สวัสดีค่ะ ขอออกตัวก่อนว่านี่เป็นรีวิวแรกของเรา อาจจะงงงวย ตกหล่นไปบ้าง แต่ก็อยากแชร์ ให้ทุกคนเพราะว่าตัวเราเอง ก่อนไปพักที่ วรวีร์รีสอร์ท หาดูรีวิวยากมากคะ มีอยู่แค่ 2-3 รีวิว เท่านั้นเอง
เราจองห้องพักที่ วรวีร์ ไว้ช่วงปีใหม่คะ 3 วัน 2 คืน 31 - 1 - 2 ไปกันเป็นครอบครัวทั้งหมด 7 ชีวิตด้วยกัน ออกเดินทางจากบ้าน (นนทบุรี) ประมาณ 10 โมงกว่า เพราะทางรีสอร์ท แจ้งว่าเช็คอิน ได้บ่ายโมง รถติดบ้างเล็กน้อย แถวพระราม 2 มหาชัย ในที่สุดก็ถึง วรวีร์รีสอร์ท ประมาณ บ่าย 2 โมง
ส่วนรับรองของ รีสอร์ท เราไม่ได้ถ่ายมานะคะ ช่วงที่ไปเช็คอิน ชุลมุนนิดหน่อย บ้านที่เราจองไว้ คือ บ้านริมทางคะ หนึ่งหลังมีสามห้องนอน สามห้องน้ำ สามารถพักแยกกันได้คะ แต่เราจองหมดเลย เท่ากับทั้งหลังเป็นของครอบครัว เราหมดเลยคะ บ้านเราอยู่ริมทางเดิน ตามชื่อบ้านเลยคะ ในรูปคือหลังสีขาวแดงที่ต่อจากป้ายชื่อรีสอร์ท เลยคะ
ทางซ้ายมือของบ้านที่เราพัก ชื่อบ้านวรกาญจน์คะ มี สี่ห้องนอน แยกกันคะ
ส่วนบ้านวิลล่า มีสามห้องนอน หนึ่งห้องน้ำค่ะ รูปทรงบ้านก็คล้ายๆกับบ้านริมทางที่เราพัก เลยไม่ได้ถ่ายมาให้ดูค่ะ จริงๆ บ้านวิลล่านี่เหมาะสำหรับคนที่มาเป็นครอบครัวหรือมากันกลุ่มใหญ่ แต่ว่าที่บ้านเราไม่ชอบรอคิวเข้าห้องน้ำ เลยเลือกพักแบบที่แยกกันเพื่อความสะดวกสบายในการใช้ห้องน้ำค่ะ
หลังจากเข้าที่พักเรียบร้อย เก็บของพักผ่อน พอให้ หายเหนื่อย เราก็วางแผนจะออกไป จุดชมวิวสันเขื่อน โดยสอบถามเส้นทางจาก เจ้าหน้าที่ของทางรีสอร์ท เผื่อกันหลงทาง เนื่องจากเพิ่งเคยมาเขื่อนแก่งกระจานเป็นครั้งแรก ปรากฎว่า เราก็หลงอยู่ดี 5555
อันนี้ คือ อ่างเก็บน้ำอะไรสักอย่างที่เรา หลงไปเจอ แล้วเข้าใจว่า ใกล้ถึงจุดชมวิว สันเขื่อน แต่เปิด จีพีเอส ในโทรศัพท์ แล้วมันไม่ใช่อ่ะ -"-
สุดท้ายเราเจอ ป้ายโครงการชั่งหัวมัน เลยขับตามป้ายไปเที่ยวก่อน ตอนนั้นกะว่า จะได้ไม่เสียเที่ยว แต่ พอไปถึง เราก็ไม่ได้เข้าข้างในอยู่ดี เพราะว่า รถรางเที่ยว สุดท้ายตอน สี่โมงเย็น ออกไปแล้ว เราไปถึงตอนประมาณ สี่โมงสิบห้า อดเลย จริงๆ มีจักรยานให้ปั่น แต่ว่า คุณย่า กับ แม่ เราไม่สามารถกับจักรยาน เราเลยตัดสินใจไม่เข้าไปด้านใน
ถ่ายรูปเล่นกันอยู่ด้านนอกสักพัก เราก็ถามทางเจ้าหน้าที่ของโครงการ มายังจุดชมวิวสันเขื่อน รอบนี้เริ่มมั่นใจว่าจะไม่หลง เพราะเปิด จีพีเอส ประกอบไปด้วย น้องเราว่าถ้าเปิดตั้งแต่แรกก็ถึงนานละ 555
ในที่สุด เราก็มาถึงแล้วจ้า จุดชมวิวสันเขื่อน คนเยอะพอสมควรเลย โชคดีที่เราได้ที่จอดรถพอดี ไม่งั้น คงได้แค่ ขับรถผ่านเฉยๆ
น้องสาวเรา นางอยากได้รูปเหงาๆ 5555
