก ไปหลังแป ความจริงเป็นผาที่ จนท ไฟป่า เขาเอาไว้ดูไฟป่า
ไม่มีปรากฏในแผนที่ สมมุติเรามาถึงหลังแปแล้ว คนส่วนใหญ่ จะเดินอีก 3 กม ไปวังกวาง
จากหลังแป มีทางเดินไปผาหมากดูกได้เลยโดยตรง ถ้าเราเดินจากหลังแปไปทางผาหมากดูก ก็จะตรงไปประมาณ 300 เมตร ทางลงผาจะอยู่ซ้ายมือ เห็นเป็นผืนดินแยกออกไป ถ้าสมมุติเราอยู่ผาหมากดูก จะเดินมาผานี้ ก็ต้องเดินมาทางที่จะมาหลังแปโดยตรงเลย แต่จะเดินไกลกว่า ประมาณ 1.5 กม ถึงจะถึง แล้วอีกอย่างตอนนี้ทางลงผานี้มันรกมาก ถ้าไม่สังเกตดีๆ ไม่เห็น  นี่สภาพทางลงคนธรรมดา มองผ่านๆกัน 










ถึงเวลาแล้ว เราคงต้องไป ระหว่างทางเดินลงจากภู ขอเก็บเป็นภาพประทับใจนะคะ

เราได้มีโอกาส พูดคุย กับลุงๆ ที่เป็นลูกหาบที่นั้น ท่านบอกว่า มาทำงานนี้ด้วยความรัก รู้สึกดีใจมาก มีความสุขที่ได้ทำ
ได้ทำงานที่รัก เพราะลุงๆทำมาหลายปีแล้ว บางคนส่งลูกเรียนจนจบปริญญา ถามว่ามันเหนื่อยไหม? ลุงๆก็ตอบว่า เหนื่อยมาก
แต่มันเป็นงานสุจริต และชอบทำ ชอบเห็นคนมาเที่ยวที่นี้ บ้านของพวกลุง เพราะว่างจากการทำนา ก็ไม่ได้ทำไร 
การเป็นลูกหาบ เราต้องขยัน จริงๆ เรามีความรับผิดชอบ เรารับของเขามาใส่หลัง เอามาแบก เพื่อแลกเงินเขา ไม่ใช่ทำแค่ต้องการเงิน 
แต่ลุงทำเพราะความสุข ของ ทุกคนที่มาที่นี้ เขาอยากมาเห็นภูเขา เขาอยากมาเดิน ลุงรักงานนี้มาก 

ขอบคุณ บทสนทนาระหว่างลุงๆ 










ขอบคุณทุกคนที่แวะมาอ่านกระทู้ นะคะ และขอบคุณ พี่ปุ่น พี่บอส พี่เค็ก ซู โก เดียร์ พี่เอ้ ขอบคุณทุกคนที่ร่วมเดินทางมาด้วยกัน
ขอบคุณทุกความคิดเห็น ทุกคำติชม เราอาจจะเขียน สื่อบรรยายได้ไม่ดี แต่ทุกสิ่งที่เขาเขียนลงในนี้ คือความรู้สึกจริงๆ
ภูกระดึงเป็นมากกว่า ภูเขารูปหัวใจ เป็นมากกว่าทางวัดใจของนักเดินทาง เป็นมากกว่าอุทยาน เป็นมากกว่าที่เที่ยว
เพราะตอนนี้ มันเป็นที่ๆเราได้หลงรักไปแล้ว หากภูกระดึงจะมีการสร้างกระเช้า จริงหรือไม่จริงนั้น 
เราเป็นคนนึงที่จะเลือกเดิน เดินขึ้นเหมือนเดิม เราสัญญาเราจะกลับมาอีก ขอบคุณคะ ที่เสียสละเวลาเข้ามาอ่านคะ


ขอบคุณข้อมูลจาก Pantip
Cr. สมาชิกหมายเลข 2376998