รีวิว ++ ต า ม ห า ส า ย ห ม อ ก ที่ คิ ด ถึ ง ++ จากแม่ออน ถึงแม่แจ่ม ณ เชียงใหม่

ปลายปีแล้ว ย่างเข้าสู่หน้าหนาว ฤดูที่ใครหลายๆคนวางแผนออกเดินทางขึ้นสู่ยอดภูและยอดดอยต่างๆ
เพื่อไปรับอากาศบริสุทธิ์ เพื่อสัมผัสอากาศหนาวเย็น เพื่อเก็บภาพสวยๆ ฯลฯ ต่างคนต่างก็มีเหตุผลในการออกเดินทาง
สำหรับผมแล้ว การเดินทางคือหลายๆอย่าง 1 ในนั้นคือการให้รางวัลกับตัวเอง ที่ทำงานเหนื่อยยากมาทั้งปี
ซึ่งรางวัลของแต่ละคนคงจะไม่เหมือนกัน บางคนอาจเป็นบ้านหลังโต บางคนอาจเป็นรถคันหรู
บางคนอาจเป็นสมาร์ทโฟนสเป็คเทพๆซักเครื่อง หรือบางคนอาจแค่มองดูลูกตัวน้อยๆก็มีความสุขแล้ว

แต่สำหรับผม รางวัลของของผม คือการได้ออกเดินทางนี่ล่ะ มีจุดหมายคือ การไปท่องเที่ยว
ไปพักผ่อน ไปเก็บความทรงจำดีๆ ไปในที่ๆไม่เคยไป หรือไปในที่ๆเคยประทับใจ
ไปกับเพื่อนที่รู้ใจ เก็บมาแต่ภาพถ่าย และทิ้งไว้เพียงรอยเท้า

หวังใจว่าอย่างน้อย กระทู้นี้จะเป็นข้อมูลหรือช่วยเป็นแรงบันดาลใจ ให้อีกหลายๆคนออกเดินทางเพื่อท่องเที่ยวเมืองไทยของเรากันนะครับ 



ทริปนี้เป็นการเดินทางเมื่อกลางเดือนตุลาคม 2558 ที่ผ่านมานี่เอง มีปลายทางคือจังหวัดเชียงใหม่
แล้วปีหน้า จะไปไหนดีนะ

โดยปกติแล้ว เวลาขึ้นเหนือ ผมจะขับรถไปเองจากกรุงเทพฯเสมอ
แต่ครั้งนี้ ขอลองใช้วิธีที่ชาวบ้านเขาทำกันหน่อยเถอะ บินไป บินกลับ ขับรถเที่ยว
มีสิ่งที่กังวลอยู่บ้าง อาจเพราะไม่เคยไปแบบนี้มาก่อน
เวลาขับรถไป มันสะดวกในเรื่องของที่เราพกไป จะเอาอะไรไปก็ได้ แต่ไปเครื่องบินมันถูกจำกัดในเรื่องนี้
และอีกเรื่องคือความขี้เมา ผมมักจะเมาง่าย ทั้งรถ เรือ และเครื่องบิน
แต่ขาไปนี้ก็ผ่านไปด้วยดีครับ กับไลอ้อนแอร์ มาถึงเชียงใหม่ 3 ทุ่มกว่าแล้ว


มาถึง ก็ไปรับรถเช่าที่จองไว้แล้ว เลือกอยู่นาน มีคนรู้จักแนะนำให้ลองใช้ของ RPM Car Rental
ได้รถยาริส ตัวใหม่ เครื่อง 1,200 มา รถใหม่และสะอาดดี ก็โอเคนะ น่าจะประหยัดน้ำมัน
มาถึงก็เข้าที่พักก่อนครับ เลือกไว้ที่นี่ โนเบิลเพลส ไม่ไกลสนามบินเท่าไหร่


ต้องยอมรับว่าตื่นเต้นครับ กับการบินมาเที่ยวครั้งแรกนี้ ปกติเคยขึ้นเครื่องบ้าง แต่ก็ไม่ใช่การไปเที่ยว
ครั้งนี้นอกจากกลัวเมาเครื่องแล้ว ยังจะกลัวเอาของที่ต้องใช้มาไม่ครบอีก แต่ก็ตัดสินใจมาแล้ว
พอมาถึง ก็ไม่ได้เลวร้าย ได้ห้องพักปุ๊บ ก็ออกไปหาของกินเลย ที่แรกก็คือที่นี่ครับ
"กู โรตีและชาชัก" อร่อยหลายอย่างเลย โดยเฉพาะโรตีกรอบ (ทิชชู่) ที่ใส่กล้วยกับอีกอันที่ใส่ฝอยทอง
อร่อยจนวันก่อนกลับยังเวียบมากินอีกรอบ แต่ซื้อกลับมากินที่ห้องพัก มันไม่อร่อยเหมือนกินที่ร้าน
จริงๆนะ เมื่อโรตีกรอบมันไม่กรอบเหมือนที่ร้านแล้ว ก็แทบหมดท่าเลย แต่ตอนมันกรอบนี่ อร่อยจริงๆครับ
โรตีมะตะบะเขาก็ใช้ได้อยู่นะ มีอาหารจานเดียวขายด้วย






