รีวิว น้า Low Batt :: หนีวันไหลพัทยา ไปนอนโคราช 3 วัน 2 คืน

สวัสดีครับทุก ๆ ท่าน


เมื่อวันที่ 18,19,20 ของเดือนเมษายนที่เพิ่งผ่านมาซึ่งเป็นช่วงวันไหลของเมืองพัทยา
สำหรับคนในพื้นที่แบบผม ถ้าอยู่บ้านคงอดอยากปากแห้งท้องกิ่วแน่ ๆ เพราะร้านรวงปิดกันเกือบหมด และรถราก็ติดอย่างแสนสาหัส
ดังนั้นจึงชวน ผบ. หาเรื่องหนีออกจากพื้นที่ ไปปักหลักอาศัยนอนบ้านเพื่อนที่โคราชดีกว่า
ไปทั้งทีจะไปนอนเฉย ๆ ก็กระไรอยู่ ก็เลยไม่วายจะแวะเที่ยวโน่น นี่ นั่น ไปตามเรื่องตามราว
ส่วนผมจะได้แวะไปไหนมาไหนบ้างนั้น ถ้าพร้อมแล้ว ตามชมกันได้ครับ


  

เช้ามืดวันเสาร์ที่ 18 เมษา ซึ่งเป็นวันไหลนาเกลือ ผมรีบไปซื้อของทะเลที่ตลาดรุ่งโรจน์ นาเกลือ ตั้งแต่เช้ามืด
จ่ายตลาดหมดไปสองพันกว่าบาท เพราะของทะเลราคายังสูงติดพันมาจากช่วงเทศกาลสงกรานต์ เช่นปูม้าปาไปโลละ 450.-
แล้วจัดการแพคใส่ลังโฟม โป๊ะน้ำแข็งเต็มที่เพื่อรักษาความสดให้ได้มากที่สุดก่อนจะนำไปปรุงเป็นอาหารมื้อเย็นที่โคราช 



หกโมงกว่าก็ออกเดินทางออกจากพัทยา ผมเลือกวิ่งมอเตอร์เวย์ เข้ากาญจนาฯ เพื่อไปออกวังน้อย สระบุรี โคราช 
แปดโมงนิด ๆ ถึงวังน้อยก็จัดการหามื้อเช้ากินกันก่อน  โดยเลือกที่จะลองกินข้าวแกงบ้านสวนดูครับ
ร้านหาไม่ยาก มีป้ายใหญ่โตเห็นเด่นแต่ไกล อยู่ริมถนนมิตรภาพก่อนจะเข้าตัว อ.วังน้อย 
ราคากับข้าวถ้วยละ 30.-  มีหลากหลาบชนิดให้เลือกกิน ทั้งแกง ทั้งต้ม ทั้งผัด ทั้งทอด  มื้อนี้หมดไปสองร้อยนิด ๆ  
กินแค่พอให้อิ่มท้องครับ อย่าไปคาดหวังอะไรมากมาย  ในอนาคตถ้าผ่านมาทางนี้อีก ผมคงต้องดูก่อนว่าหิวรึยัง ??






กินข้าวเช้าเสร็จก็มุ่งหน้าเข้าโคราชกันต่อครับ  ถนนขาออกโล่งมาก 
เกือบ ๆ สิบโมงก็ถึงแยกสีคิ้ว  เช้านี้เราตั้งใจจะไปวัดบ้านไร่ อ.ด่านขุนทด กันก่อนที่จะเข้าโคราชครับ
ถึงแยกสีคิ้ว ก็ต้องเลี้ยวซ้ายไปตามป้าย อ.ด่านขุนทด  โดยต้องไปต่อกันอีกราว ๆ 40 กม. 
ช่วงนี้ถนนจะเป็นสองเลนสวน วันนั้นทำเวลาไม่ได้เลยเพราะฝั่งรถขาล่องเข้า กทม.ช่วงก่อนหมดเทศกาล มีรถสวนลงมาแทบจะตลอด
ถึง อ.ด่านขุนทด ต้องเลี้ยวไปวัดบ้านไร่อีกราวสิบ กม.  กว่าจะถึงวัดบ้านไร่ก็ราว ๆ สิบเอ็ดโมงแล้วครับ