ที่จุดชมวิวสันเขื่อน ถ้าใครสนใจจะไปล่องเรือชมเขื่อน ให้อาหารลิงก็สามารถ ทำได้ง่ายๆเลย เพราะว่าจะมีคนขี่มอไซด์ คอยเชื้อเชิญอยู่หลายเจ้า สนใจก็เรียกสอบถามได้เลย พี่เค้าจะมีสมุดภาพ บรรยายให้ฟังสั้นๆ ถ้าเราสนใจเค้าจะขี่มอไซด์นำเราไปขึ้นเรือ ซึ่งพอเราสอบถามราคาแล้ว ก็ตกลงใจไปกับเค้า เพราะราคาไม่ได้แพงมาก จริงๆ ที่รีสอร์ท ก็มีทริปนี้เหมือนกัน ราคาสูงกว่านิดหน่อย แต่ของทางรีสอร์ทจะพาไปไหว้พระด้วย ต้องเดินขึ้นบันไดหลายสิบขั้น สมาชิกเรามีผู้สูงอายุมาด้วย เลยไม่ได้ไปกับทางรีสอร์ท
อันนี้คือที่เค้าพาเรามา ขึ้นเรือ อย่าเข้าใจผิด ไม่ใช่ลำที่จอดอยู่จ้า ลำนั้นเล็กไป 555 ตรงที่เรารอเรือ มีคนมาตั้งเต็นท์ด้วย พี่เค้าบอกว่าบางคนเค้าก็มาเคาท์ดาวน์กัน
ระหว่างรอเรือ พระอาทิตย์ใกล้ตก แล้วววว
ในที่สุด เรือเล็กก็ได้ออกจากฝั่ง
ระยะเวลา ในการล่องเรือชมเขื่อน ใช้เวลาประมาณ 40 นาที ไฮไลท์ อยู่ที่การให้อาหารลิง แต่เราไม่กล้าให้นะ กลัวลิงกระโดดขึ้นมา สงสารน้องลิงเหมือนกัน มองใหญ่เลย คงชินกับการมีเรือมาให้อาหาร
ในที่สุด พระอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้า
ขากลับถึงพระอาทิตย์จะตก แต่ฟ้าก็ยังไม่มืดเท่าไหร่ พี่คนขับพาอ้อมกลับอีกทางนึง เจอธงแดงๆ ปักอยู่ อ่านไม่ทัน ขากลับพี่คนขับซิ่งมากกก
บนฝั่งก็เริ่มเห็นแสงไฟอยู่ริบๆ แล้ว
เราออกจากเขื่อนประมาณ หกโมงกว่าๆ วางแผนแวะซื้อของที่เซเว่น ไปตุนไว้ที่รีสอร์ท นิดหน่อย แต่เซเว่น คนล้นมากกกก เนื่องจากมีอยู่เซเว่นเดียว เราเลยแวะ มินิมาร์ทที่อยู่เยื้องๆ กัน พอทดแทนได้ ชื่อ CJ หลังจากนั้นก็ตรงกลับรีสอร์ทเลย เพราะก่อนออกมาเราสั่งข้าวไว้ที่รีสอร์ทแล้ว ซึ่งพี่เจ้าหน้าที่รีสอร์ท ใจดีมาก บอกเราว่า พอใกล้จะกลับก็โทรมาบอก ทางรีสอร์ทจะตั้งโต๊ะ เตรียมอาหารไว้ให้เลย
ตอนแรกก็ลุ้นกับ กับข้าวที่รีสอร์ท เหมือนกันว่าจะอร่อยมั้ย เพราะตอนแรก เราอยากไปกินร้านอาหารที่ริมเขื่อน ที่ดูข้อมูลมา แต่คุณหญิงแม่ ของเราบอกว่า วันที่ 31 แบบนี้คนมันเยอะ กลัวรอนาน เด๋วเสียอารมณ์ป่าวๆ กินที่รีสอร์ทไปก่อนไม่ต้องรอนาน เป็นส่วนตัวด้วย เพราะถ้าใครอยากกินข้าวที่หน้าห้องตัวเอง เค้าก็มีบริการมากางโต๊ะให้ ไม่ต้องเดินไปกินที่ห้องอาหาร
ขอบอกว่าอาหารที่รีสอร์ท อร่อยมากกกกก ก ไก่ ล้านตัว ไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ สั่งมาหก อย่าง ต้มยำปลาคัง ผักกูดผัดน้ำมันหอย ยำตะไคร้กุ้งสด ลาบหมู ส้มตำทอด ปลานิลทอดน้ำปลา ข้าวสองโถ หมดทุกอย่าง
ลืมถ่ายรูปอ่ะ รู้ตัวอีกที หมดละ
กินอิ่มแล้ว เด๋ว เราพามาดูบรรยากาศ รีสอร์ท ตอนค่ำๆ กันบ้าง
ม้านั่งแบบนี้ จะมีอยู่หน้าห้องพักของที่นี่ เอาไว้นั่งเล่นชิล ชิล
