เฮนโหล ! เพื่อนพ้องน้องพี่ ^^
เร่เข้ามาทางนี้ เราจะพาไปติดเกาะ . . เกาะแน่นๆ แน่นหน่อยนะน้องนะ ตื้อ ดือ ดึด ตึด ตื้อ ดือ ดึด 555
ไม่พูดพร่ำทำเพลงมาก จากนี้ เราจะเริ่มรีวิวเกือบละเอียด ถึงการเดินทางอันยาวนานไปยัง . . .
‘ เ ก า ะ พ ย า ม ‘
ต. เกาะพยาม อ. เมือง จ. ระนอง
และนั่น คือจุดมุ่งหมายของเรา
^_____________^
ก่อนหน้านี้ เกาะพยามไม่เคยอยู่ในความคิดของเราเลย
เพราะอะไรรู้มั้ย ?
เพราะเราไม่รู้จักไง แป่ววววว
จนได้มาอ่านเจอรีวิว ก็สัมผัสได้ถึงเสน่ห์ในความไม่พลุกพล่านของพยาม
และอยากจะไปสัมผัสพยามด้วยตา หู จมูก ปาก และคอของเราเอง
ทริปนี้จึงเกิดขึ้น . . .
‘ แ บ ก เ ป้ พ ย า ย า ม ไ ป พ ย า ม ‘
เร่เข้ามาทางนี้ เราจะพาไปติดเกาะ . . เกาะแน่นๆ แน่นหน่อยนะน้องนะ ตื้อ ดือ ดึด ตึด ตื้อ ดือ ดึด 555
ไม่พูดพร่ำทำเพลงมาก จากนี้ เราจะเริ่มรีวิวเกือบละเอียด ถึงการเดินทางอันยาวนานไปยัง . . .
‘ เ ก า ะ พ ย า ม ‘
ต. เกาะพยาม อ. เมือง จ. ระนอง
และนั่น คือจุดมุ่งหมายของเรา
^_____________^
ก่อนหน้านี้ เกาะพยามไม่เคยอยู่ในความคิดของเราเลย
เพราะอะไรรู้มั้ย ?
เพราะเราไม่รู้จักไง แป่ววววว
จนได้มาอ่านเจอรีวิว ก็สัมผัสได้ถึงเสน่ห์ในความไม่พลุกพล่านของพยาม
และอยากจะไปสัมผัสพยามด้วยตา หู จมูก ปาก และคอของเราเอง
ทริปนี้จึงเกิดขึ้น . . .
‘ แ บ ก เ ป้ พ ย า ย า ม ไ ป พ ย า ม ‘
หมายเหตุ: รายละเอียดค่าใช้จ่ายทั้งหมด เลื่อนลงไปอีก เลื่อนลงปายยยยย เดี๋ยวก็เจอเนาะ
หลังจากตัดสินใจไปเกาะพยาม โดยมีผู้รู้เห็นเป็นใจอีกหนึ่งคน
เราก็เริ่มเสิชหาข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับการเดินทาง ที่พัก ระยะทาง บลาๆๆ
จนทุกอย่างลงตัวที่การเดินทางโดยสมบัติทัวร์ VIP เส้นทางกรุงเทพฯ-ระนอง
เนื่องจากการเดินทางจากกรุงเทพฯ ไประนองด้วยระยะทางประมาณ 600 กว่า กม.นั้น
ใช้เวลานานหนักมากถึง 8 ชม. กว่าเลยทีเดียวเชียว อร๊ายยยยยย
การนั่งรถทัวร์ VIP จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมอย่างยิ่ง คอนเฟิร์ม !
โดยโทรไปจองตั๋วที่สมบัติทัวร์ผ่าน Call Center 02 7921444 (6 โมง – 2 ทุ่ม)
แจ้งวันเวลาเดินทาง และรายละเอียดต่างๆ ให้ จนท. ทราบ
นางจะให้รายละเอียดสำหรับการโอนเงินค่าตั๋วมาค่ะ
ก็จัดการไปตามนั้นเนาะ แล้วเก็บสลิปไว้เพื่อใช้แลกตั๋วก่อนออกเดินทาง
ส่วนที่พัก เราฝันใฝ่เลยทีเดียวว่าจะต้องพักที่ Blue Sky Resort หนึ่งในมัลดีฟเมืองไทย
แต่หลังจากก้มหน้าดูเงินในกระเป๋าแล้วไซร้ ให้ท้อแท้ใจตัด Blue Sky ทิ้งไปอย่างไม่ใยดี T^T
หันมาพึ่งพิง Lazy Hut บังกะโลสไตล์กระท่อมไม้ไผ่ ราคาเบาๆ บรรยากาศแสนชิล
เราเลยจัดไปที่ห้อง Luxury A3 ด้วยสนนราคาคืนละ 800 บาท
และถ้ามีงบมากกว่านี้ แนะนำให้เลือกห้อง Beach Front คืนละ 1200 บาท
แบบเปิดประตูห้องมาก็ป๊ะกับหาดทราย สายลม แสงแดด และทะเลทันที
ถึงอย่างไร Luxury A3 ของเราก็ไม่ได้ห่างไกลทะเลแต่อย่างใด เชอะ !
ลงตัวปุ๊บ ก็โทรไปจองตามเบอร์นี้ 093-6687619 หรือพี่ยอดนั่นเอง
อีกช่องทางหนึ่งคือ เฟซบุคของ Lazy Hut ตามลิงค์นี้ https://www.facebook.com/lazyhut
จากนั้น เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า เตรียมตัวออกเดินทางไปติดเกาะกันเล๊ยยยยยยยยยยย ! เย้ !
เราแบกเป้มาถึงสายใต้ใหม่ประมาณ 1 ทุ่ม พร้อมผู้รู้เห็นเป็นใจหนึ่งคน
ปรี่เข้าไปที่เคาน์เตอร์สมบัติทัวร์ แล้วใช้สลิปโอนเงินแลกเอาตั๋วมาครอบครอง
จากนั้นไปเดินซื้อของใช้นิดหน่อย และเข้าห้องน้ำประมาณ 324 รอบ
วิตกกังวลเหลือเกินว่าจะปวดฉี่บนรถ เข้ามันอยู่นั่นแหละ แกเอ๊ย
เป็นเหมือนกันมั้ย ? จะเดินทางทีไร เป็นงี้ทุกที > <
เดินไปเดินมา เหยยยยย 2 ทุ่มครึ่งแล้ว ไปจ้า ได้เวลา Boarding
รีบวิ่งไปขึ้นรถตามหมายเลขชานชาลาที่ระบุไว้ในตั๋ว
VIP จะมีรอบเดียวคือ 20.50 น. และในตั๋วระบุว่าจะถึงระนอง 07.50 น.
กล่าวคือ ยาวนานหนักมากกกกกกกกกกกกก
__ __"
แต่เหยยยยยยยย มันโอเคเลยนะ เธอ !
เบาะใหญ่ นั่งนอนสบาย มีจอส่วนตัวสำหรับดูหนังฟังเพลง
มีหมอนและผ้าห่มวางอยู่บนเบาะพร้อม
ที่สำคัญ ชอบมากกกกก มีรูเสียบ USB ชาร์ตแบตได้ด้วยยยย > <
ไม่ต้องกลัวแบตหมด ไม่ต้องใช้แบตสำรองให้เปลือง
นั่งปุ๊บ แอร์แจกหนมแจกน้ำปั๊บ เราก็นอนยาววววววววเลยยยย
รถทัวร์จะแวะให้กินข้าวต้มประมาณเที่ยงคืน และยิงยาวถึง บขส. ระนองเลย
สรุปแล้วสมบัติทัวร์ VIP คือ ดีงาม นอนสบาย ไร้กังวล ถ้าไม่เจอมนุษย์ไร้มารยาท - -“
เราชอบการหลับใหลในขณะที่รถกำลังวิ่งไปเรื่อยๆ มากเลยยยย
ยิ่งแอร์เย็นๆ แบบนี้ สบายจุงงงงง
อ้าว เห้ยยย เค้าเปิดไฟทำไม กำลังนอนสบาย
“ถึงแล้วหรอ เธอ”
“น่าจะถึงแล้วนะ” ผู้รู้เห็นเป็นใจของเราตอบแบบงัวเงียๆ
ห๊ะ นี่มันตีห้ากว่าๆ เองนะ ไหนว่า 7 โมงห้าสิบล่ะ ? คืออะไร ตอบบบบ ?!
ทุกคนในรถเริ่มปรับเบาะเป็นระดับการนั่ง
เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ปรับก็ปรับ นั่งก็นั่ง
ยังอยากนอนอยู่เลย เฮ้อออออ
แต่ถึงแล้วจริงๆ ภาพที่เราเห็นเบื้องหน้านั้นคือ แต่น แตน แต๊นนนน บขส. ระนอง จ้า
เราเริ่มเก็บของ เก็บน้ำ เก็บขนมทุกอย่างที่เค้าแจกใส่กระเป๋า
เตรียมตัวลงไปสูดอากาศ ณ ระนอง
ปรี่เข้าไปที่เคาน์เตอร์สมบัติทัวร์ แล้วใช้สลิปโอนเงินแลกเอาตั๋วมาครอบครอง
จากนั้นไปเดินซื้อของใช้นิดหน่อย และเข้าห้องน้ำประมาณ 324 รอบ
วิตกกังวลเหลือเกินว่าจะปวดฉี่บนรถ เข้ามันอยู่นั่นแหละ แกเอ๊ย
เป็นเหมือนกันมั้ย ? จะเดินทางทีไร เป็นงี้ทุกที > <
เดินไปเดินมา เหยยยยย 2 ทุ่มครึ่งแล้ว ไปจ้า ได้เวลา Boarding
รีบวิ่งไปขึ้นรถตามหมายเลขชานชาลาที่ระบุไว้ในตั๋ว
VIP จะมีรอบเดียวคือ 20.50 น. และในตั๋วระบุว่าจะถึงระนอง 07.50 น.