จอดรถได้ผมรีบเดินไปที่วิหารเทพวิทยาคมก่อนเลยครับ เพราะถ้าไปถึงช้ากลัวว่าถ่ายรูปแล้วจะย้อนแสง
ผมไปทันที่จะถ่ายรูปโดยไม่ย้อนแสง แต่ต้องเซ็งสุด ๆ ที่ไม่สามารถไปยืนถ่ายในมุมที่ต้องการได้ 
เหตุว่าตำแหน่งที่ผมเล็ง ๆ ไว้โดนยึดเป็นจุดรับถ่ายรูปของทางวัด  ออกอาการเซ็งนิด ๆ เลยครับ

ได้แค่ไหนก็แค่นั้น  ออกแนวปลง ๆ ครับ ทำใจแล้วก็เตรียมไปเที่ยวชมอาคารสถานที่ดีกว่าครับ

วิหารเทพวิทยาคม การเข้าชมต้องเข้าชมเป็นรอบ ๆ ตามที่ทางวัดกำหนดนะครับ ไม่สามารถที่จะเดินดุ่ย ๆ เข้าไปเองโดยพลการได้



ต้องไปนั่งรอรอบภายในเต้นท์ที่ทางวัดจัดไว้ให้


ระหว่างรอก็ฟังวิทยากรเล่าโน่นนี่นั่นให้ฟัง แล้วก็ปิดท้ายด้วยการแนะนำให้ซื้อบัตรสมาร์ทการ์ดเตรียมไว้ไปทำบุญในวิหาร
โดยถ้าต้องการทำบุญที่จุดไหนก็ให้แตะบัตร 1 ครั้ง ๆ ละ 30 บาท  จะซื้อบัตรจำนวนเงินเท่าไรก็ได้ 
ถ้าใช้ไม่หมดกลับมาขอรับเงินคืนได้  ถ้าไม่พอด้านในก็มีบริการให้เติมเงินได้เป็นจุด ๆ 
วิหารเทพวิทยาคม หรือ วิหารปริสุทธปัญญา เป็นอุทยานธรรมกลางบึงน้ำขนาด ๓๐ ไร่ของวัดบ้านไร่ 
ก่อสร้างขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ที่ต้องการจะให้เป็นดินแดนที่ให้ความรู้ และก่อให้เกิดปัญญาในเรื่องของพระพุทธศาสนา
ตามพระวินัย และพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงไว้ทั้งหมด 
เพื่อจรรโลงพระศาสนาให้เป็นไปตามพระดำรัสของพระพุทธองค์ในช่วงก่อนเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ความว่า
“ แท้จริงแล้ว วินัยที่เราได้บัญญัติแก่ท่านทั้งหลายก็ดี ธรรมที่เราได้แสดงแล้วแก่ท่านทั้งหลายก็ดี
เมื่อเราล่วงไปแล้ว ธรรมและวินัยเหล่านั้นจะเป็นศาสดาของท่านทั้งหลายตลอดไป ”


ดังนี้มหาวิหารแห่งนี้จึงเป็นสถานที่แห่งแรก และแห่งเดียวในโลกที่นำเอาพระวินัย และพระธรรมของพระพุทธเจ้ามาแสดง
นั้นหมายความถึงให้ชาวพุทธทั้งหลายได้มาพบพระศาสดาของพุทธศาสนา


เครดิต  ::  http://watbaanrai.com (สามารถเข้าไปหาอ่านรายละเอียดต่าง ๆ ของวิหารเทพวิทยาคมได้นะครับ )


ลานด้านหน้าก่อนข้าม สะพานพญานาค เรียกว่า ลานอธิษฐาน  ด้านหน้าก็จะเห็น พญานาค 19 เศียร 2 ตน
เศียรของพญานาคทั้ง 38 เศียรสื่อความหมายถึง มงคลชีวิต 38 ประการ


ข้ามสะพานไปแล้ว เจ้าหน้าที่ตัวน้อย ๆ ประจำกลุ่มซึ่งทำหน้าที่มัคคุเทศก์ก็จะพาเราเดินชมรอบนอกของวิหารก่อนหนึ่งรอบ


