ทริปนี้เราจะไปเที่ยวระนองกันค่ะ นกแอร์เป็นสายการบินเดียวที่ไปลงที่ระนอง จะมีขาไป 2 เที่ยวและขากลับอีก 2 เที่ยวต่อวัน ซึ่งทริปนี้เราเลือกไฟลท์เช้ามาก ออกจากดอนเมืองตอน 6:10 ถึงระนองก็ 7:30 ค่ะ เครื่องบินจะเป็นเครื่องใบพัด นั่งได้ 2-2 แต่พอนั่งจริงๆ กลับนั่งสบาย แถมไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดแฮะ
นกลำนี้ละค่า ที่พาเรามาถึงระนอง

เนื่องจากระนองเป็นเมืองเล็กๆ จึงไม่มีบริษัทเช่ารถยักษ์ใหญ่มาตั้งอยู่ที่สนามบิน แต่จะมีบริษัทให้เช่ารถอยู่ประมาณ 2-3 เจ้าที่ต้องติดต่อไว้ล่วงหน้านะคะ ไม่ได้มีเคาน์เตอร์อยู่ในสนามบิน
ของเราได้จองรถไว้กับระนองมั่งมี https://www.facebook.com/aukkaradate/ หลังจากที่ได้ถามมาเกือบทุกเจ้า ก็รู้สึกว่าคุณนกคุยง่ายบริการดีมาก (Tel: 0817885804) แถมมารอรับที่สนามบินแต่เช้า เหมือนมารอรับญาติตัวเองเลย แล้วยังมียื่นซีดีเพลงไว้ให้เปิดฟังแก้เหงาด้วย ^ ^ ใครอยากหารถเช่าที่ระนองแนะนำมากกก
สิ่งแรกที่สำคัญที่สุดสำหรับกลุ่มเราคงหนีไม่พ้นเรื่องกิน เพราะงั้นจากสนามบินจึงตรงดิ่งไปหาของกินที่ร้านอาหารคุ้นลิ้นก่อน ร้านนี้จะอยู่ตรงหน้าบ่อน้ำร้อนรักษะวารินในตัวเมืองเลยค่ะ หาง่ายไม่มีหลง https://www.facebook.com/kunlinrestaurant/
่
ถ้าใครคิดไม่ออกว่าจะสั่งอะไร ร้านนี้เค้ามีเซียมซีให้เสี่ยงด้วยว่าจะสั่งอะไรดี จะได้ไม่ต้องมานั่งปวดหัว

เราเลือกสั่งปลาหลุมพุก ที่ทางร้านใช้เวลาต้มนานมากกจนก้างละลายหายไปหมด สามารถกินได้ทั้งตัวเลยค่ะ อีกเมนูที่แนะนำก็ใบเหลียงผักไข่ ตบท้ายด้วยหอยหลอดผัดฉ่ารสเด็ด



เนื่องจากเราไปในช่วงหน้าฝน ทางร้านมีกิจกรรมให้ทำเพลินๆ ระหว่างรออาหาร เป็นการวาดตุ๊กตาไล่ฝนแล้วก็เอาไปแขวนไว้ในร้าน

อิ่มท้องแล้ว ก็มุ่งหน้าไปที่อำเภอกระบุรีเพื่อที่จะไปล่องแพกันค่ะ จริงๆ แล้วอำเภอนี้ยังมีที่เที่ยวอีกหลายที่เลย เช่น วัดปากจั่นหรือวัดสุวรรณคีรีที่มีเจดีย์จำลองหน้าตาคล้ายเจดีย์ชเวดากองในย่างกุ้งเลย แต่เนื่องจากเราต้องทำเวลาเพื่อไปล่องแพให้ทันรอบ 14:00 ก็เลยหมดสิทธิ์ ที่วัดนี้มีหลวงพ่อทันใจด้วยน้า เพราะงั้นถ้าใครพอมีเวลาแนะนำให้แวะนะค้า ระหว่างทางจากตัวเมืองไปกระบุรี เราจะผ่านหมู่บ้านทับหลี จะมีซาลาเปาทับหลีขายอยู่ 2 ข้างทางเลย แวะซื้อเติมพลังก่อนไปล่องแพได้
การเที่ยวแพที่กระบุรีเพิ่งเปิดให้ท่องเที่ยวเมื่อปลายปี 58 ที่ผ่านมา มีอยู่ 2 เจ้าค่ะ แต่ของเราเลือก ล่องแพแลชายแดน ที่ปากจั่น
https://www.facebook.com/%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%9E-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%87Bamboo-Rafting-At-Kraburi-River-1050521261685928/?fref=ts
ต้องจองล่วงหน้านะคะ มี 2 รอบ 9:00 กับ 14:00 ค่ะ รอบนึงได้ไม่เกิน 30 คน มี 2 ราคา 350 กับ 500 บาท ต่างกันที่อาหารค่ะ ถ้า 350 บาทจะเป็นข้าวกล่อง ถ้า 500 บาทจะเป็นอาหารพื้นบ้าน
คนที่สนใจจะล่องแพติดต่อคุณแอ๊สได้นะคะ เบอร์โทร 0883856766 ทางแพจะมีชูชีพให้ค่ะ แล้วก็มีห้องน้ำไว้ให้เปลี่ยนชุด