กล่าวคือ ยาวนานหนักมากกกกกกกกกกกกก
__ __"
แต่เหยยยยยยยย มันโอเคเลยนะ เธอ !
เบาะใหญ่ นั่งนอนสบาย มีจอส่วนตัวสำหรับดูหนังฟังเพลง
มีหมอนและผ้าห่มวางอยู่บนเบาะพร้อม
ที่สำคัญ ชอบมากกกกก มีรูเสียบ USB ชาร์ตแบตได้ด้วยยยย > <
ไม่ต้องกลัวแบตหมด ไม่ต้องใช้แบตสำรองให้เปลือง
นั่งปุ๊บ แอร์แจกหนมแจกน้ำปั๊บ เราก็นอนยาววววววววเลยยยย
รถทัวร์จะแวะให้กินข้าวต้มประมาณเที่ยงคืน และยิงยาวถึง บขส. ระนองเลย
สรุปแล้วสมบัติทัวร์ VIP คือ ดีงาม นอนสบาย ไร้กังวล ถ้าไม่เจอมนุษย์ไร้มารยาท - -“
เราชอบการหลับใหลในขณะที่รถกำลังวิ่งไปเรื่อยๆ มากเลยยยย
ยิ่งแอร์เย็นๆ แบบนี้ สบายจุงงงงง
อ้าว เห้ยยย เค้าเปิดไฟทำไม กำลังนอนสบาย
“ถึงแล้วหรอ เธอ”
“น่าจะถึงแล้วนะ” ผู้รู้เห็นเป็นใจของเราตอบแบบงัวเงียๆ
ห๊ะ นี่มันตีห้ากว่าๆ เองนะ ไหนว่า 7 โมงห้าสิบล่ะ ? คืออะไร ตอบบบบ ?!
ทุกคนในรถเริ่มปรับเบาะเป็นระดับการนั่ง
เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ปรับก็ปรับ นั่งก็นั่ง
ยังอยากนอนอยู่เลย เฮ้อออออ
แต่ถึงแล้วจริงๆ ภาพที่เราเห็นเบื้องหน้านั้นคือ แต่น แตน แต๊นนนน บขส. ระนอง จ้า
เราเริ่มเก็บของ เก็บน้ำ เก็บขนมทุกอย่างที่เค้าแจกใส่กระเป๋า
เตรียมตัวลงไปสูดอากาศ ณ ระนอง
ขณะนี้ เวลา ตี 5 ครึ่ง ณ บขส. ระนอง
. . . .
. .
ชายแปลกหน้ากลุ่มหนึ่งดาหน้ากันเข้ามาหาเราและผู้ร่วมทาง
แต่ละคนผิวสีเข้ม ร่างใหญ่และดูบึกบึน บ้างมีหนวด บ้างมีเครา
เราคิดแล้วว่า เราคงไม่รอดแน่ เราคงสู้แรงชายฉกรรจ์เหล่านี้ไม่ไหวเป็นแน่แท้
และเพียงเสี้ยววินาที ชายฉกรรจ์คนที่บุกประชิดถึงตัวเราก่อนก็พูดเสียงดังฟังชัดว่า
“เกาะพยามมั้ยครับ เกาะช้าง เกาะสุรินทร์ ไปไหนดีครับ”
---___---"
เราและผู้ร่วมทางส่ายหน้าพร้อมกัน ชายที่เหลือก็เลยเริ่มกระจายกันออกไปคนละทิศละทาง
เฮ้อออออออ ฝันว่า คิดอยู่หวามๆ ถ้าถูกลวนลามจะทำไงดี ?
แต่เดี๋ยวนะ ? ตามแพลน เราต้องขึ้นเรือเมล์รอบแรกประมาณ 9.30 น.
แล้วตอนนี้กี่โมงนะ ? เอิ่มมมม ตี 5 ครึ่ง นอนหลับได้อีกแปดตื่นเบาๆ
เราเลยตัดสินใจไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนและนั่งเล่นที่ บขส. เรื่อยๆ
จนเกือบ 7 โมง ก็เริ่มเดินหาวิธีไปท่าเรือเกาะพยาม
มีผู้ชายร่างกายกำยำผิวดำดูดคนหนึ่งเสนอตัวไปส่งพร้อมกับยกกระเป๋าเราขึ้น
เราซึ้งในน้ำใจของชายผู้นี้มาก จึงกล่าวไปว่า “เท่าไหร่คะ พี่”“200 คับ 2 คน คนละร้อย”
แล้วพี่ดำก็พาเราไปที่กะบะคันหนึ่ง ซึ่งดูดีเลยทีเดียว
เราก็โยนตัวเองขึ้นไปนั่งที่เบาะด้านหลังคนขับพร้อมกับผู้ร่วมทางของเรา
(สำหรับขากลับจากเกาะ ถ้าถึงท่าเรือแล้ว รอขึ้นรถ 2 แถวพร้อมคนอื่นๆ ได้นะ ไปลงที่ บขส. ระนอง คนละ 15 บาทเอง)
เหยยยย เรากำลังจะไปท่าเรือแล้วนะ รอแพพนะ พยาม : )
ประมาณสัก 10-15 นาที เราก็มาถึงท่าเรือ
ตรงนั้น จะมีท่าเรืออยู่ 2 ท่าใกล้ๆ กัน
แต่พี่ดำมาส่งเราที่ท่าเรือของนาวาอันดามัน
ลงจากรถมาปุ๊บ จมูกก็ปะทะเข้ากับกลิ่นเค็มๆ ตรงบริเวณท่าเรือ
เอออออ หิวเลย อยากกินข้าวจานน้ำกับปลาเค็ม
ดึงสติแพพ แล้วเดินไปซื้อตั๋วกับน้องผู้หญิงผิวคล้ำหน้าตาจิ้มลิ้ม
แน่นอน ไม่มีงบสำหรับสปีดโบท จัดเรือเมล์ธรรมดาพอค่ะ
อ้างไปสิว่า อยากกินบรรยากาศของท้องฟ้าสีคราม ทะเลแสนงาม อะไรก็ว่าไป อิ่มแน่นอน
เรือเมล์ธรรมดา เที่ยวละ 200 บาท แต่ถ้าเราซื้อตั๋วไป-กลับ จะได้ราคา 350 บาท ใช้เวลา 2 ชม.
ถ้าเป็นสปีดโบท เที่ยวละ 350 บาท แพงกว่าเท่านึง แต่ใช้เวลาแค่ 40-45 นาที
เรือเมล์ออกเวลา 9.30 น. หลับได้อีก 148 ตื่น
เป็นทริปที่ไม่รีบจริงๆ รอมาตั้งแต่ตี 5 ครึ่งละ รอต่อปายยยยยยยยยสิ
ระหว่างนั้น เราก็เดินเก็บภาพบรรยากาศแถวๆ ท่าเรือ
“เธอไม่หิวหรอ” ผู้ร่วมเดินทางเปล่งวาจากระชากอารมณ์เราที่กำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศเค็มๆ
เราสองคนเลยเดินไปหาอะไรกินแถวท่าเรือ โดยฝากสัมภาระไว้กับน้องผู้หญิงคนขายตั๋ว
ร้านแรกที่เดินไปถึงชื่อ Blue Monkey คือน่ารักอ่าาาาาา
เป็นโทนสีฟ้าขาว ภาพอาหารที่โชว์แลดูน่าเขมือบอย่างยิ่ง
ผู้ร่วมทางของเราไม่รอช้า “ขอเมนูหน่อยครับ” หึหึ ฟังเสียงก็รู้ว่า นางหิว
เราสองคนกวาดตาดูเมนูและราคา แล้วได้แต่สบตากันเบาๆ
ก่อนกล่าวขอบคุณและเดินคอตกออกจากร้าน
ราคาค่อนข้างสูงนิดนึง เราไม่อาจสู้ได้ เพราะมื้อใหญ่ที่เราแพลนไม่ใช้วันนี้ !
มองไปฝั่งตรงข้าม เจอร้านอาหารตามสั่งร้านนึง
ปรี่เข้าไปโดยไว ก่อนหยิบเมนูขึ้นมาสำรวจ พบว่าราคาโอเค
เลยจัดมื้อเช้าไปเบาๆ ที่ร้านนี้ค่ะ
พออิ่มก็เดินกลับมานั่งรอนั่งเล่นที่ท่าเรือ ดมกลิ่นเค็มๆ ต่อไป
“เธอ เราอยากกินอะไรเย็นๆ เอาน้ำอะไรมั้ย”
“น้ำเปล่าก็ได้ ไม่ค่อยอยากกินอะ เดี๋ยวปวดฉี่อีก” อาการวิตกกังวลของเรานี่มาตลอดดดดด
นางหายไปสักพัก และกลับมาพร้อมกับสิ่งนี้ . . .