อธิบายให้ฟังถึงความหมายของซุ้มทั้งสี่ทิศที่อยู่รอบวิหาร ( ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เพราะเสียง นทท.เจี๊ยวจ๊าววี๊ดว๊ายกระตู้วู้กันมาก)
เอาเป็นว่ากลับมาแล้วค่อยหาข้อมูลเอาใหม่ ซุ้มอภิมหาบารมี ๔ ทิศ ประกอบด้วย
ซุ้มพระอินทร์ , ซุ้มพระยม ,  ซุ้มพระพิรุณ  และ ซุ้มอภิมหาบารมีพระกุเวร (ท้าวเวสสุวรรณ)

ซุ้มพระยม


ซุ้มพระพิรุณ


เสารอบวิหาร จำนวน ๑๘ ต้น แต่ละต้นประดับกระเบื้องเป็นเรื่องราวชาดกในพระไตรปิฏก
เสาพระชาติต้นที่ ๑๘ เป็นฝีมือของเด็กนักเรียนโรงเรียนศุภวรรณ จรัญ ๒๒ จ.กรุงเทพมหานคร



บางส่วนของผนัง และปูนปั้นรูปต่าง ๆ ที่ประดับด้วยกระเบื้องรอบวิหาร



มองกลับไปยังลานอธิษฐานก่อนที่เราจะข้ามสะพานนาคมา  ร้อนใช้ได้เลยละครับ 
จากนั้นผมก็แยกออกจากลุ่มของทางวัด เดินเข้าชั้นที่.๑ กันเองครับ

ชั้นที่.๑ เป็นชั้นที่มี ภาพพุทธประวัติ เเละ ต้นโพธิอธิฐาน เด่นเป็นสง่า



แต่ละภาพเป็นเรื่องเกี่ยวกับพุทธประวัติ เช่น ภาพที่ ๑ พุทธอนุโมทนา (ประสูติ)


ภาพที่ ๓ พุทธปาฏิหารย์ (เผยแผ่พระพุทธศาสนาแด่เหล่าเทวดา)


ภาพที่ ๕ พุทธปิติ (เผยแผ่พระพุทธศาสนาแด่ชาวบ้าน หมู่มาร และนักบวช)


ภาพที่ ๖ ปฐมพุทธศาสน์ (ปรินิพพาน)


หากไม่ได้อ่านเรื่องราวไปก่อน ไปอ่านที่วัดก็ได้นะครับ ตามใต้ภาพแต่ละภาพทางวัดมีบอกเล่าไว้ให้ครับ
จากนั้นก็เดินขึ้นชั้นที่.๒ กันต่อครับ  ทางเดินจะเป็นทางลาดเอียงวนขึ้นไปชั้นที่.๒
ระหว่างทางเดินนี้ก็จะเป็นสถานีทำบุญด้วยบัตรสมาร์ทการ์ด ๙ สถานี 



และรูปวาดจิตรกรรมร่วมสมัยที่ฝาผนัง




จะมีบริเวณชานพักให้สามารถพักชมบรรยากาศได้


ทางลาดเอียงวนไปแบบนี้ก่อนถึงชั้น.๒ , ๓ ครับ
ชั้นที่.๒ จัดแสดงเกี่ยวกับศาสนาพุทธในรูปแบบของนิกายต่าง ๆ ทั้งนิกายเถรวาท


นิกายมหายาน 


นิกายเซ็น เป็นต้น



ส่วนชั้นที่.๓ ก็จัดแสดงเกี่ยวกับพระธรรมปิฎก พระธรรมขันธ์ พุทธพจน์ต่าง ๆ



ชั้นดาดฟ้า ประดิษฐานพระพุทธรูปหล่อโลหะสำริดปิดทองปางลีลาพระพุทธลีลาประทานพร และรูปหล่อโลหะสำริดปิดทองหลวงพ่อคูณ 






ระเบียงดาดฟ้าสามารถเดินชมวิวรอบ ๆ ได้สบายครับ


จากนั้นก็เดินย้อนทางกลับลงมาด้านล่างเพื่อจะไปหามื้อเที่ยงกินแถว ๆ หน้าวัดกันครับเพราะปาไปบ่ายโมงเศษแล้ว 



พญานาค ๗ เศียรอยู่เฝ้าสระหน้าวิหาร มีชื่อว่า “ท้าวสัตตะมณีรังสีนาคราช” 