หลังจากนอนพักเอาแรง ตื่นเช้ามาก็ทานอาหารเช้าของที่พักครับ
สำหรับโนเบิลเพลส ที่มีอาหารเช้าแบบบุฟเฟ่ให้ด้วย ไลน์บุฟเฟ่ก็ไม่ได้ขี้เหร่
ผมถือว่าสมราคาครับ จากนั้นก็เช็คเอาท์ออกจากที่พักกัน เพื่อเดินทางสู่ขุนเขาไปตามหาสายหมอกเสียที
แห่งแรกที่แวะ ก็คือที่นี่ครับ




วัดต้นเกว๋น อยู่ไม่ไกลจากที่พักมากนัก แวะไปไหว้พระขอพรให้การเดินทางทริปนี้ราบรื่น
ส่วนชื่อของวัด ก็มีที่มาจากต้นไม้ต้นนี้นี่เอง ที่นี่ตอนนั้น แดดดีมากครับ ร้อนแทบละลายทีเดียว




จากนั้นก็เดินทางต่อครับ ยังมีอีกวัด ที่น่าจะแวะสักการะได้อีก ก็คือที่นี่ครับ วัดอุโมงค์
ทางเข้าอาจจะดูงงๆหน่อยสำหรับผม กลับรถอยู่ 2-3 รอบ แต่ก็มาถึงจนได้
ไม่ค่อยได้เก็บภาพที่นี่มาซักเท่าไหร่ แต่บรรยากาศร่มรื่นมากครับ ในอุโมงค์ก็สวยงาม




เริ่มออกจากเมืองครับ จุดหมายแรกคือไปเอาที่พักคืนนี้ที่โครงการหลวงตีนตกก่อน
การเดินทางสู่อำเภอแม่ออน ถนนโล่ง ขับสบาย 4 เลนบ้าง 2 เลนบ้าง สลับกันไป
ถ้าเดินทางด้วยถนน 1317 จะต้องผ่านที่นี่แน่นอนครับ ถ้ำเมืองออน





ภาพด้านบนนี้ เป็นการถ่ายจากด้านบนลงไปข้างล่าง ถ้าดูให้ดีจะเห็นว่ามันสูงพอสมควรนะครับ
หินที่ผูกผ้าเหลืองทั้งสองจะอยู่ด้านล่าง บันไดอยู่ทางด้านขวามือ ลงไปแล้ว บันไดจะหักเลี้ยวไปทางขวาเพื่อลงต่อไปอีก


ตั้งใจไว้ว่าจะมาเที่ยวถ้ำแห่งนี้อยู่แล้วครับ แต่พอมาถึง เห็นบันไดด้านหน้าแล้ว อืมมมม
ก็ต้องสู้ล่ะนะ ไหนๆมาแล้ว วัดเขาวงพระจันทร์เรายังขึ้นไปมาแล้ว แค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอก (มั้ง)
แต่บันไดของที่นี่ มันไม่ได้มีเพียงแค่ที่เห็นขึ้นเขาตอนแรกครับ มันยังมีอีก ในถ้ำ !!!
ใช่ครับ บันไดในถ้ำ ถ้าเห็นบันไดด้านนอก(ซึ่งไม่ได้ถ่ายรูปมา) แล้วท้อใจ อย่าเพิ่งท้อครับ
เพราะในถ้ำน่าท้อใจกว่า บันไดชันและขั้นแคบ แถมมีมุดหินในบางขั้น ในถ้ำ ต้องลงบันไดยาวๆเลย 2 ช่วงด้วยกัน
ถือว่าลงไปจากปากถ้ำลึกมากพอสมควร เมื่อถึงพื้นแล้ว ในถ้ำนั้นกว้าง มีจุดให้เดินชมอยู่พอสมควร
ทั้งนี้ทั้งนั้น การลงไปชมก็ไม่ได้ยากลำบากอะไรมากครับ แค่มีสติเวลาลงบันได และเกาะราวดีๆก็แล้วกัน
เว้นแต่ถ้าเป็นผู้สูงอายุ 60 ขวบขึ้นไปก็อาจลำบากล่ะ ผมนี่ เกาะราวบันไดแน่นทั้งสองมือเลยล่ะ