เมื่อเรียบร้อยแล้ว เค้าจะพาเราขึ้นรถกระบะเพื่อไปปล่อยที่ต้นน้ำ ระยะทางการล่องประมาณ 3-4 km ใช้เวลาประมาณ 2-2.5 ชั่วโมงนะค้า ตอนครึ่งแรกเค้าจะเป็นแพไม้ไผ่ที่มีคนถ่อค่า นั่งชมวิวฝั่งไทย-พม่าไปเรื่อยๆ



หรือใครอยากชิลก็ลงไปว่ายน้ำลอยไปพร้อมๆ กับแพได้เลยค่ะ

ส่วนช่วงครึ่งหลังทางแพจะเอาแพอีกลำที่มีหลังคามาให้ และจะใช้เรือลากแทนคนถ่อแล้วค่ะ แพลำนี้จะมีห่วงยางมาด้วย ให้เรานั่งล่องไปกับห่วงยาง สนุกไปอีกแบบ ทางแพจะเอาเครื่องดื่มมาบริการบนแพให้ด้วยน้า

คนนี้หล่ะค่ะคุณแอ๊ส ใจดี คุยง่าย



พี่เสื้อดำที่นั่งหันหลังให้เรา จะคอยให้ความรู้เกี่ยวกับพื้นที่ต่างๆ ที่เราล่องแพผ่านไปค่ะ

เมื่อล่องแพเสร็จก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ทางแพก็จะเตรียมอาหารพื้นบ้านไว้ให้เราค่ะ

จากนั้นเราก็ขับรถกลับมาที่กะเปอร์ ใช้เวลาจากปากจั่นขับมาประมาณเกือบ 2 ชั่วโมง เพื่อไปที่พักที่เป็นเป้าหมายหลักในทริปนี้ของเรา "บ้านไร่ไออรุณ"https://www.facebook.com/baanraiiarun/ ใครอยากพักที่นี่แนะนำให้โทรไปจองล่วงหน้าไว้นานๆ นะค้า เพราะที่นี่เต็มตลอดเลยค่า เวลาโทรไปจองอยากให้ใจเย็นนิดนึงเพราะคนที่รับบางทีติดงานอยู่ค่า ควรโทรไปช่วงกลางวัน ถ้าไม่มีคนรับก็ลองโทรไปเรื่อยๆ ค่ะ แล้วเดี๋ยวก็จะติดเอง ^ ^ อดทนเข้าไว้แล้วจะเจอที่พักที่ถูกใจค่า รับรองเลยว่าที่นี่ถ่ายรูปออกมาสีสวยทุกมุมเลย








มาถึงที่บ้านไร่ไออรุณก็เกือบสองทุ่มก็ได้เวลาอาหารเย็นพอดี แนะนำว่าควรสั่งอาหารไว้ก่อนนะคะ ทางบ้านไร่จะได้เตรียมไว้ให้ ที่นี่ไม่มีเมนูอาหาร แต่อยากทานอะไรก็แจ้งไว้ได้เลยค่ะ คราวนี้เราสั่งอาหารหลายอย่างทั้งต้มส้มปลา ผัดคะน้ากุ้ง ไข่เจียว แต่ที่เด็ดสุดคือ ซีฟู้ดขนาดบิ๊กเบิ้มที่เสิร์ฟมาในตะกร้าพร้อมน้ำจิ้มรสเด็ด