พามาดู ข้างในห้องกันบ้าง ในห้องจะมีสองเตียง ทางรีสอร์ท กำหนดให้พักห้องละ 2 คน แต่เราว่าถ้าเสริม มากกว่านี้ก็ไม่อึดอัดนะ ห้องกว้างดี
อีกเตียงเราไว้วางของ รกไปหน่อย เพราะนอกจากโต๊ะข้างเตียงแล้ว ก็ไม่มีอะไร ให้วางของเลย
ส่วนนี้เป็น ห้องน้ำ กับตู้เสื้อผ้า ในห้องมีตู้เย็นเล็กๆ ให้ด้วย แต่ไม่มีกระติกน้ำร้อน มีปลั๊กไฟ เยอะดีชอบ ไม่ต้องแย่งกันชาร์ตแบต โทรศัพท์ แต่ที่รีสอร์ท ไม่มีไวไฟ นะจ๊ะ
ขอติ ห้องน้ำนิดนึง ส่วนเปียกไม่มีที่กั้น เวลาอาบน้ำ น้ำจะเลอะพื้น ส่วนที่เป็นอ่างล้างหน้าไปด้วยอ่ะ วันกลับเราก็เลยบอกเจ้าหน้าที่รีสอร์ท พี่เค้าบอกว่าในอนาคต จะมีกระจกกั้น แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ติดตั้ง
เช้ววันใหม่ ในปีใหม่ของเรามาถึงเร็วมาก เพราะวันนี้เราจะขึ้นเขาพะเนินทุ่ง โดยทางรีสอร์ท นัดให้รถมารับเราที่รีสอร์ท ตอนตีห้า
เราออกจากห้อง มาที่ส่วนหน้าของรีสอร์ท ประมาณ 4.45 น. เจ้าของรีสอร์ท กับรถที่จะพาเราไปมารอแล้ว ก็เลยออกเดินทางกันเลย เพราะพี่คนขับบอกว่าวันนี้รถจะติด คนจะขึ้นพะเนินทุ่งเยอะมาก เจ้าของรีสอร์ท ส่งเราขึ้นรถ และแจ้งว่า จะเก็บอาหารเช้าเอาไว้ให้ เราจะลงมาถึงรีสอร์ท ประมาณ สิบโมงกว่าๆ ( ส่วนนี้ แอบประทับใจเจ้าของ ที่ตื่นมาส่งเราแต่เช้ามาก )
ออกเดินทาง พอผ่านจุดค่าผ่านทางเข้าอุทยาน พี่คนขับแวะจอดโดยแจ้งกับเราว่า ต่อจากนี้ไป อีก 15 กิโล จะใช้เวลาประมาณ ชั่วโมงกว่า ให้เข้าห้องน้ำและซื้อของกินรองท้อง เพราะรถจะติด เราซื้อแต่ของกิน ห้องน้ำไม่เข้า ต่อคิวยาวมากกก ยาวไป ( แอบไม่เชื่อนิดนึง ว่ารถมันจะติดขนาดนั้นจริงหรือ )
ติดจริงจ้า ตั้งแต่ฟ้ามืดยันสว่าง จนพี่คนขับดับเครื่อง ลงมาคุยกับเรา และรถคนอื่นๆ ได้เลย ของกินที่ซื้อมา ได้กินก็ตอนนี้ละ พี่คนขับบอกว่า ปกติต้องเสียค่าเข้า คนไทยคนละ 100 บาท อุทยานพึ่งขึ้นราคา แต่ช่วงปีใหม่ เปิดให้เข้าฟรี
สำหรับคนที่ไม่อยากเสียเงินเหมารถ ขึ้นมาก็สามารถ เอารถขึ้นมาได้เองนะ แนะนำเป็น รถขับเคลื่อนสี่ล้อ รถเก่งกับรถตู้ เจ้าหน้าที่อุทยานไม่อนุญาติให้นำขึ้นนะ อย่างคันที่ต่อหลังเรา ก็มาจาก กทม. พี่คนขับของเรา ก็เดินไปคุย คนขับเราอัธยาศัยดีมั่กๆ เป็นทั้งคนขับและไกด์ ไปในตัว
เห็นแถวยาว ขนาดนี้ ตอนนั้นคิดในใจ หมอก คงไม่อยู่รอ พระอาทิตย์ก็ขึ้นแล้ว แต่พี่คนขับบอกว่า ปกติถ้าไม่มีลมแรง หมอกจะอยู่จนถึงประมาณ 10 โมง ต้องลุ้นดู
ในที่สุด เราก็มาถึง จุดชมวิวแรกกม.30 ซึ่งรถเยอะมากๆไม่มีที่จอดเลย ยาวเป็นกิโล เราผ่านไปเลยคะ ไม่ได้ลง พี่คนขับจึงพาเราไปจุดชมวิวที่สอง คือ กม. 36 ซึ่งอยู่ห่างจากจุดแรกประมาณ 6 กม.