เอิ่มมม นี่สินะ อะไรเย็นๆ
. . . .
. .
ชายแปลกหน้ากลุ่มหนึ่งดาหน้ากันเข้ามาหาเราและผู้ร่วมทาง
แต่ละคนผิวสีเข้ม ร่างใหญ่และดูบึกบึน บ้างมีหนวด บ้างมีเครา
เราคิดแล้วว่า เราคงไม่รอดแน่ เราคงสู้แรงชายฉกรรจ์เหล่านี้ไม่ไหวเป็นแน่แท้
และเพียงเสี้ยววินาที ชายฉกรรจ์คนที่บุกประชิดถึงตัวเราก่อนก็พูดเสียงดังฟังชัดว่า
“เกาะพยามมั้ยครับ เกาะช้าง เกาะสุรินทร์ ไปไหนดีครับ”
---___---"
เราและผู้ร่วมทางส่ายหน้าพร้อมกัน ชายที่เหลือก็เลยเริ่มกระจายกันออกไปคนละทิศละทาง
เฮ้อออออออ ฝันว่า คิดอยู่หวามๆ ถ้าถูกลวนลามจะทำไงดี ?
แต่เดี๋ยวนะ ? ตามแพลน เราต้องขึ้นเรือเมล์รอบแรกประมาณ 9.30 น.
แล้วตอนนี้กี่โมงนะ ? เอิ่มมมม ตี 5 ครึ่ง นอนหลับได้อีกแปดตื่นเบาๆ
เราเลยตัดสินใจไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนและนั่งเล่นที่ บขส. เรื่อยๆ
จนเกือบ 7 โมง ก็เริ่มเดินหาวิธีไปท่าเรือเกาะพยาม
มีผู้ชายร่างกายกำยำผิวดำดูดคนหนึ่งเสนอตัวไปส่งพร้อมกับยกกระเป๋าเราขึ้น
เราซึ้งในน้ำใจของชายผู้นี้มาก จึงกล่าวไปว่า “เท่าไหร่คะ พี่”“200 คับ 2 คน คนละร้อย”
แล้วพี่ดำก็พาเราไปที่กะบะคันหนึ่ง ซึ่งดูดีเลยทีเดียว
เราก็โยนตัวเองขึ้นไปนั่งที่เบาะด้านหลังคนขับพร้อมกับผู้ร่วมทางของเรา
(สำหรับขากลับจากเกาะ ถ้าถึงท่าเรือแล้ว รอขึ้นรถ 2 แถวพร้อมคนอื่นๆ ได้นะ ไปลงที่ บขส. ระนอง คนละ 15 บาทเอง)
เหยยยย เรากำลังจะไปท่าเรือแล้วนะ รอแพพนะ พยาม : )
ประมาณสัก 10-15 นาที เราก็มาถึงท่าเรือ
ตรงนั้น จะมีท่าเรืออยู่ 2 ท่าใกล้ๆ กัน
แต่พี่ดำมาส่งเราที่ท่าเรือของนาวาอันดามัน
ลงจากรถมาปุ๊บ จมูกก็ปะทะเข้ากับกลิ่นเค็มๆ ตรงบริเวณท่าเรือ
เอออออ หิวเลย อยากกินข้าวจานน้ำกับปลาเค็ม
ดึงสติแพพ แล้วเดินไปซื้อตั๋วกับน้องผู้หญิงผิวคล้ำหน้าตาจิ้มลิ้ม
แน่นอน ไม่มีงบสำหรับสปีดโบท จัดเรือเมล์ธรรมดาพอค่ะ
อ้างไปสิว่า อยากกินบรรยากาศของท้องฟ้าสีคราม ทะเลแสนงาม อะไรก็ว่าไป อิ่มแน่นอน
เรือเมล์ธรรมดา เที่ยวละ 200 บาท แต่ถ้าเราซื้อตั๋วไป-กลับ จะได้ราคา 350 บาท ใช้เวลา 2 ชม.
ถ้าเป็นสปีดโบท เที่ยวละ 350 บาท แพงกว่าเท่านึง แต่ใช้เวลาแค่ 40-45 นาที
เรือเมล์ออกเวลา 9.30 น. หลับได้อีก 148 ตื่น
เป็นทริปที่ไม่รีบจริงๆ รอมาตั้งแต่ตี 5 ครึ่งละ รอต่อปายยยยยยยยยสิ
ระหว่างนั้น เราก็เดินเก็บภาพบรรยากาศแถวๆ ท่าเรือ
“เธอไม่หิวหรอ” ผู้ร่วมเดินทางเปล่งวาจากระชากอารมณ์เราที่กำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศเค็มๆ
เราสองคนเลยเดินไปหาอะไรกินแถวท่าเรือ โดยฝากสัมภาระไว้กับน้องผู้หญิงคนขายตั๋ว
ร้านแรกที่เดินไปถึงชื่อ Blue Monkey คือน่ารักอ่าาาาาา
เป็นโทนสีฟ้าขาว ภาพอาหารที่โชว์แลดูน่าเขมือบอย่างยิ่ง
ผู้ร่วมทางของเราไม่รอช้า “ขอเมนูหน่อยครับ” หึหึ ฟังเสียงก็รู้ว่า นางหิว
เราสองคนกวาดตาดูเมนูและราคา แล้วได้แต่สบตากันเบาๆ
ก่อนกล่าวขอบคุณและเดินคอตกออกจากร้าน
ราคาค่อนข้างสูงนิดนึง เราไม่อาจสู้ได้ เพราะมื้อใหญ่ที่เราแพลนไม่ใช้วันนี้ !
มองไปฝั่งตรงข้าม เจอร้านอาหารตามสั่งร้านนึง
ปรี่เข้าไปโดยไว ก่อนหยิบเมนูขึ้นมาสำรวจ พบว่าราคาโอเค
เลยจัดมื้อเช้าไปเบาๆ ที่ร้านนี้ค่ะ
พออิ่มก็เดินกลับมานั่งรอนั่งเล่นที่ท่าเรือ ดมกลิ่นเค็มๆ ต่อไป
“เธอ เราอยากกินอะไรเย็นๆ เอาน้ำอะไรมั้ย”
“น้ำเปล่าก็ได้ ไม่ค่อยอยากกินอะ เดี๋ยวปวดฉี่อีก” อาการวิตกกังวลของเรานี่มาตลอดดดดด
นางหายไปสักพัก และกลับมาพร้อมกับสิ่งนี้ . . .
เอิ่มมม นี่สินะ อะไรเย็นๆ
ใกล้ 9 โมงครึ่งล้าวววววว เตรียมตัวออกเดินทางอีกครั้ง
ดูเหมือนจะมีฝรั่งส่วนนึงที่ชื่นชอบการเดินทางไปเกาะพยาม
เรานี่มองหาพริกกะเกลือเลย น้ำลายไหล - -“
บางฝรั่งก็มาคนเดียวเปลี่ยวเปล่า บางฝรั่งก็มาเป็นคู่ตุนาหงัน
และบางฝรั่งก็มาเป็นครอบครัว หอบเอาลูกเด็กเล็กแดงกระเตงกันมา
อ้าวววว ตามมาค่ะ ขึ้นเรือได้ หลังจากรอมายาวนานนนนนนนนนนน
. . . . .
. . .
. .
เรือจะมี 2 ชั้น ส่วนใหญ่ก็นั่งชั้นบนกันหมดแหละ
และเรือก็ยังบรรทุกของอื่นๆ ด้วย แล้วแต่จะมีคนจ้างขนส่งอะไรก็ต่ออะไร
หลังจากจับจองที่นั่งแล้ว เราก็พบว่า หนังตาหนักมากกกกกก ง่วงจริงจัง
เลยเก็บภาพบรรยากาศเล็กน้อย ก่อนหาที่ทางหลับใหลลืมตื่น
ไม่คิดจะดื่มด่ำบรรยากาศอะไรอีก คร้อกกกกกกก zzZZ
เราอยู่ใต้ท้องฟ้าสีคราม และโอบกอดด้วยทะเลแสนงาม
เอ๊ะ นั่นปลาอะไร ? สีขาวบริสุทธิ์ดุจใยไหม
“เธอ ! มาดูนี่สิ ปลาอะไรไม่รู้ ขาวจั๊วะเลย เร็วๆๆ มาดูๆ”
เราตะโกนเรียกผู้ร่วมทางมาดูด้วยความตื่นเต้น
“ปลาขวดพลาสติกน่ะเธอ” ผู้ร่วมทางตอบแบบเซ็งๆ
มุกไม่ฮา พาเพื่อนเครียด เห้อออ นอนต่อดีกว่า
อีกไกลแค่ไหนจนกว่าฉันจะใกล้ บอกที . . ผ่านมาชั่วโมงนึงแล้วนะ เฮ้ออออ
หลังจาก 2 ชม. ผ่านไป เมื่อเวลาประมาณ 11 โมงครึ่ง
เราก็เดินทางมาถึงท่าเรือ ณ อ้าวแม่หม้ายแห่งเกาะพยามค่า
การเดินทางครั้งใหม่กำลังจะเริ่มขึ้น ด้วยความพยายามมาพยามครั้งนี้ : )
สวัสดี พยาม : )
เรามาถึงแล้วโดยสวัสดิภาพ
. . . . . .