ออกจากถ้ำเมืองออน ก็ไปต่อที่จุดหมายของวันนี้ก่อนครับ ที่พักของคืนนี้ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงตีนตก
การเดินทางก็ขับรถตามถนนจากถ้ำมาเรื่อยๆ ถนนจะแคบลงอย่างรู้สึกได้ และโครงการหลวงจะอยู่ทางขวามือ
ที่นี่มีลำธารไหลผ่าน อยู่ระหว่างส่วนต้อนรับ-ห้องอาหาร กับส่วนของแขกผู้เข้าพัก มีสะพานข้าม 2 จุด
ซึ่งจะมีป้ายเตือนว่าฝั่งบ้านพักนั้น เป็นโซนเฉพาะของผู้เข้าพักเท่านั้น เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนผู้เข้าพักครับ
ดังนั้น แขกที่เข้ามาเที่ยวชมหรือมารับประทานอาหารและกาแฟ จึงควรอยู่ด้านฝั่งร้านอาหาร ข้ามมาได้แค่ครึ่งสะพาน







บ้านพักธารริน 1 หลัง แบ่งเป็น 2 ห้อง ผมได้ห้องพักหมายเลข 4 ซึ่งถือว่าเดินใกล้เลยทีเดียว
ภายในห้องพัก จัดว่าดี สมกับเป็นบ้านพักโครงการหลวง แต่ทีวีห้องผมดูไม่ได้ซักช่อง
อาจเป็นเพราะอากาศที่ขมุกขมัวทำให้จานทึบใช้งานไม่ได้ แต่ก็ไม่ซีเรียสครับ ไม่ได้มาดูทีวีอยู่แล้ว
เห็นใน FB ของโครงการแจ้งว่าตั้งแต่ 12 พ.ย.58 ถึง 16 ม.ค.59 บ้านพักของที่นี่เต็มหมดแล้วทุกหลังทุกวันครับ










มาถึงโครงการหลวงก็เริ่มเย็นแล้ว พอได้ห้องพัก ก็ไปต่อกันเลยครับ จุดหมายต่อไป หมู่บ้านแม่กำปอง
เดินทางต่อจากโครงการหลวงอีกไม่ไกล ก็ถึงแม่กำปอง มาถึงก็แวะร้านชมนกชมไม้ก่อน
ส่วนน้ำตกแม่กำปอง ไม่ได้เดินเข้าไปครับ เพราะมีจุดหมายที่ตั้งใจไว้มากกว่าแม่กำปอง
มาถึงที่นี่ ด้วยความที่เป็นหมู่บ้านอยู่ในเขา บางแห่ง พอเริ่มเย็นย่ำก็จะดูเหมือนมืดค่ำมากกว่าปกติ
เพราะพอเย็นแล้ว พระอาทิตย์จะไปอยู่หลังเขา ทำให้รู้สึกเหมือนค่ำเร็วขึ้น และรูปก็เลยถ่ายมาได้ไม่ค่อยชัดบางรูป






เลยผ่านจากแม่กำปองมาอีกประมาณ 4-5 กม. ก็จะถึงที่นี่ครับ ประทับใจวิวทิวทัศน์ของที่แห่งนี้มาก
กิ่วฝิ่น ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน จังหวัดลำปาง แต่มาถึงได้ไม่ไกลจากแม่กำปอง
วิวทะเลภูเขา มองได้ไกลสุดสายตา ผ่อนคลายมากกับวิวที่นี่








การมาถึงที่นี่ก็ไม่ยาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเสียทีเดียว เมื่อเส้นทางช่วงใกล้ถึง จะมีช่วงหนึ่งที่ถนนชันค่อนข้างมาก
ตรงนี้จะเป็นทางขึ้นตรงๆยาวๆค่อนข้างชัน มองดูเหมือนไม่ชันมาก แต่ทางค่อนข้างยาว รถเครื่อง 1,200 ลากเกียร์ต่ำสุดขึ้นไปแบบมีลุ้น
มีโค้งหักศอกเลี้ยวขึ้นก่อนหน้าถึงตรงนี้ นึกว่าโหดสุดแล้ว แต่ไม่ใช่ ดังนั้น ถ้าจะไปแนะนำให้เหยียบคันเร่งส่งขึ้นไปนะครับ ถ้าถึงตรงนี้







เมื่อมาถึงแล้ว ก็ต้องเดินขึ้นเขาไปประมาณ 200 เมตร จึงจะถึงจุดชมวิว ซึ่งคุ้มค่าแน่นอนกับการเดินขึ้นไป
ตรงนี้เป็นที่ตั้งของหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ ที่ จ.ซ.7 (ดอยล้าน) ซึ่งเป็นรอยต่อของจังหวัดเชียงใหม่กับจังหวัดลำปางอีกด้วย




จากนั้น กลับเข้าที่พักครับ นอนฟังเสียงลำธารไหลทั้งคืน บรรยากาศดีมาก
เช้ามาก็ทานอาหารเช้าของทางโครงการหลวง เป็นแบบบุฟเฟ่ มีทั้งข้าวต้มและ ABF
เสียดายไม่มีผักสดๆของโครงการหลวงหรือสลัดให้ทานในไลน์บุฟเฟ่ด้วย
อุตส่าห์มาถึงโครงการหลวงแล้วแท้ๆ แต่ไส้กรอกกับเบค่อนอยู่ในเกณฑ์ดีครับ
จากนั้นก็เดินทางขึ้นสู่ดอยอินทนนท์ เพื่อแยกเข้าสู่อำเภอแม่แจ่มครับ
ภาพล่างเป็นช่วงแม่กลางหลวง