โชคดีจังยังมีหมอกให้เห็น จุดนี้คนน้อยกว่าจุดแรกมากเลยค่ะ ถ่ายรูปกันแบบสบายๆ ไม่แออัด
ขาลง เจ้าหน้าที่อุทยานเปิดให้ลงจากพะเนินทุ่ง เวลา 9 โมง ก่อนลงจากพะเนินทุ่งเราถามพี่คนขับว่าจะเห็นผีเสื้อมั้ย คำตอบคือไม่จ้า เสียใจเบาๆ พี่เค้าแนะนำว่าถ้าใครอยากมาดูผีเสื้อ ให้มาช่วงปลายเดือนเมษายนหรือเดือนพฤษภาคม จะมีผีเสื้อให้ดูเยอะเลย และหมอกก็จะสวยด้วย
จุดที่มีลำธาร ถ้ามาตามช่วงที่พี่เค้าแนะนำจะมีผีเสื้ออยู่บริเวณนี้จ้า
อันนี้บังเอิญเห็น แต่ไม่เห็นลิงนะ สงสัย คนเยอะ รถเยอะ เค้าเลยไม่ออกมา
ออกจากอุทยานพี่เค้าพาแวะดูบัวผุด ข้างทาง ต้องจอดรถไว้ข้างทางแล้วเดินเข้าไป วันที่เราไปไม่มีดอกที่บานเลย มีแต่ดอกตูมกับดอกที่โรยแล้ว พี่คนขับบอกว่า ถ้ามันบานจะเหมือนดอกบัวมาก มีขึ้นตามพื้นดินเยอะพอสมควร ชื่ออย่างเป็นทางการชื่อ " กระโถนพระราม "
จุดสุดท้ายที่ พี่คนขับแวะให้ถ่ายรูปคือ อุโมงค์กระถิ่น
จากนั้นก็มุ่งหน้ากลับรีสอร์ท กว่าจะถึง 11 โมงกว่าเกือบเที่ยง แม่เจ้า !!! ตอนนั้นกะว่าที่เจ้าของรีสอร์ทบอกว่าจะเก็บอาหารเช้าไว้ให้ เค้าคงไม่รอเราแล้ว
แต่ว่าพอไปถึงรีสอร์ท ก็มีเจ้าหน้าที่มาตอนรับ บอกว่าเตรียมอาหารไว้ให้แล้ว ให้กินเยอะๆ เผื่อข้าวเที่ยงไปด้วยเลย ที่รีสอร์ทเตรียมโจ๊ก ผลไม้ ขนมปังปิงไว้ให้ หิวมาก ถ่ายมาแต่โจ๊ก อย่างเดียว พอเริ่มกินก็เริ่มไม่สนใจถ่ายอย่างละ 555
หลังจากกินข้าวเช้าข้าวเที่ยง มื้อเดียวกันเสร็จ เราก็กลับห้องไปนอน หลับสบายมาก พอบ่าย 3 โมงก็ออกมาเตรียมตัวไปล่องเรือยาง โดยมีพี่เจ้าของรีสอร์ท ขับรถตู้ไปส่งเราที่รีสอร์ทต้นทาง ครั้งนี้ไม่มีรูปถ่าย เพราะเราไม่กล้าเอาโทรศัพท์กับกล้องไป ถึงแม้พี่เค้าจะยื่นยันว่า ถ้าเราไม่ลงเล่นน้ำ เราจะไม่เปียก แต่ก็ไม่กล้าเสียง อยู่ดี
พอมาขึ้นหน้ารีสอร์ทเราก็ลงเล่นน้ำต่อเลย น้ำใสมาก แต่น้ำแรง โชคดีที่ตรงรีสอร์ทน้ำตื้น ยืนถึง
น้ำใสมากจริงๆ เห็นสาหร่ายข้างใต้น้ำเลย
บรรยากาศริมน้ำ
จากริมน้ำ มองเข้าไปเห็นบ้านพักเรา ซึ่งเป็นบ้านที่ห่างจากริมน้ำมากกว่าบ้านแบบอื่นๆ แต่มีสนามหญ้ากว้างมาก อยากพาลูกสมุนที่บ้านมาด้วยจัง ซึ่งก่อนกลับแฟนเราถาม พี่เค้าก็บอกว่าเอามาได้ ก่อนหน้านี้ก็มีคนพามา
เย็นนี้เราก็กินข้าวที่รีสอร์ท เหมือนเดิม เนื่องจากหมดแรง ออกไปข้างนอกและสมาชิกส่วนใหญ่ ติดใจรสมือแม่ครัว ก็ตั้งโต๊ะด้านหน้าเหมือนเดิม เพราะเราสั่งอาหารไว้ตั้งแต่ก่อนไปล่องเรือ
วันนี้ อาหารได้ช้านิดหน่อย แต่อร่อยเหมือนเดิม
เช้าวันที่ 2 มกรา วันสุดท้ายของการเดินทาง ตื่นเช้ามาเราไปเดินริมน้ำ น้ำแห้งมาก ทราบภายหลังว่าน้ำจะปล่อยจากเขื่อนมาเป็นเวลา
หลังจากกินข้าวเช้าที่รีสอร์ท ก่อนกลับบ้านเราแวะไปสะพานแขวน มีป้ายว่ากำลังซ่อมแซมไปได้แค่ครึ่งสะพาน
รูปสุดท้ายของทริปนี้ จุดกลางเต็นอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน
สรุป
- วรวีร์ รีสอร์ท บริการดีมาก พนักงาน เจ้าของ บริการดีมาก พูดจาดี เต็มใจดูแลทุกอย่าง อาหารอร่อยด้วย สำหรับเรา การบริการที่ได้รับเมื่อเทียบกับราคาแล้วเหมาะสม
- วรวีร์ รีสอร์ท เหมาะสำหรับคนที่ต้องการมาพักผ่อนแบบเงียบๆ เป็นส่วนตัว ไม่วุ่นวาย อย่างเราชอบทำกิจกรรม แต่ก็อยากนอนเงียบๆ สบายๆ เราเลือกที่นี่ เพราะถึงรีสอร์ทจะไม่มีกิจกรรม แต่ก็สามารถเจ้าหน้าที่ของรีสอร์ทประสานงานกิจกรรม ที่ต้องการเป็นพิเศษได้
สุดท้ายนี้ ถ้ามีอะไรผิดพลาดไปขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย สำหรับรีวิว แรกของเรา ^^
ขอบคุณข้อมูลจาก Pantip
Cr. หวัง ใจ หมาย ปอง คิด
เราจองห้องพักที่ วรวีร์ ไว้ช่วงปีใหม่คะ 3 วัน 2 คืน 31 - 1 - 2 ไปกันเป็นครอบครัวทั้งหมด 7 ชีวิตด้วยกัน ออกเดินทางจากบ้าน (นนทบุรี) ประมาณ 10 โมงกว่า เพราะทางรีสอร์ท แจ้งว่าเช็คอิน ได้บ่ายโมง รถติดบ้างเล็กน้อย แถวพระราม 2 มหาชัย ในที่สุดก็ถึง วรวีร์รีสอร์ท ประมาณ บ่าย 2 โมง
ส่วนรับรองของ รีสอร์ท เราไม่ได้ถ่ายมานะคะ ช่วงที่ไปเช็คอิน ชุลมุนนิดหน่อย บ้านที่เราจองไว้ คือ บ้านริมทางคะ หนึ่งหลังมีสามห้องนอน สามห้องน้ำ สามารถพักแยกกันได้คะ แต่เราจองหมดเลย เท่ากับทั้งหลังเป็นของครอบครัว เราหมดเลยคะ บ้านเราอยู่ริมทางเดิน ตามชื่อบ้านเลยคะ ในรูปคือหลังสีขาวแดงที่ต่อจากป้ายชื่อรีสอร์ท เลยคะ
ทางซ้ายมือของบ้านที่เราพัก ชื่อบ้านวรกาญจน์คะ มี สี่ห้องนอน แยกกันคะ
ส่วนบ้านวิลล่า มีสามห้องนอน หนึ่งห้องน้ำค่ะ รูปทรงบ้านก็คล้ายๆกับบ้านริมทางที่เราพัก เลยไม่ได้ถ่ายมาให้ดูค่ะ จริงๆ บ้านวิลล่านี่เหมาะสำหรับคนที่มาเป็นครอบครัวหรือมากันกลุ่มใหญ่ แต่ว่าที่บ้านเราไม่ชอบรอคิวเข้าห้องน้ำ เลยเลือกพักแบบที่แยกกันเพื่อความสะดวกสบายในการใช้ห้องน้ำค่ะ
หลังจากเข้าที่พักเรียบร้อย เก็บของพักผ่อน พอให้ หายเหนื่อย เราก็วางแผนจะออกไป จุดชมวิวสันเขื่อน โดยสอบถามเส้นทางจาก เจ้าหน้าที่ของทางรีสอร์ท เผื่อกันหลงทาง เนื่องจากเพิ่งเคยมาเขื่อนแก่งกระจานเป็นครั้งแรก ปรากฎว่า เราก็หลงอยู่ดี 5555
อันนี้ คือ อ่างเก็บน้ำอะไรสักอย่างที่เรา หลงไปเจอ แล้วเข้าใจว่า ใกล้ถึงจุดชมวิว สันเขื่อน แต่เปิด จีพีเอส ในโทรศัพท์ แล้วมันไม่ใช่อ่ะ -"-
สุดท้ายเราเจอ ป้ายโครงการชั่งหัวมัน เลยขับตามป้ายไปเที่ยวก่อน ตอนนั้นกะว่า จะได้ไม่เสียเที่ยว แต่ พอไปถึง เราก็ไม่ได้เข้าข้างในอยู่ดี เพราะว่า รถรางเที่ยว สุดท้ายตอน สี่โมงเย็น ออกไปแล้ว เราไปถึงตอนประมาณ สี่โมงสิบห้า อดเลย จริงๆ มีจักรยานให้ปั่น แต่ว่า คุณย่า กับ แม่ เราไม่สามารถกับจักรยาน เราเลยตัดสินใจไม่เข้าไปด้านใน
ถ่ายรูปเล่นกันอยู่ด้านนอกสักพัก เราก็ถามทางเจ้าหน้าที่ของโครงการ มายังจุดชมวิวสันเขื่อน รอบนี้เริ่มมั่นใจว่าจะไม่หลง เพราะเปิด จีพีเอส ประกอบไปด้วย น้องเราว่าถ้าเปิดตั้งแต่แรกก็ถึงนานละ 555