ดูเหมือนจะมีฝรั่งส่วนนึงที่ชื่นชอบการเดินทางไปเกาะพยาม
เรานี่มองหาพริกกะเกลือเลย น้ำลายไหล - -“
บางฝรั่งก็มาคนเดียวเปลี่ยวเปล่า บางฝรั่งก็มาเป็นคู่ตุนาหงัน
และบางฝรั่งก็มาเป็นครอบครัว หอบเอาลูกเด็กเล็กแดงกระเตงกันมา
อ้าวววว ตามมาค่ะ ขึ้นเรือได้ หลังจากรอมายาวนานนนนนนนนนนน
. . . . .
. . .
. .
เรือจะมี 2 ชั้น ส่วนใหญ่ก็นั่งชั้นบนกันหมดแหละ
และเรือก็ยังบรรทุกของอื่นๆ ด้วย แล้วแต่จะมีคนจ้างขนส่งอะไรก็ต่ออะไร
หลังจากจับจองที่นั่งแล้ว เราก็พบว่า หนังตาหนักมากกกกกก ง่วงจริงจัง
เลยเก็บภาพบรรยากาศเล็กน้อย ก่อนหาที่ทางหลับใหลลืมตื่น
ไม่คิดจะดื่มด่ำบรรยากาศอะไรอีก คร้อกกกกกกก zzZZ
เราอยู่ใต้ท้องฟ้าสีคราม และโอบกอดด้วยทะเลแสนงาม
เอ๊ะ นั่นปลาอะไร ? สีขาวบริสุทธิ์ดุจใยไหม
“เธอ ! มาดูนี่สิ ปลาอะไรไม่รู้ ขาวจั๊วะเลย เร็วๆๆ มาดูๆ”
เราตะโกนเรียกผู้ร่วมทางมาดูด้วยความตื่นเต้น
“ปลาขวดพลาสติกน่ะเธอ” ผู้ร่วมทางตอบแบบเซ็งๆ
มุกไม่ฮา พาเพื่อนเครียด เห้อออ นอนต่อดีกว่า
อีกไกลแค่ไหนจนกว่าฉันจะใกล้ บอกที . . ผ่านมาชั่วโมงนึงแล้วนะ เฮ้ออออ
หลังจาก 2 ชม. ผ่านไป เมื่อเวลาประมาณ 11 โมงครึ่ง
เราก็เดินทางมาถึงท่าเรือ ณ อ้าวแม่หม้ายแห่งเกาะพยามค่า
การเดินทางครั้งใหม่กำลังจะเริ่มขึ้น ด้วยความพยายามมาพยามครั้งนี้ : )
สวัสดี พยาม : )
เรามาถึงแล้วโดยสวัสดิภาพ
. . . . . .
เดินตรงปรี่ไปตามเส้นทาง จะเจอร้านเช่ามอเตอร์ไซค์เรียงรายอยู่ 2 ฟากฝั่งของถนน
เลือกเอาที่ชอบที่ถูกใจเลยค่ะ
ราคาเช่ามอเตอร์ไซค์จะอยู่ที่ 150-200 บาท/วัน ใช้บัตร ปชช หรือใบขับขี่ก็ได้ในการเช่า
ราคาเช่าเกียร์ธรรมดา 150 บาท และเกียร์ออโต้ 200 บาท
เราก็จัดเกียร์ธรรมดากันมาค่ะ เป็น Honda Wave 110 ที่สภาพดูดีหน่อย
พร้อมแว๊นล้าววววววววววว
ก้าวขาขวาขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์เรียบร้อย
ผู้ร่วมทางของเราก็บิดเลยค่ะ ไป Lazy Hut บังกะโล ณ อ่าวใหญ่
สองข้างทางเต็มไปด้วยแมกไม้ โดยเฉพาะต้นชบา ต้นยาง และต้นมะม่วงหิมพานต์
ถนนเป็นคอนกรีต และค่อนข้างแคบ บางจุดเป็นหลุมและขรุขระ
ค่อนข้างเป็นอุปสรรคเล็กน้อยต่อการขับขี่ อ่ออ ที่สำคัญ ยังแอบลาดชัดบางช่วง
ถ้าขับมอไซค์แข็งหน่อย ก็ไม่มีปัญหาค่ะ แว๊นกันมันทีเดียวท่ามกลางแดดจัด - -“
เราลองจับเวลาดู ใช้เวลาจากท่าเรืออ่าวแม่หม้ายไปที่พักประมาณ 10-15 นาที
ถึงแล้วววววววววว ที่พักบรรยากาศแสนชิลของเรา
หลังจากเช็คอินเสร็จ ก็เก็บข้าวของ อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า
ที่แรกที่เราจะไปคือ วัดเกาะพยาม !
ไปไหว้พระขอพร และสักการะบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นสิริมงคลกันก่อนดีกว่าเนาะ
(เราไม่ได้ถ่ายรูปบริเวณวัดมา เนื่องจากบรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบ
ส่งผลให้เราเกิดจินตนาการนู่นนี่นั่น . . . จึงได้แต่เดินเงียบๆ อย่างสำรวม ><)
ไม่นาน กระเพาะก็ตื่นตัว อยากจะย่อยบ้างไรบ้าง
เราจึงต้องรีบหาร้านอาหารเพื่อจัดมื้อกลางวันซะหน่อย
“เกาะพยามซีฟู้ด” มื้อแรกที่เกาะพยามของเรา ค่อนข้างอร่อยถูกปากเลยทีเดียว
นั่งกินริมทะเล มองดูน้องหมาวิ่งเล่นบนหาด ชิ๊วชิวววววว มีเปลให้นอนกินลมด้วย อิ่มมั้ย ?
พิกัดร้านนะคะ ถ้าเดินมาจากท่าเรือเลย จะอยู่ทางซ้ายมือไม่ไกลจากท่าเรือค่ะ
ราคาก็จัดว่าแพงตามปกติของอาหารบนเกาะ
เราสั่งข้าวผัดกุ้ง กับข้าวราดกุ้งทอดกระเทียม และน้ำเปล่าขวดนึง ทั้งหมดราคา 180 บาท
จบมื้อกลางวัน เราก็คิดว่าจะไปแว๊นรอบๆ เกาะ
ขี่ไปตามถนน ดูบรรยากาศ ดูนั่นดูนี่ ประหนึ่งว่าอากาศดี๊ดีว์ว์ว์ ชีวิตดี๊ดีอ่า
ทั้งที่โลกความจริง แสงแดดกำลังแผดเผาเราทั้งสองอย่างไม่ปรานี
“ไปไหนดีอะ เธอ”
“ไม่รู้อ่า ลองขี่ไปเรื่อยๆ ละกันเนาะ”
“เติมน้ำมันก่อนดีกว่างั้น”
เป็นความคิดที่ดีมาก เราไม่อยากเข็นรถรอบเกาะหรอกนะ จะบอกให้
น้ำมันราคาขวดละ 40-50 บาท แต่เท่าที่เห็นก็จะมีร้านขายตลอดๆ ทางนะ
ถ้าหมดก็คงเข็นไม่ไกลหรอก แต่ทางลาดชันนี่สิ จะไหวหรอ ?
และด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทางตั้งแต่เมื่อคืน
พอเติมน้ำมันเสร็จ เราจึงตัดสินใจขี่กลับที่พัก (อ้าววววว - -")
ตั้งใจว่า จะไปนอนเล่นนั่งเล่นบริเวณหน้าที่พัก รอดูพระอาทิตย์ตกดินที่อ่าวใหญ่
ณ ที่พักที่ Lazy Hut จะมีเก้าอี้นอนเล่นริมหาด ให้นอนอาบแดดชิลๆ
มีบริเวณ Library ที่มีหนังสือให้นอนเปลอ่านกันให้ตาแฉะ
ซึ่งเราเห็นฝรั่งนอนแผ่กันเต็มหมดและ แต่เราก็ไม่มีพริกเกลือเลยปล่อยไป
หันมาอีกมุม มีต้นไม้ขนาดใหญ่แผ่กิ่งและใบปกคลุม มีเตียงโต๊ะให้นั่งนอนเช่นกัน
เราสองคนเลยนั่งนอนเล่นกันตรงนั้นพักใหญ่
บ่ายคล้อยก็จูงมือกันไปเดินเล่นริมทะเล ให้เท้าได้สัมผัสทรายนุ่มๆ
เดินไปเรื่อยๆ ยาวๆ รู้สึกว่าชีวิตที่นี่ชิลมาก ไม่รีบร้อน ได้ปล่อยอารมณ์ และผ่อนคลายจากทุกสิ่ง
ข้างบนคือท้องฟ้ากว้างใหญ่ เบื้องหน้าเป็นทะเลที่มีคลื่นซัดสาดเสียงดังซู่
ที่ที่เราเดินอยู่ก็เป็นหาดทรายนุ่มๆ
“นอนแม่มตรงนี้แหละ เธอ สบาย !”