เส้นทางมายังอำเภอแม่แจ่มผ่านทางดอยอินทนนท์นั้น ทางแคบ โค้งเยอะ มีชันบ้าง
พอแยกจากอินทนนท์ตรงด่านตรวจที่ 2 ช่วงครึ่งแรกนั้น โค้งแคบจริงๆครับ
ต้องขับช้าๆหน่อย เพราะถ้าเจอรถสวนจะสวนลำบาก และจะมีป้ายเตือนเป็นระยะให้ใช้แตร
เวลาผ่านโค้งที่ขึ้นหรือลงชันๆ อีกทั้งยังหักศอกและแคบมากๆ  แต่พอครึ่งหลังทางจะกว้างหน่อย
มาถึงก็เข้าที่พักกันก่อนเลย ที่นี่ เฮือนแรมแจ่มเมือง ใช้ลดหย่อนภาษีปีนี้ได้ด้วยนะเออ
ไม่ได้ถ่ายอะไรมาเลย นอกจากรูปนี้ ที่นี่มีแค่ 4 ห้องพัก มีแอร์เย็นฉ่ำ ไม่มีทีวี
อยากดูก็ไปดูได้ที่ห้องรับแขก แต่โดยรวมแล้วนอนหลับสบายครับ มีอาหารเช้าให้ด้วยเป็นชุด


ได้ที่พักแล้ว ออกไปเที่ยวกันต่อครับ จุดหมาย ไปวัดอีกแล้ว จะครบ 7 วัดไหมนะทริปนี้
แต่วิวระหว่างทางก็สวยงามเกินจะมองข้ามครับ จริงๆวิวสวยนะ แต่ผมถ่ายทอดมาได้แค่นี้




แล้วก็มาถึงครับ วัดพุทธเอ้น เป็นวัดเล็กๆที่มีชื่อเสียงของแม่แจ่ม
อยู่ไม่ไกลจากที่พักมากนัก เปิดกูเกิลแม็พก็หาเจอ








วัดแห่งนี้ มีหอหรือวิหารอยู่กลางบึงบัวด้วย แต่มีรั้วล้อมไว้ เลยไม่ได้เข้าไป คาดว่าไม่น่าจะให้เข้า
ไหว้พระขอพรแล้ว ก็ออกเดินทางหาจุดชมวิวดีกว่า








ความตั้งใจที่จะมาแม่แจ่มนั้น ก็มีจุดหมายหนึ่งอยู่ที่จุดชมวิวบ้านบนนา
หากมาตอนเช้าและโชคดี ก็น่าจะได้เห็นวิวทะเลหมอกแห่งเมืองแม่แจ่มเป็นแน่แท้
แต่ด้วยว่าพรุ่งนี้เช้าเรามีนัดสำคัญ คงไม่สามารถไปบ้านบนนาตอนเช้าได้แน่ เลยมาซะตอนนี้เลย
มุมนี้ มองแล้วเหมือนเป็นเส้นทางเดินเท้าลงสู่เมืองแม่แจ่มได้เลย
หากมาเห็นวิวนี้ครั้งแรกตั้งแต่ตอนเข้าอำเภอมาล่ะก็ ความรู้สึกคงเหมือนกับที่นี่กำลังจะบอกว่า
  "ยินดีต้อนรับสู่แม่แจ่ม"






จุดชมวิวบ้านบนนาในยามเย็น แม้ว่าจะไม่มีทะเลหมอก แต่ก็ได้เห็นวิวเมืองแม่แจ่ม
มีนาขั้นบันได้แทรกตัวอยู่ที่เชิงเขาบางลูก มองไปรอบๆ ก็จะเห็นขุนเขาที่ห้อมล้อมอำเภอแห่งนี้อยู่
สวยงามไปอีกแบบ จุดชมวิวแห่งนี้ในยามเย็น เงียบสงบมากครับ นั่งดูวิวได้แบบเพลินๆ
แต่ก็มีรถวิ่งผ่านถนนไปบ้าง ไม่ให้รู้สึกวังเวงจนเกินไป