หากินข้าวเที่ยงกันแถวนี้ได้ครับ
หากินมื้อเที่ยงง่าย ๆ แถวหน้าวัด จากนั้นก็เดินกลับเข้าไปในวัดอีกรอบ  
คราวนี้เราจะเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์หลวงพ่อคูณกัน อาคารก็ตั้งอยู่แถว ๆ ป้ายวัดนั่นแหละครับ

เข้ามาแล้วค่อยถ่ายย้อนกลับไปยังทางเข้า




พระพุทธรูปหน้าประตูเข้าอาคาร
พิพิธภัณฑ์หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เดิมคือศาลาการเปรียญหลังเก่าของทางวัด 
ต่อมาได้ปรับปรุงใหม่เป็นพิพิธภัณฑ์หลวงพ่อคูณ เป็นอาคาร ๒ ชั้น ภายในแบ่งออกได้ ๑๐ โซน
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จเป็นองค์ประธานเปิดพิพิธภัณฑ์ฯ ณ วัดบ้านไร่ เมื่อวันพุธที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๒ เวลา ๑๔.๔๕ น.
พิพิธภัณฑ์หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เปิดให้เข้าชม เวลา วันอังคาร - วันศุกร์ ๑๐.๐๐ - ๑๖.๐๐ น. 
วันเสาร์ , วันอาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา ๙.๐๐ - ๑๗.๐๐ น.   โดยหยุดทุกวันจันทร์ 


บรรยากาศภายในพิพิธภัณฑ์แบบรวม ๆ ของชั้นล่างก็ประมาณนี้ครับ











ชั้นบนก็ประมาณนี้ครับ








พอลงมาชั้นล่างซึ่งเป็นคนละด้านกับทางขึ้น  ลงบันไดมาก็จะเป็นมุมจัดแสดงเหรียญต่าง ๆ เห็นแล้วอยากทุบตู้จริง ๆ ครับ ฮ่า ๆๆ







แหะ ๆ แต่ผมใจไม่ถึงพอที่จะทุบตู้  ดีว่าทางวัดมีบริการทำบุญแล้วหยอดตู้เพื่อรับเหรียญที่ระลึกของทางวัดแท้ ๆ 
ซึ่งผ่านการปลุกเสกจากหลวงพ่อคูณ  โดยทำบุญครั้งละ 50 .- แล้วนำไปหยอดตู้  ระบบจะซุ่มให้ว่าเราจะได้เหรียญรุ่นไหนจากจำนวน 12 รุ่น  



ตัวอย่างหนึ่งในเหรียญที่ผมได้รับมา  แค่นี้ก็โอเคแล้วครับสำหรับผม

ออกจากวัดบ้านไร่เกือบบ่ายสาม เรามุ่งหน้าเข้าโคราชโดยออกทาง หนองสรวง - ขามทะเลสอ  - ออกถนนมิตรภาพที่บ้านโคกกรวด
ทางเส้นนี้ดีกว่าเส้นสีคิ้ว - ด่านขุนทด เพราะเป็นถนนสี่เลนตลอดเส้นเหมาะสำหรับคนไม่ชอบขับแบบสองเลนสวน
ถ้าเทียบระยะทางกันโดยนับจากแยกสีคิ้วไปถึงวัดบ้านไร่   เส้นสีคิ้ว - โคกกรวด จะมีระยะมากกว่าประมาณ 30 กม. แต่ขับสบายกว่า


ราว ๆ สี่โมงเศษผมถึงบ้านเพื่อนที่โคราช พักผ่อนซักครู่แล้วค่อยเข้าครัวเตรียมทำอาหารเย็น มื้อนี้จัดซีฟู๊ดที่ขนมาจากพัทยา
เตรียมข้าวปลาอาหารเสร็จก็นั่งกินนั่งโม้นั่งจิบกันจนดึกดื่นเที่ยงคืนถึงค่อยแยกย้ายกันเข้านอน








ตื่นเช้ามาก็หาอะไรกินง่าย ๆ แล้วออกไปเที่ยวกันครับ รอบนี้เราจะไปเที่ยวแถวทางปากช่อง / ปาลิโอ้
เพราะขากลับบ้านเราตั้งใจจะกลับทางเส้นปักธงชัย จะได้แวะเที่ยวแถววังน้ำเขียว / บางคล้าก่อนเข้าบ้าน
อีกอย่าง ผบ.ผมมีเรื่องตั้งใจจะทำอยู่สองเรื่องคือไปซื้อตุ๊กตาหินแถวคลองไผ่ และไปซื้อของไว้แจกลูกค้าที่ร้านมาดามเฮง ในปาลีโอ้