แต่ผู้ร่วมทางไม่เห็นด้วยกับเรา 5555 เลยเดินกลับมาที่พักอีกครั้ง
นั่งดูพระอาทิตย์ตก และสั่งมื้อเย็นมานั่งกินริมทะเล
ในความคิดเรา อาหารและเครื่องดื่มที่เราสั่งที่นี่ไม่อร่อยจริงๆ
เราสั่งราดหน้าทะเล ผัดไท น้ำผลไม้ปั่นต่างๆ แต่ไม่มีอะไรที่ประทับใจง่ะ T^T
หลังจากนั่งเล่นจนฟ้ามืด ทุ่มกว่าละ เราก็กลับห้องนอนกันค่ะ
ชีวิตที่ไม่มีทีวี ไม่มีตู้เย็น ไฟมีเป็นเวลา แต่รู้สึกว่า จะมีทั้งคืนอยู่ค่ะ ไฟดับไปตอนเช้าประมาณ 6 โมงนิดๆ
เราจึงต้องรีบหาร้านอาหารเพื่อจัดมื้อกลางวันซะหน่อย
“เกาะพยามซีฟู้ด” มื้อแรกที่เกาะพยามของเรา ค่อนข้างอร่อยถูกปากเลยทีเดียว
นั่งกินริมทะเล มองดูน้องหมาวิ่งเล่นบนหาด ชิ๊วชิวววววว มีเปลให้นอนกินลมด้วย อิ่มมั้ย ?
พิกัดร้านนะคะ ถ้าเดินมาจากท่าเรือเลย จะอยู่ทางซ้ายมือไม่ไกลจากท่าเรือค่ะ
ราคาก็จัดว่าแพงตามปกติของอาหารบนเกาะ
เราสั่งข้าวผัดกุ้ง กับข้าวราดกุ้งทอดกระเทียม และน้ำเปล่าขวดนึง ทั้งหมดราคา 180 บาท
จบมื้อกลางวัน เราก็คิดว่าจะไปแว๊นรอบๆ เกาะ
ขี่ไปตามถนน ดูบรรยากาศ ดูนั่นดูนี่ ประหนึ่งว่าอากาศดี๊ดีว์ว์ว์ ชีวิตดี๊ดีอ่า
ทั้งที่โลกความจริง แสงแดดกำลังแผดเผาเราทั้งสองอย่างไม่ปรานี
“ไปไหนดีอะ เธอ”
“ไม่รู้อ่า ลองขี่ไปเรื่อยๆ ละกันเนาะ”
“เติมน้ำมันก่อนดีกว่างั้น”
เป็นความคิดที่ดีมาก เราไม่อยากเข็นรถรอบเกาะหรอกนะ จะบอกให้
น้ำมันราคาขวดละ 40-50 บาท แต่เท่าที่เห็นก็จะมีร้านขายตลอดๆ ทางนะ
ถ้าหมดก็คงเข็นไม่ไกลหรอก แต่ทางลาดชันนี่สิ จะไหวหรอ ?
และด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทางตั้งแต่เมื่อคืน
พอเติมน้ำมันเสร็จ เราจึงตัดสินใจขี่กลับที่พัก (อ้าววววว - -")
ตั้งใจว่า จะไปนอนเล่นนั่งเล่นบริเวณหน้าที่พัก รอดูพระอาทิตย์ตกดินที่อ่าวใหญ่
ณ ที่พักที่ Lazy Hut จะมีเก้าอี้นอนเล่นริมหาด ให้นอนอาบแดดชิลๆ
มีบริเวณ Library ที่มีหนังสือให้นอนเปลอ่านกันให้ตาแฉะ
ซึ่งเราเห็นฝรั่งนอนแผ่กันเต็มหมดและ แต่เราก็ไม่มีพริกเกลือเลยปล่อยไป
หันมาอีกมุม มีต้นไม้ขนาดใหญ่แผ่กิ่งและใบปกคลุม มีเตียงโต๊ะให้นั่งนอนเช่นกัน
เราสองคนเลยนั่งนอนเล่นกันตรงนั้นพักใหญ่
บ่ายคล้อยก็จูงมือกันไปเดินเล่นริมทะเล ให้เท้าได้สัมผัสทรายนุ่มๆ
เดินไปเรื่อยๆ ยาวๆ รู้สึกว่าชีวิตที่นี่ชิลมาก ไม่รีบร้อน ได้ปล่อยอารมณ์ และผ่อนคลายจากทุกสิ่ง
ข้างบนคือท้องฟ้ากว้างใหญ่ เบื้องหน้าเป็นทะเลที่มีคลื่นซัดสาดเสียงดังซู่
ที่ที่เราเดินอยู่ก็เป็นหาดทรายนุ่มๆ
“นอนแม่มตรงนี้แหละ เธอ สบาย !”
แต่ผู้ร่วมทางไม่เห็นด้วยกับเรา 5555 เลยเดินกลับมาที่พักอีกครั้ง
นั่งดูพระอาทิตย์ตก และสั่งมื้อเย็นมานั่งกินริมทะเล
ในความคิดเรา อาหารและเครื่องดื่มที่เราสั่งที่นี่ไม่อร่อยจริงๆ
เราสั่งราดหน้าทะเล ผัดไท น้ำผลไม้ปั่นต่างๆ แต่ไม่มีอะไรที่ประทับใจง่ะ T^T
หลังจากนั่งเล่นจนฟ้ามืด ทุ่มกว่าละ เราก็กลับห้องนอนกันค่ะ
ชีวิตที่ไม่มีทีวี ไม่มีตู้เย็น ไฟมีเป็นเวลา แต่รู้สึกว่า จะมีทั้งคืนอยู่ค่ะ ไฟดับไปตอนเช้าประมาณ 6 โมงนิดๆ
เช้าวันต่อมา เราตั้งใจไว้ว่าจะต้องไปดูกองหินทะลุที่อ่าวเขาควายให้จงได้ในการพยายามมาพยามครั้งนี้ !!
เราก็แว๊นกันไปเลยค่ะ ตามป้ายบอกทางไปอ่าวเขาควาย
แว๊นไปเรื่อย จนมาถึงป้ายอ่าวกวางปีบ 300 เมตร
เห้ยยยยย แล้วกองหินทะลุอยู่ไหน ? นี่คือสุดอ่าวเขาควายแล้วววว คือร่ะ?
มาถึงขนาดนี้แล้ว ไปก็ไปสิ เธอ เราตัดสินใจไปต่อ แม้หนทางจะเริ่มเป็นทางลูกรัง
แต่เห้ยยย ทำไมมันขรุขระ แคบ และชันงี้ล่ะ
เราเริ่มไม่โอเค เลยบอกไปว่า “เธอ เราว่า กลับกันเถอะนะ ทางมันอันตรายไป”
และแล้ว เราสองคนก็ช่วยกันหันหัวมอเตอร์ไซค์กลับกันอย่างทุลักทุเล - -"
ระหว่างทางที่กลับมา ก็เลยตัดสินใจถามคนแถวนั้นว่ากองหินทะลุ อ่าวเขาควายนี่ไปทางใดฤา ?
เมื่อรู้พิกัดก็ไม่รอช้า ตะบึงตะบันแว๊นไปกันไป
จริงๆ มันมีป้ายบอกตัวเบ้อเริ่มเลย ว่ากองหินทะลุ 1.5 กิโลเมตร อะไรประมาณนี้
เราจำระยะทางจริงไม่ได้ ฮ่าๆ
ในที่สุดก็มาถึง เย้ ! แต่เดี๋ยวนะ น้ำขึ้นค่ะ คุณผู้ชม
เรามองเห็นจุดที่เป็นกองหินทะลุลิบๆ ทางด้านขวามือ แต่ไม่สามารถเดินไปได้ เพราะน้ำทะเลยังขึ้นอยู่
แต่น้ำทะเลตรงบริเวณนั้นใสกว่าอ่าวใหญ่ที่พักเราอีก
ใจนึงอยากเล่นน้ำ แต่ใจนึงก็คิดว่า มันร้อนมากกกกก เลยคิดว่า ค่อยมาเล่นพรุ่งนี้เช้าดีกว่า
กลับสิคะ จะรออะไร เดี๋ยวบ่ายค่อยมาใหม่ก็ได้ รอน้ำลงก่อน หึหึ
จากนั้น เราก็แว๊นกันมาฝากท้องที่ร้านเดิมคือ เกาะพยามซีฟู้ด
ก่อนขี่เลยไปดู Blue Sky Resort ที่พักในฝันของเรา ฮือๆ
ช่วงเช้าน้ำขึ้น บรรยากาศดี๊ดี น่ามาฮันนีมูนจริงๆ
รอก่อนน้า รอบหน้า เราจะต้องพักที่นี่ให้ได้ > <
ทีนี้ เราก็เลยแว๊นไปดูตรงอื่นๆ บ้าง ไปตามถนนที่มีเนี่ยแหละ ไม่รู้ทางอะไรหรอก
ไปมันเรื่อยๆ เดินลงไปที่หาดบางจุดเป็นป่าชายเลน
มีสุสานหอยสีชมพูตัวเล็กน่ารักอยู่ด้วย นั่งพักแพพ
รู้สึกจะมีน้องหมาอยู่ทุกที่บนเกาะเลย แต่ก็ไม่เห่าไม่กัดนะ เพราะเราเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ^^
เริ่มเหนื่อยแล้วไง อากาศร้อน ทำให้ชีวิตเพลียเล็กน้อย
เราเลยกลับไปนอนเล่นที่ Lazy Hut ก่อนออกไปกองหินทะลุ อ่าวเขาควายช่วงบ่ายๆ
อินี่ก็เพลียตลอดจริงๆ แต่แดดแรงม๊ากกกกกก พูดเลย ! T^T
เราก็แว๊นกันไปเลยค่ะ ตามป้ายบอกทางไปอ่าวเขาควาย
แว๊นไปเรื่อย จนมาถึงป้ายอ่าวกวางปีบ 300 เมตร
เห้ยยยยย แล้วกองหินทะลุอยู่ไหน ? นี่คือสุดอ่าวเขาควายแล้วววว คือร่ะ?