ฝนตกไม่ทั่วฟ้า ได้มาเห็นชัดๆก็ที่นี่เอง


ทุ่งนาแห่งแม่แจ่ม มองแล้วสวยงาม สบายตา แม้ว่าเราจะมีเวลามาอยู่มองได้ไม่นานนัก แต่ได้เห็นเพียงเท่านี้ก็คุ้มค่าแล้วที่มาถึงที่นี่
พอเริ่มมืด รูปก็เริ่มถ่ายไม่ค่อยชัดอีกแล้ว กลับเข้าที่พักกันดีกว่า ก่อนกลับแวะหาอาหารเย็นทาน
จะว่าไป แม่แจ่มก็ดูเป็นอำเภอค่อนข้างใหญ่นะ โดยรวมถือว่าพื้นที่ๆเป็นชุมชนคนอยู่นั้นกว้างทีเดียว
แต่ร้านอาหารกลับมีไม่มากมายนัก ซึ่งผมก็หาอยู่พักใหญ่ กว่าจะก็ไปเจอร้านนึง ชื่อ "ข่วงนา"
ตอนนั้นมืดแล้ว ป้ายชื่อร้านริมถนนสายหลักก็ไม่เปิดไฟ เลยไม่รู้ร้านยังเปิดอยู่ไหม
แต่ก็หามาจนจะหมดหนที่ให้หาแล้ว เลยเลี้ยวเข้าไปดู เจอแล้วดีใจเลยครับ ร้านอาหารดูดีระดับอำเภอ
อาหารรสชาติใช้ได้ ที่สำคัญ ราคาไม่แพงเลยด้วย ถ้ามาแม่แจ่ม ผมแนะนำร้านนี้เลย เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปมาเลย
ซึ่งผมซื้อกลับไปทานที่ที่พักล่ะ ไม่อยากผจญกับยุง




เช้านี้ มีนัดครับ นัดกับคุณหนึ่ง สารวัตรกำนันของตำบลหนึ่งในแม่แจ่ม
และยังเป็นไกด์ท้องถิ่น พาเที่ยวบ้านป่าบงเปียงและที่อื่นๆในแม่แจ่มได้อีกด้วย
นัดไว้แต่เช้าเลย เผื่อว่าไปแล้วจะเจอทะเลหมอกด้วย ทางไปบ้านป่าบงเปียงจากแม่แจ่ม
เป็นคนละทางกับทางที่มาจากอินทนนท์ แต่ก็ไปได้ถึงเหมือนๆกันครับ
ถนนหนทาง พอแยกจากถนนหลัก ถนนก็จะแย่ลงเป็นลำดับ จนกระทั่งเป็นทางลูกรัง หนักๆเข้าก็มีร่องน้ำ
หนักกว่านั้นก็ถนนเป็นหินก้อนๆใหญ่บ้างเล็กบ้างฝังบนผิวลูกรัง รถเก๋งหมดสิทธิ์แน่นอน รถกระบะยกสูงหน่อยน่าจะดี
ถ้าฝนไม่ตก กระบะขับสองก็น่าจะมาได้ ระหว่างทางที่มาด้วยความกลัวเมารถก็มองไปแต่ข้างหน้า
ทั้งๆที่ข้างหลังเป็นแบบในภาพแล้ว ไกด์เจ้าถิ่นจึงหาจุดจอดให้เก็บภาพครับ






ตรงนี้ เป็นช่วงก่อนถึงบ้านตีนผา โชคดีมากที่วันนี้มีทะเลหมอกพอดี เป็นทะเลหมอกที่อลังการมากๆ
มองไปทางไหน ก็สวยงามไปหมด จนอยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้เลย
ทะเลหมอกตรงนี้กว้างมากกว่า 180 องศา เต็มตา เต็มอารมณ์








เห็นภาพแบบนี้แล้ว หวนนึกไปถึงวันที่วางแผนเดินทางว่าจะมาที่นี่
ภาพในความคิดวันนั้น ยังสวยงามไม่ได้ครึ่งหนึ่งของที่เห็นจริงๆในวันนี้เลย
ถือว่าสวยงามมากเกินกว่าที่คาดหวังไว้มากพอสมควร แต่ผมมีความสามารถเก็บภาพมาได้เท่านี้
ซึ่งไม่ว่าจะกี่ร้อยกี่พันภาพ ก็ไม่อาจสวยได้เท่ากับที่ตาเห็นจริงๆ






พอมองไปอีกด้าน ก็เห็นเป็นวิวแบบนี้ มันสวยงามจนอยากยกวิวนี้ไปไว้ที่บ้านเลย
แต่ในเมื่อทำไม่ได้ ก็ขอเก็บมาเป็นภาพถ่ายและภาพความทรงจำที่ประทับใจแทนก็แล้วกัน






เพิ่งเคยเห็นนาขั้นบันไดสวยงามแบบนี้เป็นครั้งแรก ยิ่งพอมีทะเลหมอกเป็นฉากหลังด้วยแล้ว
ต้องบอกเลยว่าคุ้มค่าจริงๆ ที่ได้เดินทางมา ณ ที่แห่งนี้ ยิ่งกับคนบ้าหมอกอย่างผมด้วยแล้ว
ยิ่งรู้สึกดีๆกับบรรยากาศอย่างนี้มากขึ้นไปอีกมากมายหลายเท่าทวี