สายหน่อยถึงคลองไผ่ก็แวะร้านที่อยู่ตามข้างทางเพื่อหาซื้อของที่ ผบ.ผมต้องการกันก่อน   
ก็ร้านที่ขายของสไตล์นี้แหละครับ แต่ไม่ได้ซื้อแบบนี้นะ  แล้วที่ต้องถ่อมาซื้อถึงแถวนี้เพราะราคาถูกกว่าร้านแถวบ้านเกือบครึ่งต่อครึ่งครับ 




ซื้อของที่ต้องการเสร็จก็แวะเข้าไปชมภาพเขียนสีโบราณในวัดเขาจันทน์งามกันครับ   ทางเข้าวัดอยู่แถว ๆ  ร้านที่ซื้อของนั่นแหละ 
ขับจากถนนมิตรภาพเข้ามาแค่ 3 - 4 กม.ก็ถึงเขตวัดแล้วครับ
วัดเขาจันทน์งาม  เดิมชื่อ วัดเลิศสวัสดิ์ เป็นวัดป่าที่บรรยากาศสงบเงียบ ร่มเย็น 
ตั้งอยู่ในส่วนหนึ่งของเขาจันทน์งาม บนเทือกเขาเขื่อนลั่น บ้านเลิศสวัสดิ์ ต.ลาดบัวขาว อ.สีคิ้ว ห่างจากหมู่บ้านราว 5 กม.
จุดเด่นของวัดนี้ที่มีชื่อเสียงได้แก่ ภาพเขียนสีโบราณ ที่มีอายุกว่า 4,000 ปี 


จอดรถเสร็จก็เดินเท้ากัน เดินไม่ไกลมากแต่ก็อย่าลืมติดน้ำดื่มไปด้วยนะครับ





จากที่จอดรถเดินไปไม่กี่สิบเมตรก็จะเจอทางสามแยกตรงนี้ครับ
ถ้าไปทางซ้ายจะไปที่พระอุโบสถ แต่เราเลือกที่จะไปทางขวามือเพื่อไปชมภาพเขียนสีครับ

จากการสำรวจในปี 2526  ทำให้พบแหล่งโบราณคดีที่สำคัญแห่งหนึ่งของภาคอีสาน ได้แก่ ภาพเขียนสี
บริเวณที่ปรากฏภาพเขียนสีเป็นเพิงผาหินทรายขนาดใหญ่ ตัวภาพอยู่สูงจากพื้นประมาณ 3 – 4 เมตร 
จากการศึกษาลักษณะภาพเขียนสีดังกล่าว พบว่า ภาพเขียน ๆ สีด้วยสีแดง
เพื่อเล่าเรื่องราวกิจกรรมของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย ราว 3,000 – 4,000 ปี มาแล้ว
ประกอบด้วย ภาพมนุษย์ 32 ภาพ แบ่งเป็นผู้ชาย 28 ภาพ ผู้หญิง 2 ภาพ เด็ก 1 ภาพ 
ภาพสัตว์ที่สำคัญคือ ไก่ หรือ นก  ภาพสัตว์คล้ายเม่น  ภาพสัตว์คล้ายเสือและสิงโต ภาพสุนัข
ภาพอาวุธ 1 ภาพ ได้แก่ คันธนูและลูกศร


จริง ๆ แล้วมีแยกขวาเพื่อไปภาพเขียนก่อน แต่เราเดินตรงไปก่อนโดยไปตามป้าย พระบาท 4 รอย /  พระพุทธไสยาสน์

ทางเดินก็ประมาณนี้ครับ ระยะทางไม่ไกลมาก




เดินไปไม่ไกลก็จะเห็นพระพุทธไสยาสน์พุทธมหามงคล  สีแดงสดเด่นเป็นสง่าอยู่ทางพุ่มไม้ซ้ายมือ



ด้านตรงข้ามก็เป็นพระสังกัจจาย สีแดงสดเช่นกัน  ทั้งสององค์เป็นพระพุทธรูปที่แกะสลักจากผาหินทราย
ลานเหนือพระพุทธไสยาสน์ก็คือ พระบาท 4 รอย  โดยมีทางเดินขึ้นอยู่ข้าง ๆ ครับ