ในที่สุด เราก็มาถึงแล้วจ้า จุดชมวิวสันเขื่อน คนเยอะพอสมควรเลย โชคดีที่เราได้ที่จอดรถพอดี ไม่งั้น คงได้แค่ ขับรถผ่านเฉยๆ
น้องสาวเรา นางอยากได้รูปเหงาๆ 5555
ที่จุดชมวิวสันเขื่อน ถ้าใครสนใจจะไปล่องเรือชมเขื่อน ให้อาหารลิงก็สามารถ ทำได้ง่ายๆเลย เพราะว่าจะมีคนขี่มอไซด์ คอยเชื้อเชิญอยู่หลายเจ้า สนใจก็เรียกสอบถามได้เลย พี่เค้าจะมีสมุดภาพ บรรยายให้ฟังสั้นๆ ถ้าเราสนใจเค้าจะขี่มอไซด์นำเราไปขึ้นเรือ ซึ่งพอเราสอบถามราคาแล้ว ก็ตกลงใจไปกับเค้า เพราะราคาไม่ได้แพงมาก จริงๆ ที่รีสอร์ท ก็มีทริปนี้เหมือนกัน ราคาสูงกว่านิดหน่อย แต่ของทางรีสอร์ทจะพาไปไหว้พระด้วย ต้องเดินขึ้นบันไดหลายสิบขั้น สมาชิกเรามีผู้สูงอายุมาด้วย เลยไม่ได้ไปกับทางรีสอร์ท
อันนี้คือที่เค้าพาเรามา ขึ้นเรือ อย่าเข้าใจผิด ไม่ใช่ลำที่จอดอยู่จ้า ลำนั้นเล็กไป 555 ตรงที่เรารอเรือ มีคนมาตั้งเต็นท์ด้วย พี่เค้าบอกว่าบางคนเค้าก็มาเคาท์ดาวน์กัน
ระหว่างรอเรือ พระอาทิตย์ใกล้ตก แล้วววว
ในที่สุด เรือเล็กก็ได้ออกจากฝั่ง
ระยะเวลา ในการล่องเรือชมเขื่อน ใช้เวลาประมาณ 40 นาที ไฮไลท์ อยู่ที่การให้อาหารลิง แต่เราไม่กล้าให้นะ กลัวลิงกระโดดขึ้นมา สงสารน้องลิงเหมือนกัน มองใหญ่เลย คงชินกับการมีเรือมาให้อาหาร
ในที่สุด พระอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้า
ขากลับถึงพระอาทิตย์จะตก แต่ฟ้าก็ยังไม่มืดเท่าไหร่ พี่คนขับพาอ้อมกลับอีกทางนึง เจอธงแดงๆ ปักอยู่ อ่านไม่ทัน ขากลับพี่คนขับซิ่งมากกก
บนฝั่งก็เริ่มเห็นแสงไฟอยู่ริบๆ แล้ว
เราออกจากเขื่อนประมาณ หกโมงกว่าๆ วางแผนแวะซื้อของที่เซเว่น ไปตุนไว้ที่รีสอร์ท นิดหน่อย แต่เซเว่น คนล้นมากกกก เนื่องจากมีอยู่เซเว่นเดียว เราเลยแวะ มินิมาร์ทที่อยู่เยื้องๆ กัน พอทดแทนได้ ชื่อ CJ หลังจากนั้นก็ตรงกลับรีสอร์ทเลย เพราะก่อนออกมาเราสั่งข้าวไว้ที่รีสอร์ทแล้ว ซึ่งพี่เจ้าหน้าที่รีสอร์ท ใจดีมาก บอกเราว่า พอใกล้จะกลับก็โทรมาบอก ทางรีสอร์ทจะตั้งโต๊ะ เตรียมอาหารไว้ให้เลย
ตอนแรกก็ลุ้นกับ กับข้าวที่รีสอร์ท เหมือนกันว่าจะอร่อยมั้ย เพราะตอนแรก เราอยากไปกินร้านอาหารที่ริมเขื่อน ที่ดูข้อมูลมา แต่คุณหญิงแม่ ของเราบอกว่า วันที่ 31 แบบนี้คนมันเยอะ กลัวรอนาน เด๋วเสียอารมณ์ป่าวๆ กินที่รีสอร์ทไปก่อนไม่ต้องรอนาน เป็นส่วนตัวด้วย เพราะถ้าใครอยากกินข้าวที่หน้าห้องตัวเอง เค้าก็มีบริการมากางโต๊ะให้ ไม่ต้องเดินไปกินที่ห้องอาหาร
ขอบอกว่าอาหารที่รีสอร์ท อร่อยมากกกกก ก ไก่ ล้านตัว ไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ สั่งมาหก อย่าง ต้มยำปลาคัง ผักกูดผัดน้ำมันหอย ยำตะไคร้กุ้งสด ลาบหมู ส้มตำทอด ปลานิลทอดน้ำปลา ข้าวสองโถ หมดทุกอย่าง