ที่นี่ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีประปา เป็นชนบทอย่างแท้จริง
ธรรมชาติของที่นี่ เป็นสิ่งที่สวยงามจนยากจะลืมเลือน
แต่ก็ใช่ว่าห่างไกลจากความเจริญไปเสียทุกอย่าง อย่างน้อย ก็มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือนะครับ
และนั่นก็ช่วยให้การแชร์ภาพสวยๆและความรู้สึกดีๆแบบเรียลไทม์ของคนชอบโซเชี่ยล สามารถทำได้ทันที








ก่อนจะถึงตรงบ้านป่าบงเปียง จะผ่านหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่งก่อน ชื่อหมู่บ้านตีนผา
แต่คุณหนึ่งแนะนำให้เลยไปบงเปียงก่อนแล้วค่อยกลับมาแวะทีหลัง เพราะตอนมาถึงบ้านตีนผาพระอาทิตย์ยังคงอยู่ด้านหลังเขา
แสงจะยังไม่ส่องลงมาที่นาข้าวยังดูไม่สวยงามเท่าที่ควร ได้เจ้าถิ่นคอยแนะนำแบบนี้ก็ควรต้องเชื่อฟังใช่ไหมครับ
ก็เลยได้มาถึงเสียที "บ้านป่าบงเปียง" ที่ซึ่งบางคนก็เรียกเพี้ยนไปบ้างเป็น บ้านป่าปงเปียง
แต่สอบถามแล้ว คุณหนึ่งบอกว่าชื่อบงเปียงนั่นแหละครับ มันมีความหมายนะ
"บง" เป็นชื่อต้นไผ่ชนิดหนึ่ง ส่วน"เปียง" แปลว่าเรียบเสมอกัน








ที่นี่ มีบ้านพักแบบโฮมสเตย์ให้บริการ พร้อมอาหาร 2 มื้อ เย็นและเช้า ไม่มีไฟฟ้า
บ้านที่เห็นในภาพนั้นก็คือโฮมสเตย์นั่นเอง มีคนพักอยู่ด้วย น่าอิจฉามาก
ได้เห็นวิวนี้ตราบนานเท่าที่ทะเลหมอกยังไม่จางหายไป
ผมไม่ได้มาพักบนนี้เพราะไม่สะดวก แต่ได้ขึ้นมาเห็นด้วยตา แค่นี้ก็พอใจมากแล้วครับ








ตอนที่ผมขึ้นมาถึงบ้านป่าบงเปียง ก็มีนักท่องเที่ยวประมาณยี่สิบกว่าคนได้ กำลังลงกลับไปพอดี
เลยทำให้คนน้อยลงไปเยอะ ถ่ายรูปเก็บภาพได้ตามสบายเลย
แต่จะถ่ายภาพยังไง เก็บภาพมุมไหน ก็ไม่สวยได้เท่ากับที่ตาเห็น จริงๆนะ
หรือไม่อีกที ฝีมือการถ่ายภาพผมก็ยังไม่ถึงขั้นก็เป็นได้








เคยได้ยินแต่ชื่อ บ้านป่าบงเปียง เห็นภาพแต่จากตามเว็บต่างๆ โดยเฉพาะพันทิป
แบบนี้สินะ ถึงหนทางจะยากลำบากพอประมาณ แต่เพื่อให้ได้สัมผัสสถานที่แห่งนี้ด้วยตาตัวเอง
ก็ต้องดั้นด้นมา เพราะความสวยงามที่ซ่อนเร้นอยู่กลางหุบเขาแบบนี้นี่แหละ ที่ทำให้ความพยายามนั้นคุ้มค่า








ถึงเวลาต้องลาจากบ้านป่าบงเปียงแล้ว แต่ก็ยังมีอีกแห่งที่เราข้ามมาในตอนแรก
ตรงนี้แหละครับ "บ้านตีนผา" เป็นนาขั้นบันไดที่สวยงามอีกแห่งของแม่แจ่มเลย
อยู่ไม่ไกลจากบงเปียงมากนัก ที่นี่ไฟฟ้าเข้าถึงนะครับ แต่ถนนมาถึงที่นี่ก็ยังรถเก๋งเข้าไม่ได้อยู่ดี






คุณหนึ่ง ไกด์ท้องถิ่นเล่าว่า ชาวบ้านที่ขึ้นมาปลูกข้าวในนาขั้นบันไดที่บ้านป่าบงเปียงนั้น
ก็คือคนจากหมู่บ้านตีนผานี่ล่ะ พอมาปลูกข้าวที่บงเปียงแล้ว บางทีก็ขี้เกียจกลับลงไปที่บ้านตีนผา
ก็เลยสร้างบ้านอยู่บนบงเปียง ซึ่งก็มีบ้านไม่กี่หลัง จนมีคนขึ้นมาเที่ยวและถ่ายรูปลงไป
กระทั่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อแห่งหนึ่งของแม่แจ่ม