แม้ว่าเราจะมาถึงดึกมาก เจ้าของบ้านไร่ก็ยังมาต้อนรับเราอย่างอบอุ่นน้า

พอกินอิ่มแล้วก็ได้เวลาเข้าห้องนอนกันสักที มาคราวนี้เราจองบ้านไว้ 2 หลังคือ ละอองดาว กับในสวนฉัน 1 ช่วงเดือนที่ไปทางบ้านไร่มีให้พักได้แล้ว 5 ห้องนะคะ แต่กำลังสร้างบ้านต้นไม้เพิ่มอยู่ อีกไม่นานก็คงเสร็จละคะ
P.S. รูปห้องนอนอาจจะมีถ่ายตอนมืดบ้างตอนเช้าบ้างนะคะ เพราะอยากให้เห็นหลายๆแบบ
มาดูบ้านแรกกันเลยค่ะ "ละอองดาว" ห้องนี่เหมาะกับบ้านที่มีเด็กหรือคนแก่มาด้วยนะคะ เพราะเป็นบ้านชั้นเดียว มีห้องน้ำอยู่ในห้องนอนเลย สะดวกดีค่ะ



ห้องน้ำมีดาวระยิบระยับ แถมดูวิวสวนสวยได้ด้วยน้า


แม่น่ารักมาก ดึกแล้วก็ยังพาแขกมาส่งเข้านอน

ชิงช้าอันนี้ของชอบของทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่

บ้านหลังที่ 2 ที่เราพัก คือ "ในสวนฉัน1" จะเป็นบ้านที่มีชั้นครึ่งนะคะ เป็นเตียงเดี่ยว 2 เตียงอยู่ชั้นบนกับชั้นล่างค่ะ ส่วนห้องน้ำอยู่นอกห้องนอน แต่พออกประตูห้องนอนปุ๊ป ก็เลี้ยวเข้าห้องน้ำได้เลย ไม่ได้อยู่ไกลกัน ห้องน้ำของบ้านไร่นี่จะมีกิมมิกเหมือนๆ กัน คือเราจะได้อาบน้ำใต้แสงไฟวิบวับ ๆ บ้านนี้มีจุดเด่นอยู่ที่ระเบียงกว้างหน้าบ้าน มานอนดูดาวได้เลย เห็นดาวชัดมาก เยอะมาก คุณแม่ของน้องเบสบอกว่าที่นี่เป็นโรงแรมล้านดาว ท่าจะจริงจริงๆ ด้วย




ห้องน้ำบ้านนี้เปิดประตูปุ๊ปลงไปเล่นน้ำในลำธารได้เลยค่า


นอนกันจนอิ่ม ตื่นเช้ามาก็ได้เวลาเดินสำรวจรอบๆ บ้านไร่ซะที
อันนี้เป็นบ้านในสวนฉัน 2 ค่ะหลังนี้เป็นกระจกหมดเลย น่ารักมากกกก

บ้านอีกหลังที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ พราวตะวัน เป็นบ้าน 2 ชั้น ห้องนอนอยู้ชั้น 2 ส่วนห้องน้ำอยู่ชั้นล่างนะคะ หลังนี้ก็สวย เอาเป็นว่าใครชอบแบบไหนตอนจองแจ้งได้เลยค่ะว่าอยากจองห้องอะไร แต่ก็ต้องลุ้นดูน้าว่าห้องที่อยากได้จะว่างหรือเปล่า





ลำธารของบ้านไร่จะเต็มไปด้วยพลับพลึงธารที่เจ้าของตั้งใจเอามาปลูกไว้ค่ะ

ทางเดินในบ้านไร่ส่วนมากจะเชื่อมกันด้วยสะพานไม้ไผ่

มื้อเช้าวันนี้เป็นขนมจีน ปาท่องโก๋จิ้มนมข้น ข้าวเหนียวใส้ขนุน แล้วก็ยังมีข้าวเหนียวสังขยา ขนมตาลอีก ยังไงก็อิ่มตื้อแน่ๆ ค่ะรับรอง อร่อยด้วย




แถมวันที่ไปเป็นวันแรกที่ทางไร่เก็บมังคุดพอดี น้องเบสท์เราจัดมาให้เราเพียบทุกมื้อ แถมยังใส่ถุงให้หิ้วกลับบ้านอีก