มาถึงขนาดนี้แล้ว ไปก็ไปสิ เธอ เราตัดสินใจไปต่อ แม้หนทางจะเริ่มเป็นทางลูกรัง
แต่เห้ยยย ทำไมมันขรุขระ แคบ และชันงี้ล่ะ
เราเริ่มไม่โอเค เลยบอกไปว่า “เธอ เราว่า กลับกันเถอะนะ ทางมันอันตรายไป”
และแล้ว เราสองคนก็ช่วยกันหันหัวมอเตอร์ไซค์กลับกันอย่างทุลักทุเล - -"
ระหว่างทางที่กลับมา ก็เลยตัดสินใจถามคนแถวนั้นว่ากองหินทะลุ อ่าวเขาควายนี่ไปทางใดฤา ?
เมื่อรู้พิกัดก็ไม่รอช้า ตะบึงตะบันแว๊นไปกันไป
จริงๆ มันมีป้ายบอกตัวเบ้อเริ่มเลย ว่ากองหินทะลุ 1.5 กิโลเมตร อะไรประมาณนี้
เราจำระยะทางจริงไม่ได้ ฮ่าๆ
ในที่สุดก็มาถึง เย้ ! แต่เดี๋ยวนะ น้ำขึ้นค่ะ คุณผู้ชม
เรามองเห็นจุดที่เป็นกองหินทะลุลิบๆ ทางด้านขวามือ แต่ไม่สามารถเดินไปได้ เพราะน้ำทะเลยังขึ้นอยู่
แต่น้ำทะเลตรงบริเวณนั้นใสกว่าอ่าวใหญ่ที่พักเราอีก
ใจนึงอยากเล่นน้ำ แต่ใจนึงก็คิดว่า มันร้อนมากกกกก เลยคิดว่า ค่อยมาเล่นพรุ่งนี้เช้าดีกว่า
กลับสิคะ จะรออะไร เดี๋ยวบ่ายค่อยมาใหม่ก็ได้ รอน้ำลงก่อน หึหึ
จากนั้น เราก็แว๊นกันมาฝากท้องที่ร้านเดิมคือ เกาะพยามซีฟู้ด
ก่อนขี่เลยไปดู Blue Sky Resort ที่พักในฝันของเรา ฮือๆ
ช่วงเช้าน้ำขึ้น บรรยากาศดี๊ดี น่ามาฮันนีมูนจริงๆ
รอก่อนน้า รอบหน้า เราจะต้องพักที่นี่ให้ได้ > <
ทีนี้ เราก็เลยแว๊นไปดูตรงอื่นๆ บ้าง ไปตามถนนที่มีเนี่ยแหละ ไม่รู้ทางอะไรหรอก
ไปมันเรื่อยๆ เดินลงไปที่หาดบางจุดเป็นป่าชายเลน
มีสุสานหอยสีชมพูตัวเล็กน่ารักอยู่ด้วย นั่งพักแพพ
รู้สึกจะมีน้องหมาอยู่ทุกที่บนเกาะเลย แต่ก็ไม่เห่าไม่กัดนะ เพราะเราเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ^^
เริ่มเหนื่อยแล้วไง อากาศร้อน ทำให้ชีวิตเพลียเล็กน้อย
เราเลยกลับไปนอนเล่นที่ Lazy Hut ก่อนออกไปกองหินทะลุ อ่าวเขาควายช่วงบ่ายๆ
อินี่ก็เพลียตลอดจริงๆ แต่แดดแรงม๊ากกกกกก พูดเลย ! T^T
อร๊ายยยยย น้ำลงแล้วววววว เธอ !
ดีใจเว่อออออร์
ชั้นแว๊นมอไซค์ตากแดดมาก็เพื่อเธอเลยนะ หินทะลุ
ยินดีที่ได้พบ : )
นั่นไง ! กองหินทะลุที่เราตามหา
และเราก็หากันจนเจอ มันนานแค่ไหนที่คอยเธอมา . .
ไม่สนว่าอากาศจะร้อนเพียงใด ย่ำทรายอันแสนร้อนระอุตรงไปยังกองหินทันที
คือรู้สึกปลื้มปริ่มประทับใจจุดนี้มากที่สุดบนเกาะเลย สำหรับเรานะ
รู้สึกว่าช่างเป็นอะไรที่ Unseen เหลือเกิน ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเราถึงตื่นเต้นกับกองหินนี้มาก !
แม้แดดจะร้อน แต่มีสายลมเย็นอ่อนๆ
เห้อออ อยากจะนอนอยู่ตรงนี้เลย ถ้าไม่ติดคนข้างๆ ที่คอยขัดตลอดๆ
“เธอ ถ่ายรูปพอรึยังล่ะ ไปตรงอื่นมั่งมั้ย”
เออ ก็ได้จ้า พอก็ได้ เชอะ !
ยังมิวายหันมาอาลัยอาวรณ์กองหิน Unseen อีกนิด ฮ่าๆๆ
จุดต่อไป เราคิดว่าจะไปอ่าวกวางปีบให้จงได้
เพราะเปิดอ่านรีวิวแล้ว เห็นบอกว่า จอดรถไว้แล้วเดินไปก็ได้
ไม่ต้องขี่มอไซค์วิบากปีนป่ายขึ้นไป
พอมาถึงจุดที่เขียนว่า สุดอ่าวเขาควายเหนือ
เป็นป้ายภาษาปะกิดแผ่นเล็กๆ ติดอยู่บนต้นไม้อะ
เราก็จอดมอเตอร์ไซค์ไว้ตรงนั้น เพราะเห็นว่า มีจอดอยู่แล้วสองสามคัน
แล้วก็เดินไปตามป้ายลูกศรที่ชี้ไปทางอ่าวกวางปีบเลยจ้า
พักนึงก็มาถึงแล้วววว
สวัสดีจ้า กวางปีบ : )
อ่าวกวางปีบเป็นอ่าวเล็กๆ ที่มีที่พักอยู่แค่ที่เดียวมั้ง ไม่ได้ดูว่าที่พักชื่ออะไร
แต่น่าจะสงบมากเลยทีเดียว
เราสองคนมานั่งเล่นที่หาดทรายพักนึงก็กลับอะ
ขากลับนี่สิ พอมาถึงมอไซค์ปั๊บ ได้ยินเสียงนกร้อง เราก็ไม่ได้สนใจอะไร
แต่คนข้างๆ รีบบอก “เธอๆ เงียบหน่อย ดูนั่นสิ” และชี้ขึ้นไปบนต้นไม้
นกเงือก !! คุณพระคุณเจ้า !! ในที่สุดลูกก็พบเจอนกเงือกแห่งเกาะพยาม !!
ความรู้สึกแห่งความสำเร็จประเดประดังเข้ามาอย่างล้นหลาม
เรารู้สึกเลยว่า การพยายามมาพยามครั้งนี้สำเร็จเสร็จสิ้นลงอย่างงดงามแล้ว . . ปรบมือ และรับมง
ยืนดูนกเงือกกันอยู่พักใหญ่ก็กลับที่พัก อาบน้ำอาบท่าตั้งใจไปกินอาหารทะเลมื้อใหญ่ที่ร้านเดิม
มื้อใหญ่มากจริงๆ ต้มยำโป๊ะแตก ปลากระพงทอดราดน้ำปลา ข้าวสวย 2 จาน และเครื่องดื่ม- -“
ก็งบจำกัดอ่า เข้าใจบ้างเซ่ แต่ก็อร่อยนะ นั่งกินลมชมวิวได้ด้วย สบายๆ
มื้อนี้ประมาณ 800 กว่าบาท เหงื่อตกเลย กลับที่พักไปทำใจแพพ T^T
ดีใจเว่อออออร์
ชั้นแว๊นมอไซค์ตากแดดมาก็เพื่อเธอเลยนะ หินทะลุ
ยินดีที่ได้พบ : )
นั่นไง ! กองหินทะลุที่เราตามหา
และเราก็หากันจนเจอ มันนานแค่ไหนที่คอยเธอมา . .
ไม่สนว่าอากาศจะร้อนเพียงใด ย่ำทรายอันแสนร้อนระอุตรงไปยังกองหินทันที
คือรู้สึกปลื้มปริ่มประทับใจจุดนี้มากที่สุดบนเกาะเลย สำหรับเรานะ
รู้สึกว่าช่างเป็นอะไรที่ Unseen เหลือเกิน ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเราถึงตื่นเต้นกับกองหินนี้มาก !
แม้แดดจะร้อน แต่มีสายลมเย็นอ่อนๆ
เห้อออ อยากจะนอนอยู่ตรงนี้เลย ถ้าไม่ติดคนข้างๆ ที่คอยขัดตลอดๆ
“เธอ ถ่ายรูปพอรึยังล่ะ ไปตรงอื่นมั่งมั้ย”
เออ ก็ได้จ้า พอก็ได้ เชอะ !