คุณหนึ่งจะพาไปบ้านกองกานต่อ แต่สายมากแล้ว ต้องรีบกลับไปทานอาหารเช้าและเก็บของออกจากที่พัก
เลยขอให้คุณหนึ่งมาส่งกลับที่พัก ทานอาหารเช้า แล้วก็ออกเดินทางต่อเลยครับ วันนี้ต้องกลับขึ้นไปบนอินทนนท์
ยังมีเวลา และยังไม่อิ่มขั้นบันได มาต่อที่นี่ครับ บ้านกองกาน ที่คุณหนึ่งจะพามานั่นแหละ






จากการประเมินแล้ว ที่นี่มาเองได้แน่ รถเก๋งวิ่งถึงสบายๆ เลยมาแวะชมเสียหน่อย
ที่บ้านกองกาน จะมีวัดกองกานตั้งอยู่หน้าหมู่บ้านเลย เส้นทางมาก็ไม่ไกลจากตัวอำเภอมากนัก
หากจะถ่ายภาพนาขั้นบันไดตรงนี้ น่าจะต้องถ่ายจากบนเนินเขาก่อนลงมาถึงนาน่าจะสวยกว่านี้






กลับขึ้นมาถึงดอยอินทนนท์ ใช้เวลาขับรถเล่นกับโค้งอยู่พักนึง ปกติถ้าขับเองจะไม่เมารถครับ
แต่ถนนช่วง 20 กว่ากิโลเมตรนี้ก็ทำเอามึนนิดๆเหมือนกัน แม้ว่าจะขับเองก็ตาม
ขึ้นมาถึงก็มาตรงนี้ก่อนเลยครับ แลนด์มาร์คหนึ่งของที่นี่
พระมหาธาตุนภเมทนีดล และพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ ที่นี่คนเยอะกว่าทุกๆที่ๆไปมาเลย








จากบริเวณพระธาตุ เราสามารถมองกลับลงไปยังอำเภอแม่แจ่มที่เราเพิ่งไปมาได้ด้วย
มองลงไป ก็เห็นเป็นเขาหัวโล้นอยู่หลายลูกเหมือนกันนะเนี่ย








บนดอยอันถือเป็นหลังคาของประเทศไทยนี้ ณ เวลานั้นครึ้มฟ้าครึ้มฝนตลอดเวลา
ในเมื่อตลอดทริปตั้งแต่มาถึงเชียงใหม่ ยังไม่เจอฝนเลย ก็ได้มาเจอบนดอยอินทนนท์นี่เอง
ฝนหนักพอสมควร ติดฝนอยู่บริเวณพระธาตุนานเกือบชั่วโมง จากคนเยอะๆ ฝนตกพักใหญ่คนหายไปหมดเลย






หลังจากลงมาจากพระธาตุแล้ว ก็ไปต่อยังจุดสูงสุดครับ แต่ไม่ได้ลงรถเพราะเคยไปแล้วก็ไม่ได้มีอะไรเท่าไหร่
จริงๆมีที่ๆอยากมาอีกแห่ง ก็เลยกลับลงมาหน่อยซึ่งคือที่นี่ครับ เส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกา








เป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์มาก ด้วยความชื้นของอากาศบนที่สูง
ทำให้มีมอสและตะไคร่ขึ้นทางเดินแทบตลอด มีพืชพรรณแปลกตามากมาย
เหมือนเดินอยู่ในป่าดงดิบเลย แถมจังหวะนั้นคนไม่ค่อยมีด้วย ได้อารมณ์ป่าดิบชื้นมากๆเลย








บางแห่งมีป้าย "ต้นไม้ใส่เสื้อ" เข้าใจว่าคือตะไคร่ที่ขึ้นตลอดผิวต้นไม้บางต้นในนี้
อยู่ที่นี่มีแต่สีเขียว อากาศดีสดชื่นมากๆ สูดเข้าไปให้เต็มที่ ก่อนที่อีกไม่กี่วันข้างหน้าจะต้องกลับไปรับมลพิษในเมืองแล้ว
ใช้เวลาเดินในนี้ไม่นานนัก ประมาณซัก 45 นาที ก็วนกลับมาถึงทางออกแล้ว





ก่อนกลับเข้าที่พัก แวะกิ่วแม่ปานอีกนิด แต่เขายังไม่เปิดให้เดินเข้าไปชมด้านใน เริ่มเปิด 1 พ.ย.
ซึ่งเคยเข้าไปแล้วหนหนึ่งเหมือนหลายปีก่อน สวยดีและไกลดีด้วย เดินกันเป็นชั่วโมงเลยกว่าจะได้ออกมา
คราวนี้เลยได้แต่เก็บภาพเมฆหมอกตรงจุดชมวิวหน้าทางเข้ากิ่วและช่วงทางลงอีกนิดหน่อย