อัญชันมะนาวที่นี่อร่อย ไม่ควรพลาดค่ะ

เมื่ออิ่มแล้ว เราตั้งใจจะไปนั่งเรือเที่ยวเกาะกำ เกาะค้างคาว แล้วก็เกาะญี่ปุ่นด้วยเรือหาปลาของชาวบ้าน แต่เป็นหน้ามรสุมพอดี เกาะเลยปิดค่า เสียใจมาก แต่ไม่เป็นไรคราวหน้ายังมี ต้องกลับมาซ้ำแน่ๆ เราเลยเปลี่ยนแผนไปเล่นน้ำตก แล้วก็แช่บ่อน้ำร้อนกัน
ที่แรกที่เราจะไปคืออุทยานแห่งชาติแหลมสน ห่างจากบ้านไร่ไออรุณไปไม่ไกล (https://goo.gl/maps/FsXo1hpD4F92
นกลำนี้ละค่า ที่พาเรามาถึงระนอง
เนื่องจากระนองเป็นเมืองเล็กๆ จึงไม่มีบริษัทเช่ารถยักษ์ใหญ่มาตั้งอยู่ที่สนามบิน แต่จะมีบริษัทให้เช่ารถอยู่ประมาณ 2-3 เจ้าที่ต้องติดต่อไว้ล่วงหน้านะคะ ไม่ได้มีเคาน์เตอร์อยู่ในสนามบิน
ของเราได้จองรถไว้กับระนองมั่งมี https://www.facebook.com/aukkaradate/ หลังจากที่ได้ถามมาเกือบทุกเจ้า ก็รู้สึกว่าคุณนกคุยง่ายบริการดีมาก (Tel: 0817885804) แถมมารอรับที่สนามบินแต่เช้า เหมือนมารอรับญาติตัวเองเลย แล้วยังมียื่นซีดีเพลงไว้ให้เปิดฟังแก้เหงาด้วย ^ ^ ใครอยากหารถเช่าที่ระนองแนะนำมากกก
สิ่งแรกที่สำคัญที่สุดสำหรับกลุ่มเราคงหนีไม่พ้นเรื่องกิน เพราะงั้นจากสนามบินจึงตรงดิ่งไปหาของกินที่ร้านอาหารคุ้นลิ้นก่อน ร้านนี้จะอยู่ตรงหน้าบ่อน้ำร้อนรักษะวารินในตัวเมืองเลยค่ะ หาง่ายไม่มีหลง https://www.facebook.com/kunlinrestaurant/
ถ้าใครคิดไม่ออกว่าจะสั่งอะไร ร้านนี้เค้ามีเซียมซีให้เสี่ยงด้วยว่าจะสั่งอะไรดี จะได้ไม่ต้องมานั่งปวดหัว
เราเลือกสั่งปลาหลุมพุก ที่ทางร้านใช้เวลาต้มนานมากกจนก้างละลายหายไปหมด สามารถกินได้ทั้งตัวเลยค่ะ อีกเมนูที่แนะนำก็ใบเหลียงผักไข่ ตบท้ายด้วยหอยหลอดผัดฉ่ารสเด็ด
เนื่องจากเราไปในช่วงหน้าฝน ทางร้านมีกิจกรรมให้ทำเพลินๆ ระหว่างรออาหาร เป็นการวาดตุ๊กตาไล่ฝนแล้วก็เอาไปแขวนไว้ในร้าน
อิ่มท้องแล้ว ก็มุ่งหน้าไปที่อำเภอกระบุรีเพื่อที่จะไปล่องแพกันค่ะ จริงๆ แล้วอำเภอนี้ยังมีที่เที่ยวอีกหลายที่เลย เช่น วัดปากจั่นหรือวัดสุวรรณคีรีที่มีเจดีย์จำลองหน้าตาคล้ายเจดีย์ชเวดากองในย่างกุ้งเลย แต่เนื่องจากเราต้องทำเวลาเพื่อไปล่องแพให้ทันรอบ 14:00 ก็เลยหมดสิทธิ์ ที่วัดนี้มีหลวงพ่อทันใจด้วยน้า เพราะงั้นถ้าใครพอมีเวลาแนะนำให้แวะนะค้า ระหว่างทางจากตัวเมืองไปกระบุรี เราจะผ่านหมู่บ้านทับหลี จะมีซาลาเปาทับหลีขายอยู่ 2 ข้างทางเลย แวะซื้อเติมพลังก่อนไปล่องแพได้
การเที่ยวแพที่กระบุรีเพิ่งเปิดให้ท่องเที่ยวเมื่อปลายปี 58 ที่ผ่านมา มีอยู่ 2 เจ้าค่ะ แต่ของเราเลือก ล่องแพแลชายแดน ที่ปากจั่น