ยังมิวายหันมาอาลัยอาวรณ์กองหิน Unseen อีกนิด ฮ่าๆๆ
จุดต่อไป เราคิดว่าจะไปอ่าวกวางปีบให้จงได้
เพราะเปิดอ่านรีวิวแล้ว เห็นบอกว่า จอดรถไว้แล้วเดินไปก็ได้
ไม่ต้องขี่มอไซค์วิบากปีนป่ายขึ้นไป
พอมาถึงจุดที่เขียนว่า สุดอ่าวเขาควายเหนือ
เป็นป้ายภาษาปะกิดแผ่นเล็กๆ ติดอยู่บนต้นไม้อะ
เราก็จอดมอเตอร์ไซค์ไว้ตรงนั้น เพราะเห็นว่า มีจอดอยู่แล้วสองสามคัน
แล้วก็เดินไปตามป้ายลูกศรที่ชี้ไปทางอ่าวกวางปีบเลยจ้า
พักนึงก็มาถึงแล้วววว
สวัสดีจ้า กวางปีบ : )
อ่าวกวางปีบเป็นอ่าวเล็กๆ ที่มีที่พักอยู่แค่ที่เดียวมั้ง ไม่ได้ดูว่าที่พักชื่ออะไร
แต่น่าจะสงบมากเลยทีเดียว
เราสองคนมานั่งเล่นที่หาดทรายพักนึงก็กลับอะ
ขากลับนี่สิ พอมาถึงมอไซค์ปั๊บ ได้ยินเสียงนกร้อง เราก็ไม่ได้สนใจอะไร
แต่คนข้างๆ รีบบอก “เธอๆ เงียบหน่อย ดูนั่นสิ” และชี้ขึ้นไปบนต้นไม้
นกเงือก !! คุณพระคุณเจ้า !! ในที่สุดลูกก็พบเจอนกเงือกแห่งเกาะพยาม !!
ความรู้สึกแห่งความสำเร็จประเดประดังเข้ามาอย่างล้นหลาม
เรารู้สึกเลยว่า การพยายามมาพยามครั้งนี้สำเร็จเสร็จสิ้นลงอย่างงดงามแล้ว . . ปรบมือ และรับมง
ยืนดูนกเงือกกันอยู่พักใหญ่ก็กลับที่พัก อาบน้ำอาบท่าตั้งใจไปกินอาหารทะเลมื้อใหญ่ที่ร้านเดิม
มื้อใหญ่มากจริงๆ ต้มยำโป๊ะแตก ปลากระพงทอดราดน้ำปลา ข้าวสวย 2 จาน และเครื่องดื่ม- -“
ก็งบจำกัดอ่า เข้าใจบ้างเซ่ แต่ก็อร่อยนะ นั่งกินลมชมวิวได้ด้วย สบายๆ
มื้อนี้ประมาณ 800 กว่าบาท เหงื่อตกเลย กลับที่พักไปทำใจแพพ T^T
พอถึงที่พัก เราก็ลงไปเล่นน้ำทะเลที่อ่าวใหญ่หน้าที่พัก
คลื่นแรงอยู่นะเออ แอบสูงนิดๆ และก็ดูดกลับแรงด้วย
นึกถึงอุบัติเหตุคลื่นดูดที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆ
เราเลยไม่กล้าลงไปลึกมาก เล่นแค่ใกล้หาดเบาๆ
เอามือตบแปะกับน้ำ หนึ่ง สอง หนึ่ง สอง สาม หนึ่ง สอง หนึ่ง สอง หนึ่ง จบ !
อร๊ายยย พระอาทิตย์ตกดิน สะท้อนกับผิวน้ำสวยจังเลย
แต่ไม่ได้เก็บภาพมาหรอกนะ มาเล่นน้ำทะเลนี่ เฮ้อออ
ได้แต่บันทึกภาพที่เห็นไว้ผ่านดวงตา . . ก็ยังดีเนาะ
“เธอ ตัวเราเริ่มเปื่อยแล้วอะ ขึ้นเถอะ”
เราสองคนก็จัดแจงไปอาบน้ำและตั้งใจจะมานั่งนอนเปลเล่นชิลๆ หน้าห้อง
ที่นี่เราเจอคอร์กี้น้อย 2 ตัว สีน้ำตาล เดินเล่นกันดุ๊กดิ๊กๆ
เป็นของคู่ที่มาพักห้องเยื้องๆ กับเรานี่เอง
พอดีเราก็เลี้ยงคอร์กี้อยู่ตัวนึง เลยตื่นเต้น และได้คุยกับเจ้าของคอร์กี้ 2 ตัวนี้พักนึง
ได้ความรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับคอร์กี้เยอะเลยค่ะ ดีจังเลย ^^
แต่ละครั้งที่ออกเดินทาง เรามักจะเจอเรื่องราวที่ไม่ได้เจอในชีวิตประจำวัน
คือถ้านั่งอยู่หน้าจอคอม เช้าเข้าออฟฟิศ เย็นกลับห้อง
ก็คงไม่ได้เจออะไรแบบนี้แน่ๆ
สำหรับครั้งนี้ . . เราได้เจอมิตรภาพที่เกิดจากเจ้าคอร์กี้
จากคนที่ไม่รู้จักกัน ทักแชทมาในเฟซบุค เพื่อที่จะอาสาไปส่งที่ท่าเรือให้
น้ำใจนี่มันกินแล้วอิ่มอกอิ่มใจจริงๆ นะ : )
อืมมมม . . .
คืนนี้ เราไม่ค่อยง่วงเท่าไหร่ กว่าจะหลับก็ปาไป 4 ทุ่มแล้ว
นอนฟังเสียงคลื่นซัดฝั่งเสียงดังมากอะ ดังเหมือนอยู่ใกล้ๆ เลย
อันที่จริงก็แอบกลัวนิดนึงนะ T^T
เช้าวันสุดท้าย เราตื่นสายนิดหน่อย เนื่องจากเมื่อวานนั่งมอไซค์จนตรูดระบมแถมบ่มแดดมาทั้งวัน
เราเลยรีบแว๊นออกไปเล่นน้ำทะเลที่อ่าวเขาควายตรงจุดกองหินทะลุ
เพราะน้ำตรงนั้นใสกว่าอ่าวใหญ่อีก น่าเล่นกว่าด้วย
ไปถึงก็มีรถจอดอยู่แล้วสามสี่คัน เราก็รีบตรงรี่ลงไปโดดน้ำ ตู้มมมมม
น้ำใสไหลเย็น ฮ้ออยยยยยย สบายใจจัง
แต่คลื่นก็ยังดูดกลับแรงอยู่ดี แอบกลัว (อีกแล้ว)
แช่น้ำเล่นกันจนสบายใจก็กลับไปอาบน้ำ เก็บของ เตรียมเช็คเอาท์
ออกมานั่งเล่นโซน Restaurant หน้าที่พัก
สั่งน้ำส้มปั่นมากินแก้วนึง สปาเกตตี้ และเม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอด
ทริปนี้ ไม่มีอะไรรีบสักอย่าง
ชีวิตดำเนินไปแบบช้าๆ เอื่อยๆ
ถามว่า ถ้าให้เราอยู่แบบนี้สัก 5 วัน เราคงอกแตกตายเหมือนกัน
คือมันนิ่งเกินไป ไม่มีเรื่องราวอะไร เหมือนตัดขาดโลกภายนอก
และนี่แหละที่เราคิดว่า เป็นเสน่ห์ของพยาม : )
แต่เราขออยู่แค่ 2 คืนพอนะ พอและ บั๊ยยยยยยยพยาม
แว๊นมอไซค์มาคืนที่ร้าน แล้วไปนั่งกินมื้อเที่ยงร้านเดิม (อีกแล้ว)
เพราะใกล้ท่าเรือด้วย และต้องนั่งยาว เพราะรอขึ้นเรือรอบบ่าย 3 โมงครึ่ง
อีกแล้วววว การรอคอยที่แสนยาวนาน ไม่เคยรีบร้อนอะไรสักอย่างจริงๆ
อิ่มปุ๊บ นอนหลับไป 1 ตื่นก็บ่ายสามพอดี เดินไปท่าเรือ เรือก็มาจอดอยู่แล้ว
เลยขึ้นไปจับจองที่นอนต่อ เพราะอีก 2 ชม. กว่าจะถึงฝั่ง
ก็บอกแล้วว่า ทริปนี้ ไม่มีอะไรต้องรีบ หึหึ
คลื่นแรงอยู่นะเออ แอบสูงนิดๆ และก็ดูดกลับแรงด้วย
นึกถึงอุบัติเหตุคลื่นดูดที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆ
เราเลยไม่กล้าลงไปลึกมาก เล่นแค่ใกล้หาดเบาๆ
เอามือตบแปะกับน้ำ หนึ่ง สอง หนึ่ง สอง สาม หนึ่ง สอง หนึ่ง สอง หนึ่ง จบ !