จากนั้นก็เข้าสู่ที่พักคืนนี้ครับ สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ เคยมาพักแล้วหนนึง
ถือว่าเป็นบ้านพักที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งสำหรับดอยอินทนนท์เลยทีเดียว
และมื้อเย็นยังได้มีโอกาสทานอาหารที่ร้านอาหารโครงการหลวงด้วย คนเยอะเลยทีเดียว









หลังจากนอนพักผ่อนเอาแรงแล้ว ตื่นเช้าขึ้นมา ก่อนจะออกจากที่พัก
ก็ได้ไปชมน้ำตกสิริภูมิ ซึ่งอยู่ภายในสถานีเกษตรหลวงนี้แหละครับ เดินจากบ้านพักผ่านสวนหลวงสิริภูมิไป
ใช้เวลาไม่นาน ก็จะถึงตัวน้ำตก เป็นน้ำตกที่เราจะมองเห็นไกลๆจากเกือบทุกมุมภายในสถานีเกษตรหลวง






เมื่อครั้งที่เคยเข้ามาพักที่นี่เมื่อหลายปีก่อน ไม่มีโอกาสได้เดินเข้ามาชมน้ำตกแห่งนี้
เห็นแต่อยู่ไกลๆจากห้องอาหาร ซึ่งจริงๆแล้วก็ไม่ได้ไกลอะไรมากมาย
พอมาเห็นแล้ว นึกถึงวันเก่าก่อนว่าทำไมเราถึงไม่หาเวลาเดินเข้ามานะ
ที่สวยๆงามๆแบบนี้ อยู่ใกล้แค่เอื้อม กลับพลาดไปได้อย่างไม่น่าให้อภัย
แต่ครั้งนี้ก็ถือว่ามาแก้ตัวแล้ว






หลังจากลงจากดอยอินทนนท์แล้ว ก็แวะไหว้พระอีกซักที ที่พระธาตุจอมทอง
ลงมาจากดอยปุ๊บ ก็ร้อนทันที แทบละลายอยู่หน้าพระธาตุเลยทีเดียว รีบไปดีกว่า





จากนั้นก็กลับเข้าเมืองเชียงใหม่เลยครับ มาหาข้าวซอยทานซะหน่อย เดี๋ยวจะมาไม่ถึงเชียงใหม่
เอาร้านนี้ล่ะ ข้าวซอยฟ้าฮ่าม สะดวก เพราะเป็นทางผ่านไปที่พัก และรสชาติก็อร่อยดี
คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายก่อนจะกลับแล้ว เลือกเข้าพักที่ "คีรีธารา" ซึ่งอยู่ด้านบนของเมือง ใกล้ศูนย์ประชุม และลดหย่อนภาษีปีนี้ได้ด้วย
คืนสุดท้าย ด้วยความติดใจโรตีร้านกู จึงกลับไปอีกครั้ง แต่คราวนี้ซื้อมากินที่ที่พัก
ซึ่งก็อย่างที่บอกครับ พอโรตีกรอบมันไม่กรอบแล้ว ความอร่อยหายไปเลยมากกว่าครึ่ง
พอเช้าก็ทานอาหารเช้าของที่พัก ไปซื้อไส้อั่วติดมือกลับบ้านเสียหน่อย และส่งคืนรถเช่า
ขึ้นเครื่องบินไลอ้อนแอร์เจ้าเดิม แต่ที่ต่างจากเดิมคือ ขากลับเมาเครื่อง เมาค้างไปสองสามวัน
เล่นเอาเหนื่อยเลยทีเดียว แต่ก็คุ้มค่าที่ได้ไปในแต่ละแห่งตามที่ตั้งใจครับ






วัยเด็ก     " มีเวลา มีกำลัง แต่ไม่มีเงิน "
วัยทำงาน " มีเงิน มีกำลัง แต่ไม่มีเวลา "
วัยชรา     " มีเงิน มีเวลา แต่ไม่มีกำลัง " 
ถ้าเราอยากออกเดินทางท่องเที่ยว เราควรเลือกไปในวัยไหน ต้องรออีกนานไหมกว่าจะถึงวันที่มีเวลาหรือมีเงินทองมากมายจนพอใจ
ออกไปเที่ยวเมืองไทยของเรากันครับ อย่ามัวรอให้รวยก่อน อย่ามัวรอให้มีเวลา เรามีเวลาเท่ากันทุกคน วันละ 24 ชั่วโมง อยู่ที่เราเลือกว่าจะทำอะไร
ความสุขของการท่องเที่ยวในแต่ละช่วงวัยนั้นแตกต่างกัน อย่ารอจนแก่ครับ ต่อให้มีเงินมีทองมากมายแค่ไหน
ก็คงเที่ยวแบบเดียวกับวันที่เรายังไม่แก่ขนาดนั้นไม่ได้ ถ้ามีปัจจัยพร้อมที่จะไปเที่ยวได้ เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า ออกเดินทางกันเลย


ขอบคุณมูลจาก Pantip 
Cr. CasanovaTank