https://www.facebook.com/%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%9E-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%87Bamboo-Rafting-At-Kraburi-River-1050521261685928/?fref=ts
ต้องจองล่วงหน้านะคะ มี 2 รอบ 9:00 กับ 14:00 ค่ะ รอบนึงได้ไม่เกิน 30 คน มี 2 ราคา 350 กับ 500 บาท ต่างกันที่อาหารค่ะ ถ้า 350 บาทจะเป็นข้าวกล่อง ถ้า 500 บาทจะเป็นอาหารพื้นบ้าน
คนที่สนใจจะล่องแพติดต่อคุณแอ๊สได้นะคะ เบอร์โทร 0883856766 ทางแพจะมีชูชีพให้ค่ะ แล้วก็มีห้องน้ำไว้ให้เปลี่ยนชุด
เมื่อเรียบร้อยแล้ว เค้าจะพาเราขึ้นรถกระบะเพื่อไปปล่อยที่ต้นน้ำ ระยะทางการล่องประมาณ 3-4 km ใช้เวลาประมาณ 2-2.5 ชั่วโมงนะค้า ตอนครึ่งแรกเค้าจะเป็นแพไม้ไผ่ที่มีคนถ่อค่า นั่งชมวิวฝั่งไทย-พม่าไปเรื่อยๆ
หรือใครอยากชิลก็ลงไปว่ายน้ำลอยไปพร้อมๆ กับแพได้เลยค่ะ
ส่วนช่วงครึ่งหลังทางแพจะเอาแพอีกลำที่มีหลังคามาให้ และจะใช้เรือลากแทนคนถ่อแล้วค่ะ แพลำนี้จะมีห่วงยางมาด้วย ให้เรานั่งล่องไปกับห่วงยาง สนุกไปอีกแบบ ทางแพจะเอาเครื่องดื่มมาบริการบนแพให้ด้วยน้า
คนนี้หล่ะค่ะคุณแอ๊ส ใจดี คุยง่าย
พี่เสื้อดำที่นั่งหันหลังให้เรา จะคอยให้ความรู้เกี่ยวกับพื้นที่ต่างๆ ที่เราล่องแพผ่านไปค่ะ
เมื่อล่องแพเสร็จก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ทางแพก็จะเตรียมอาหารพื้นบ้านไว้ให้เราค่ะ
จากนั้นเราก็ขับรถกลับมาที่กะเปอร์ ใช้เวลาจากปากจั่นขับมาประมาณเกือบ 2 ชั่วโมง เพื่อไปที่พักที่เป็นเป้าหมายหลักในทริปนี้ของเรา "บ้านไร่ไออรุณ"https://www.facebook.com/baanraiiarun/ ใครอยากพักที่นี่แนะนำให้โทรไปจองล่วงหน้าไว้นานๆ นะค้า เพราะที่นี่เต็มตลอดเลยค่า เวลาโทรไปจองอยากให้ใจเย็นนิดนึงเพราะคนที่รับบางทีติดงานอยู่ค่า ควรโทรไปช่วงกลางวัน ถ้าไม่มีคนรับก็ลองโทรไปเรื่อยๆ ค่ะ แล้วเดี๋ยวก็จะติดเอง ^ ^ อดทนเข้าไว้แล้วจะเจอที่พักที่ถูกใจค่า รับรองเลยว่าที่นี่ถ่ายรูปออกมาสีสวยทุกมุมเลย
มาถึงที่บ้านไร่ไออรุณก็เกือบสองทุ่มก็ได้เวลาอาหารเย็นพอดี แนะนำว่าควรสั่งอาหารไว้ก่อนนะคะ ทางบ้านไร่จะได้เตรียมไว้ให้ ที่นี่ไม่มีเมนูอาหาร แต่อยากทานอะไรก็แจ้งไว้ได้เลยค่ะ คราวนี้เราสั่งอาหารหลายอย่างทั้งต้มส้มปลา ผัดคะน้ากุ้ง ไข่เจียว แต่ที่เด็ดสุดคือ ซีฟู้ดขนาดบิ๊กเบิ้มที่เสิร์ฟมาในตะกร้าพร้อมน้ำจิ้มรสเด็ด