เดินแค่นิดเดียวก็จะเป็นลานหินกว้าง ๆ มีการแกะสลักหินเป็นพระบาท 4 รอยไว้ที่พื้น


เดินย้อนกลับ พ้นลานพระพุทธไสยาสน์นิดเดียว ด้านซ้ายมือมีช่องแบบนี้  ลงไปได้นะครับ


ลงไปแล้ว กลับหลังหันมาก็เป็นทางแบบนี้ครับ


ส่วนด้านหน้าบันไดที่ลงมาก็จะเป็นลานหน้าภาพเขียนสีโบราณพอดี



ออกจากวัดเขาจันทน์งามราว ๆ เที่ยงครึ่งทั้งที่ยังเที่ยวชมไม่ทั่วเพราะทั้งหิวน้ำ และหิวข้าว
เรามุ่งหน้าไปถนนธนะรัชต์ ถนนที่จะขึ้น อช.เขาใหญ่นั่นแหละครับ เพราะตั้งใจจะไปกินข้าวเที่ยงที่ร้าน Steak in KhaoYai 
เคยมากินเมื่อซักสองสามปีก่อน จำได้ว่า อร่อยดีแล้วราคาก็ไม่แพงมาก

มารอบนี้ร้านปรับปรุงใหม่ ไฉไลกว่าเก่า




ด้านในร้านก็ปรับปรุงใหม่ ดูสดใสกว่าครั้งก่อน






มุมถ่ายรูปก็จัดใหม่แต่ยังใช้พร๊อพเก่า



ด้านหลังกำลังทำเป็นห้องพักเล็ก ๆ ด้วย
นอกจากปรับปรุงร้านใหม่  ราคาก็เป็นราคาใหม่ด้วย ทำเอาเลือกสั่งไม่ค่อยลงเลยครับ แหะ ๆๆ
สุดท้ายก็เลยเลือกสั่งโดยดูราคาเป็นเกณฑ์  พอได้มากินกันประมาณนี้ละครับ










น่าจะมีพอร์คชอปมั้งที่สั่งมา 2 ที่ เครื่องดื่มแค่น้ำเปล่า 
สรุปมื้อนี้สองพันสองนิด ๆ ยังใส่ได้ไม่ถึงครึ่งกระเพาะเลย  รอบหน้าต้องมองหาร้านอื่นแทนละครับฮ่า ๆๆ
ออกจากร้าน เรามุ่งหน้าไปที่ปาลิโอ้กันต่อครับ เสียแค่ค่าจอดรถคันละ 20.- แล้วก็เดินเข้าด้านในได้เลย
มารอบนี้บ่ายวันอาทิตย์แท้ ๆ  แต่สัมผัสได้เลยว่าปาลิโอ้คงอยู่ได้อีกไม่นาน  อาคารดูเก่า ๆ ร้าง ๆ 
ร้านรวงปิดไปเยอะ คนก็น้อยมาก ๆ  เดินถ่ายรูปสบาย ๆ ไม่เหมือนที่มาครั้งก่อน รอบนั้นคนแน่นถ่ายรูปไม่สนุกเลย 


















ออกจากปาลิโอ้เกือบสี่โมง รีบขับกลับโคราชเพราะกะจะแวะวัดโนนกุ่มอีกซักแห่งก่อน
วัดโนนกุ่มปิดห้าโมงเย็นก็เลยต้องรีบกันหน่อย ไปถึงวัดก็จวนเจียนเต็มทนครับ
วัดโนนกุ่ม อ.สีคิ้ว ตั้งอยู่ริมถนนมิตรภาพ อยู่เลยแยกด่านขุนทดไปไม่ไกล ห่างจากตัวเมืองนครราชสีมาประมาณ 40 กม.+
เป็นที่ประดิษฐานรูปหล่อทองเหลือง หลวงพ่อโต (สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี) ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ถึงตอนนี้วัดก็ยังก่อสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ ยังเหลืออีกเยอะมากที่ก่อสร้างค้างคาไว้ คงจะขาดเงินค่าก่อสร้างอีกเยอะมาก ๆ 