ลืมถ่ายรูปอ่ะ รู้ตัวอีกที หมดละ
กินอิ่มแล้ว เด๋ว เราพามาดูบรรยากาศ รีสอร์ท ตอนค่ำๆ กันบ้าง
ม้านั่งแบบนี้ จะมีอยู่หน้าห้องพักของที่นี่ เอาไว้นั่งเล่นชิล ชิล
พามาดู ข้างในห้องกันบ้าง ในห้องจะมีสองเตียง ทางรีสอร์ท กำหนดให้พักห้องละ 2 คน แต่เราว่าถ้าเสริม มากกว่านี้ก็ไม่อึดอัดนะ ห้องกว้างดี
อีกเตียงเราไว้วางของ รกไปหน่อย เพราะนอกจากโต๊ะข้างเตียงแล้ว ก็ไม่มีอะไร ให้วางของเลย
ส่วนนี้เป็น ห้องน้ำ กับตู้เสื้อผ้า ในห้องมีตู้เย็นเล็กๆ ให้ด้วย แต่ไม่มีกระติกน้ำร้อน มีปลั๊กไฟ เยอะดีชอบ ไม่ต้องแย่งกันชาร์ตแบต โทรศัพท์ แต่ที่รีสอร์ท ไม่มีไวไฟ นะจ๊ะ
ขอติ ห้องน้ำนิดนึง ส่วนเปียกไม่มีที่กั้น เวลาอาบน้ำ น้ำจะเลอะพื้น ส่วนที่เป็นอ่างล้างหน้าไปด้วยอ่ะ วันกลับเราก็เลยบอกเจ้าหน้าที่รีสอร์ท พี่เค้าบอกว่าในอนาคต จะมีกระจกกั้น แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ติดตั้ง
เช้ววันใหม่ ในปีใหม่ของเรามาถึงเร็วมาก เพราะวันนี้เราจะขึ้นเขาพะเนินทุ่ง โดยทางรีสอร์ท นัดให้รถมารับเราที่รีสอร์ท ตอนตีห้า
เราออกจากห้อง มาที่ส่วนหน้าของรีสอร์ท ประมาณ 4.45 น. เจ้าของรีสอร์ท กับรถที่จะพาเราไปมารอแล้ว ก็เลยออกเดินทางกันเลย เพราะพี่คนขับบอกว่าวันนี้รถจะติด คนจะขึ้นพะเนินทุ่งเยอะมาก เจ้าของรีสอร์ท ส่งเราขึ้นรถ และแจ้งว่า จะเก็บอาหารเช้าเอาไว้ให้ เราจะลงมาถึงรีสอร์ท ประมาณ สิบโมงกว่าๆ ( ส่วนนี้ แอบประทับใจเจ้าของ ที่ตื่นมาส่งเราแต่เช้ามาก )
ออกเดินทาง พอผ่านจุดค่าผ่านทางเข้าอุทยาน พี่คนขับแวะจอดโดยแจ้งกับเราว่า ต่อจากนี้ไป อีก 15 กิโล จะใช้เวลาประมาณ ชั่วโมงกว่า ให้เข้าห้องน้ำและซื้อของกินรองท้อง เพราะรถจะติด เราซื้อแต่ของกิน ห้องน้ำไม่เข้า ต่อคิวยาวมากกก ยาวไป ( แอบไม่เชื่อนิดนึง ว่ารถมันจะติดขนาดนั้นจริงหรือ )
ติดจริงจ้า ตั้งแต่ฟ้ามืดยันสว่าง จนพี่คนขับดับเครื่อง ลงมาคุยกับเรา และรถคนอื่นๆ ได้เลย ของกินที่ซื้อมา ได้กินก็ตอนนี้ละ พี่คนขับบอกว่า ปกติต้องเสียค่าเข้า คนไทยคนละ 100 บาท อุทยานพึ่งขึ้นราคา แต่ช่วงปีใหม่ เปิดให้เข้าฟรี
สำหรับคนที่ไม่อยากเสียเงินเหมารถ ขึ้นมาก็สามารถ เอารถขึ้นมาได้เองนะ แนะนำเป็น รถขับเคลื่อนสี่ล้อ รถเก่งกับรถตู้ เจ้าหน้าที่อุทยานไม่อนุญาติให้นำขึ้นนะ อย่างคันที่ต่อหลังเรา ก็มาจาก กทม. พี่คนขับของเรา ก็เดินไปคุย คนขับเราอัธยาศัยดีมั่กๆ เป็นทั้งคนขับและไกด์ ไปในตัว
เห็นแถวยาว ขนาดนี้ ตอนนั้นคิดในใจ หมอก คงไม่อยู่รอ พระอาทิตย์ก็ขึ้นแล้ว แต่พี่คนขับบอกว่า ปกติถ้าไม่มีลมแรง หมอกจะอยู่จนถึงประมาณ 10 โมง ต้องลุ้นดู
ในที่สุด เราก็มาถึง จุดชมวิวแรกกม.30 ซึ่งรถเยอะมากๆไม่มีที่จอดเลย ยาวเป็นกิโล เราผ่านไปเลยคะ ไม่ได้ลง พี่คนขับจึงพาเราไปจุดชมวิวที่สอง คือ กม. 36 ซึ่งอยู่ห่างจากจุดแรกประมาณ 6 กม.