อร๊ายยย พระอาทิตย์ตกดิน สะท้อนกับผิวน้ำสวยจังเลย
แต่ไม่ได้เก็บภาพมาหรอกนะ มาเล่นน้ำทะเลนี่ เฮ้อออ
ได้แต่บันทึกภาพที่เห็นไว้ผ่านดวงตา . . ก็ยังดีเนาะ
“เธอ ตัวเราเริ่มเปื่อยแล้วอะ ขึ้นเถอะ”
เราสองคนก็จัดแจงไปอาบน้ำและตั้งใจจะมานั่งนอนเปลเล่นชิลๆ หน้าห้อง
ที่นี่เราเจอคอร์กี้น้อย 2 ตัว สีน้ำตาล เดินเล่นกันดุ๊กดิ๊กๆ
เป็นของคู่ที่มาพักห้องเยื้องๆ กับเรานี่เอง
พอดีเราก็เลี้ยงคอร์กี้อยู่ตัวนึง เลยตื่นเต้น และได้คุยกับเจ้าของคอร์กี้ 2 ตัวนี้พักนึง
ได้ความรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับคอร์กี้เยอะเลยค่ะ ดีจังเลย ^^
แต่ละครั้งที่ออกเดินทาง เรามักจะเจอเรื่องราวที่ไม่ได้เจอในชีวิตประจำวัน
คือถ้านั่งอยู่หน้าจอคอม เช้าเข้าออฟฟิศ เย็นกลับห้อง
ก็คงไม่ได้เจออะไรแบบนี้แน่ๆ
สำหรับครั้งนี้ . . เราได้เจอมิตรภาพที่เกิดจากเจ้าคอร์กี้
จากคนที่ไม่รู้จักกัน ทักแชทมาในเฟซบุค เพื่อที่จะอาสาไปส่งที่ท่าเรือให้
น้ำใจนี่มันกินแล้วอิ่มอกอิ่มใจจริงๆ นะ : )
อืมมมม . . .
คืนนี้ เราไม่ค่อยง่วงเท่าไหร่ กว่าจะหลับก็ปาไป 4 ทุ่มแล้ว
นอนฟังเสียงคลื่นซัดฝั่งเสียงดังมากอะ ดังเหมือนอยู่ใกล้ๆ เลย
อันที่จริงก็แอบกลัวนิดนึงนะ T^T
เช้าวันสุดท้าย เราตื่นสายนิดหน่อย เนื่องจากเมื่อวานนั่งมอไซค์จนตรูดระบมแถมบ่มแดดมาทั้งวัน
เราเลยรีบแว๊นออกไปเล่นน้ำทะเลที่อ่าวเขาควายตรงจุดกองหินทะลุ
เพราะน้ำตรงนั้นใสกว่าอ่าวใหญ่อีก น่าเล่นกว่าด้วย
ไปถึงก็มีรถจอดอยู่แล้วสามสี่คัน เราก็รีบตรงรี่ลงไปโดดน้ำ ตู้มมมมม
น้ำใสไหลเย็น ฮ้ออยยยยยย สบายใจจัง
แต่คลื่นก็ยังดูดกลับแรงอยู่ดี แอบกลัว (อีกแล้ว)
แช่น้ำเล่นกันจนสบายใจก็กลับไปอาบน้ำ เก็บของ เตรียมเช็คเอาท์
ออกมานั่งเล่นโซน Restaurant หน้าที่พัก
สั่งน้ำส้มปั่นมากินแก้วนึง สปาเกตตี้ และเม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอด
ทริปนี้ ไม่มีอะไรรีบสักอย่าง
ชีวิตดำเนินไปแบบช้าๆ เอื่อยๆ
ถามว่า ถ้าให้เราอยู่แบบนี้สัก 5 วัน เราคงอกแตกตายเหมือนกัน
คือมันนิ่งเกินไป ไม่มีเรื่องราวอะไร เหมือนตัดขาดโลกภายนอก
และนี่แหละที่เราคิดว่า เป็นเสน่ห์ของพยาม : )
แต่เราขออยู่แค่ 2 คืนพอนะ พอและ บั๊ยยยยยยยพยาม
แว๊นมอไซค์มาคืนที่ร้าน แล้วไปนั่งกินมื้อเที่ยงร้านเดิม (อีกแล้ว)
เพราะใกล้ท่าเรือด้วย และต้องนั่งยาว เพราะรอขึ้นเรือรอบบ่าย 3 โมงครึ่ง
อีกแล้วววว การรอคอยที่แสนยาวนาน ไม่เคยรีบร้อนอะไรสักอย่างจริงๆ
อิ่มปุ๊บ นอนหลับไป 1 ตื่นก็บ่ายสามพอดี เดินไปท่าเรือ เรือก็มาจอดอยู่แล้ว
เลยขึ้นไปจับจองที่นอนต่อ เพราะอีก 2 ชม. กว่าจะถึงฝั่ง
ก็บอกแล้วว่า ทริปนี้ ไม่มีอะไรต้องรีบ หึหึ
ลาก่อนนะ พยาม . . .
เราจะคิดถึงเธอ ความเป็นธรรมชาติสไตล์ชิลๆ
แดดจ้า ที่มาพร้อมสายลมอ่อนๆ
ทะเลใส ตามสไตล์แต่ละอ่าว
มอเตอร์ไซค์วิบากพร้อมคนขับ
นกเงือก และน้องหมาพาเพลิน
หินทะลุที่เราปลื้มปริ่มนักหนา
อ่าวแม่หม้าย อ่าวใหญ่ อ่าวเขาควาย และอ่าวกวางปีบ
และอื่นๆ อีกมากมาย
คร้อกกกกกก . . .
zzzZZ
เราจะคิดถึงเธอ ความเป็นธรรมชาติสไตล์ชิลๆ
แดดจ้า ที่มาพร้อมสายลมอ่อนๆ
ทะเลใส ตามสไตล์แต่ละอ่าว
มอเตอร์ไซค์วิบากพร้อมคนขับ
นกเงือก และน้องหมาพาเพลิน
หินทะลุที่เราปลื้มปริ่มนักหนา
อ่าวแม่หม้าย อ่าวใหญ่ อ่าวเขาควาย และอ่าวกวางปีบ
และอื่นๆ อีกมากมาย
คร้อกกกกกก . . .
zzzZZ
___________________________________________________________________________
ต่อไปนี้ เป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมดโดยสรุป เฉลี่ยคนละ 4000-4500 บาท
(ผู้เดินทางจำนวน 2 คน)
ค่ารถทัวร์ไป-กลับ | สายใต้ใหม่-ระนอง โดยสมบัติทัวร์ VIP 2768 บาท
ค่าที่พัก @Lazy Hut 2 คืน 1600 บาท
ค่าเดินทาง บขส. ระนอง-ท่าเรือ (กะบะเหมา) 200 บาท
ค่าเรือเมล์ไป-กลับ 700 บาท
ค่าอาหารทั้งหมด 7 มื้อ 2485 บาท (เฉลี่ยมื้อละ 355 บาท)
ค่าเช่ามอเตอร์ไซค์ 2 วัน + ค่าน้ำมัน 340 บาท
ค่าเดินทาง ท่าเรือ – บขส. ระนอง 30 บาท
รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด 8,123 บาท (เฉลี่ยคนละประมาณ 4000 บาท)
อ้าวววว จะรอช้าอยู่ใย
ไปสัมผัสมนต์เสน่ห์แห่งเกาะพยามกันเถอะ : )
แบกเป้ไปสักใบก็พอละ เธออออว์
ป.ล. ขออภัย หากมีข้อผิดพลาดนะคะ
และขออภัยเช่นกันสำหรับภาษาที่ไม่ถูกหลักภาษาบางคำ
เป็นไปเพื่อสร้างอรรถรสหรือฟิลลิ่งนิดหน่อยค๊า ^^"
ป.ล. 2 กระทู้ก่อนหน้าของเราเป็นทริปสังขละบุรีที่เขียนแบบเกร็งๆ มาก
มานั่งอ่านเองแล้วยังแบบ เห้ยยย ไร้ซึ่งอารมณ์ร่วมอย่างมาก
กระทู้นี้ เราเลยพยายามปรับปรุงให้ดูมีอารมณ์มากขึ้นล่ะ เธอออ
ขอบคุณพื้นที่กระทู้พันทิปที่เราได้แชร์ประสบการณ์ในครั้งนี้
รักนะ
บัยยยยยย : )
ไปสัมผัสมนต์เสน่ห์แห่งเกาะพยามกันเถอะ : )
แบกเป้ไปสักใบก็พอละ เธออออว์
ป.ล. ขออภัย หากมีข้อผิดพลาดนะคะ
และขออภัยเช่นกันสำหรับภาษาที่ไม่ถูกหลักภาษาบางคำ
เป็นไปเพื่อสร้างอรรถรสหรือฟิลลิ่งนิดหน่อยค๊า ^^"
ป.ล. 2 กระทู้ก่อนหน้าของเราเป็นทริปสังขละบุรีที่เขียนแบบเกร็งๆ มาก
มานั่งอ่านเองแล้วยังแบบ เห้ยยย ไร้ซึ่งอารมณ์ร่วมอย่างมาก
กระทู้นี้ เราเลยพยายามปรับปรุงให้ดูมีอารมณ์มากขึ้นล่ะ เธอออ
ขอบคุณพื้นที่กระทู้พันทิปที่เราได้แชร์ประสบการณ์ในครั้งนี้
รักนะ
บัยยยยยย : )
ที่มา : PANTIP
CR : PreferPeace