ออกจากวัดโนนกุ่มก็กลับเข้าบ้านเพื่อนที่โคราช ล้างหน้าล้างตาแล้วออกไปเดินตลาดนัดเซฟวันกันครับ
รอบนี้ตลาดดูทันสมัยขึ้น มีรถรับ-ส่งจากลานจอดเข้าในตลาดด้วย 
ร้านค้ามีทั้งแบบล๊อค ๆ เหมือนตลาดนัดทั่วไปกับมีแบบเป็นห้อง ๆ ร้านเยอะ สินค้าแยะ เดินกันเพลิน ละลายทรัพย์ไปพอสมควรครับ 




เรื่องมาเกิดอีตอนจะกลับบ้านนี่แหละครับ ระบบเกียร์มีปัญหาเพราะรถเป็นเกียร์ออโต้แต่สัญญาณโชว์ว่าเกียร์ค้างที่เกียร์ถอย
โยกคันเกียร์ขึ้นลงได้ แต่ยังไงเฟืองเกียร์ก็ยังค้างอยู่ที่เดิม ทำให้สตาร์ทไม่ได้ 
สุดท้ายเพื่อนของเพื่อนก็หาช่างมาช่วยแก้ไขให้  แต่ก็ทำให้ได้แค่พอกลับบ้านกันก่อนในตอนเกือบสี่ทุ่ม ก็ยังดีเนอะ 
ตื่นเช้ามาแค่ขยับหาที่จอดรถให้มันร่ม ๆ หน่อย อาการเดิมก็กลับมาอีก  เลยโทรติดต่อศูนย์โตโยต้าให้ส่งทีมซ่อมนอกสถานที่มาช่วยดูให้
รื้อไปรื้อมา สรุปคือชุดหัวสลิงสายเกียร์ที่เป็นพลาสติคแตกร้าว อะไหล่ก็ไม่มี แต่ช่างก็ดัดแปลงให้พอขับได้ก่อนแล้วค่อยไปเปลี่ยนที่พัทยา
กว่าจะเสร็จปาไปเกือบเที่ยง แผนเดิมที่กะจะกลับทางเขาปัก แล้วแวะเที่ยววังน้ำเขียว / บางคล้า ก็เลยต้องเปลี่ยนใหม่
เป็นวิ่งกลับทางสระบุรี เข้ามอเตอร์เวย์กลับบ้านเพราะเกรงจะมีปัญหาระหว่างทางอีก  อย่างน้อยวิ่งเส้นนี้น่าจะหาร้านหาอู่ซ่อมได้ง่ายกว่า
( กลับถึงพัทยา เข้าศูนย์ฯ เปลี่ยนชุดสายควบคุมเกียร์เส้นเดียวปัญหาจบ ในราคาเบ็ดเสร็จประมาณสามพันนิด ๆ ครับ ) 


ร่ำลาเพือนซี้ตอนเกือบเที่ยง แต่ ผบ.ยังมีภารกิจแถว ๆ ลานอนุสาวรีย์ย่าโมอีกหนึ่งอย่างนั้นคือหาซื้อปลาร้าทอดครับ
ก็เลยต้องวิ่งไปลานอนุสาวรีย์ย่าโมเพื่อให้ ผบ.ปฏิบัติการตามล่าหาปลาร้าทอด แถวตลาดแม่กิมเฮงกันก่อน ส่วนผมขอรอที่รถครับ 



บ่ายสองกว่า ๆ  มาถึงแถว ๆ ก่อนที่จะเข้ามวกเหล็ก ก็เลยแวะกินข้าวเที่ยงกันพร้อมทั้งพักรถไปในตัวที่ร้าน Dairy Home ครับ

ซื้อนม ซื้อขนมของฝากก็อาคารนี้





นั่งกินข้าวนั่งกินไอศครีมก็อาคารนี้




บรรยากาศด้านใน



ดูเมนูแล้วราคาเบากว่าร้านเมื่อวานเยอะอยู่เหมือนกัน  ช๊อบชอบครับ อิอิ
สั่งอาหารไปไม่นานก็ได้กินกันแล้วครับ ราคาเบา จานใหญ่ ปริมาณเยอะ คุ้มเงินที่จ่ายดีครับ









กินเสร็จก็ขับรถกลับบ้านโดยไม่ได้แวะเที่ยวไหนกันอีก  ก็คงต้องขอจบ รีวิวหนีวันไหลไปนอนโคราช ไว้เพียงเท่านี้ 
ขอบคุณข้อมูลจาก : Pantip