โชคดีจังยังมีหมอกให้เห็น จุดนี้คนน้อยกว่าจุดแรกมากเลยค่ะ ถ่ายรูปกันแบบสบายๆ ไม่แออัด
ขาลง เจ้าหน้าที่อุทยานเปิดให้ลงจากพะเนินทุ่ง เวลา 9 โมง ก่อนลงจากพะเนินทุ่งเราถามพี่คนขับว่าจะเห็นผีเสื้อมั้ย คำตอบคือไม่จ้า เสียใจเบาๆ พี่เค้าแนะนำว่าถ้าใครอยากมาดูผีเสื้อ ให้มาช่วงปลายเดือนเมษายนหรือเดือนพฤษภาคม จะมีผีเสื้อให้ดูเยอะเลย และหมอกก็จะสวยด้วย
จุดที่มีลำธาร ถ้ามาตามช่วงที่พี่เค้าแนะนำจะมีผีเสื้ออยู่บริเวณนี้จ้า
อันนี้บังเอิญเห็น แต่ไม่เห็นลิงนะ สงสัย คนเยอะ รถเยอะ เค้าเลยไม่ออกมา
ออกจากอุทยานพี่เค้าพาแวะดูบัวผุด ข้างทาง ต้องจอดรถไว้ข้างทางแล้วเดินเข้าไป วันที่เราไปไม่มีดอกที่บานเลย มีแต่ดอกตูมกับดอกที่โรยแล้ว พี่คนขับบอกว่า ถ้ามันบานจะเหมือนดอกบัวมาก มีขึ้นตามพื้นดินเยอะพอสมควร ชื่ออย่างเป็นทางการชื่อ " กระโถนพระราม "
จุดสุดท้ายที่ พี่คนขับแวะให้ถ่ายรูปคือ อุโมงค์กระถิ่น
จากนั้นก็มุ่งหน้ากลับรีสอร์ท กว่าจะถึง 11 โมงกว่าเกือบเที่ยง แม่เจ้า !!! ตอนนั้นกะว่าที่เจ้าของรีสอร์ทบอกว่าจะเก็บอาหารเช้าไว้ให้ เค้าคงไม่รอเราแล้ว
แต่ว่าพอไปถึงรีสอร์ท ก็มีเจ้าหน้าที่มาตอนรับ บอกว่าเตรียมอาหารไว้ให้แล้ว ให้กินเยอะๆ เผื่อข้าวเที่ยงไปด้วยเลย ที่รีสอร์ทเตรียมโจ๊ก ผลไม้ ขนมปังปิงไว้ให้ หิวมาก ถ่ายมาแต่โจ๊ก อย่างเดียว พอเริ่มกินก็เริ่มไม่สนใจถ่ายอย่างละ 555
หลังจากกินข้าวเช้าข้าวเที่ยง มื้อเดียวกันเสร็จ เราก็กลับห้องไปนอน หลับสบายมาก พอบ่าย 3 โมงก็ออกมาเตรียมตัวไปล่องเรือยาง โดยมีพี่เจ้าของรีสอร์ท ขับรถตู้ไปส่งเราที่รีสอร์ทต้นทาง ครั้งนี้ไม่มีรูปถ่าย เพราะเราไม่กล้าเอาโทรศัพท์กับกล้องไป ถึงแม้พี่เค้าจะยื่นยันว่า ถ้าเราไม่ลงเล่นน้ำ เราจะไม่เปียก แต่ก็ไม่กล้าเสียง อยู่ดี
พอมาขึ้นหน้ารีสอร์ทเราก็ลงเล่นน้ำต่อเลย น้ำใสมาก แต่น้ำแรง โชคดีที่ตรงรีสอร์ทน้ำตื้น ยืนถึง
น้ำใสมากจริงๆ เห็นสาหร่ายข้างใต้น้ำเลย
บรรยากาศริมน้ำ
จากริมน้ำ มองเข้าไปเห็นบ้านพักเรา ซึ่งเป็นบ้านที่ห่างจากริมน้ำมากกว่าบ้านแบบอื่นๆ แต่มีสนามหญ้ากว้างมาก อยากพาลูกสมุนที่บ้านมาด้วยจัง ซึ่งก่อนกลับแฟนเราถาม พี่เค้าก็บอกว่าเอามาได้ ก่อนหน้านี้ก็มีคนพามา
เย็นนี้เราก็กินข้าวที่รีสอร์ท เหมือนเดิม เนื่องจากหมดแรง ออกไปข้างนอกและสมาชิกส่วนใหญ่ ติดใจรสมือแม่ครัว ก็ตั้งโต๊ะด้านหน้าเหมือนเดิม เพราะเราสั่งอาหารไว้ตั้งแต่ก่อนไปล่องเรือ
วันนี้ อาหารได้ช้านิดหน่อย แต่อร่อยเหมือนเดิม
เช้าวันที่ 2 มกรา วันสุดท้ายของการเดินทาง ตื่นเช้ามาเราไปเดินริมน้ำ น้ำแห้งมาก ทราบภายหลังว่าน้ำจะปล่อยจากเขื่อนมาเป็นเวลา
หลังจากกินข้าวเช้าที่รีสอร์ท ก่อนกลับบ้านเราแวะไปสะพานแขวน มีป้ายว่ากำลังซ่อมแซมไปได้แค่ครึ่งสะพาน
รูปสุดท้ายของทริปนี้ จุดกลางเต็นอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน
สรุป
- วรวีร์ รีสอร์ท บริการดีมาก พนักงาน เจ้าของ บริการดีมาก พูดจาดี เต็มใจดูแลทุกอย่าง อาหารอร่อยด้วย สำหรับเรา การบริการที่ได้รับเมื่อเทียบกับราคาแล้วเหมาะสม
- วรวีร์ รีสอร์ท เหมาะสำหรับคนที่ต้องการมาพักผ่อนแบบเงียบๆ เป็นส่วนตัว ไม่วุ่นวาย อย่างเราชอบทำกิจกรรม แต่ก็อยากนอนเงียบๆ สบายๆ เราเลือกที่นี่ เพราะถึงรีสอร์ทจะไม่มีกิจกรรม แต่ก็สามารถเจ้าหน้าที่ของรีสอร์ทประสานงานกิจกรรม ที่ต้องการเป็นพิเศษได้
สุดท้ายนี้ ถ้ามีอะไรผิดพลาดไปขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย สำหรับรีวิว แรกของเรา ^^
ขอบคุณข้อมูลจาก Pantip
Cr. หวัง ใจ หมาย ปอง คิด