แม้ว่าเราจะมาถึงดึกมาก เจ้าของบ้านไร่ก็ยังมาต้อนรับเราอย่างอบอุ่นน้า
พอกินอิ่มแล้วก็ได้เวลาเข้าห้องนอนกันสักที มาคราวนี้เราจองบ้านไว้ 2 หลังคือ ละอองดาว กับในสวนฉัน 1 ช่วงเดือนที่ไปทางบ้านไร่มีให้พักได้แล้ว 5 ห้องนะคะ แต่กำลังสร้างบ้านต้นไม้เพิ่มอยู่ อีกไม่นานก็คงเสร็จละคะ
P.S. รูปห้องนอนอาจจะมีถ่ายตอนมืดบ้างตอนเช้าบ้างนะคะ เพราะอยากให้เห็นหลายๆแบบ
มาดูบ้านแรกกันเลยค่ะ "ละอองดาว" ห้องนี่เหมาะกับบ้านที่มีเด็กหรือคนแก่มาด้วยนะคะ เพราะเป็นบ้านชั้นเดียว มีห้องน้ำอยู่ในห้องนอนเลย สะดวกดีค่ะ
ห้องน้ำมีดาวระยิบระยับ แถมดูวิวสวนสวยได้ด้วยน้า
แม่น่ารักมาก ดึกแล้วก็ยังพาแขกมาส่งเข้านอน
ชิงช้าอันนี้ของชอบของทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่
บ้านหลังที่ 2 ที่เราพัก คือ "ในสวนฉัน1" จะเป็นบ้านที่มีชั้นครึ่งนะคะ เป็นเตียงเดี่ยว 2 เตียงอยู่ชั้นบนกับชั้นล่างค่ะ ส่วนห้องน้ำอยู่นอกห้องนอน แต่พออกประตูห้องนอนปุ๊ป ก็เลี้ยวเข้าห้องน้ำได้เลย ไม่ได้อยู่ไกลกัน ห้องน้ำของบ้านไร่นี่จะมีกิมมิกเหมือนๆ กัน คือเราจะได้อาบน้ำใต้แสงไฟวิบวับ ๆ บ้านนี้มีจุดเด่นอยู่ที่ระเบียงกว้างหน้าบ้าน มานอนดูดาวได้เลย เห็นดาวชัดมาก เยอะมาก คุณแม่ของน้องเบสบอกว่าที่นี่เป็นโรงแรมล้านดาว ท่าจะจริงจริงๆ ด้วย
ห้องน้ำบ้านนี้เปิดประตูปุ๊ปลงไปเล่นน้ำในลำธารได้เลยค่า
นอนกันจนอิ่ม ตื่นเช้ามาก็ได้เวลาเดินสำรวจรอบๆ บ้านไร่ซะที
อันนี้เป็นบ้านในสวนฉัน 2 ค่ะหลังนี้เป็นกระจกหมดเลย น่ารักมากกกก
บ้านอีกหลังที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ พราวตะวัน เป็นบ้าน 2 ชั้น ห้องนอนอยู้ชั้น 2 ส่วนห้องน้ำอยู่ชั้นล่างนะคะ หลังนี้ก็สวย เอาเป็นว่าใครชอบแบบไหนตอนจองแจ้งได้เลยค่ะว่าอยากจองห้องอะไร แต่ก็ต้องลุ้นดูน้าว่าห้องที่อยากได้จะว่างหรือเปล่า
ลำธารของบ้านไร่จะเต็มไปด้วยพลับพลึงธารที่เจ้าของตั้งใจเอามาปลูกไว้ค่ะ
ทางเดินในบ้านไร่ส่วนมากจะเชื่อมกันด้วยสะพานไม้ไผ่
มื้อเช้าวันนี้เป็นขนมจีน ปาท่องโก๋จิ้มนมข้น ข้าวเหนียวใส้ขนุน แล้วก็ยังมีข้าวเหนียวสังขยา ขนมตาลอีก ยังไงก็อิ่มตื้อแน่ๆ ค่ะรับรอง อร่อยด้วย
แถมวันที่ไปเป็นวันแรกที่ทางไร่เก็บมังคุดพอดี น้องเบสท์เราจัดมาให้เราเพียบทุกมื้อ แถมยังใส่ถุงให้หิ้วกลับบ้านอีก
อัญชันมะนาวที่นี่อร่อย ไม่ควรพลาดค่ะ
เมื่ออิ่มแล้ว เราตั้งใจจะไปนั่งเรือเที่ยวเกาะกำ เกาะค้างคาว แล้วก็เกาะญี่ปุ่นด้วยเรือหาปลาของชาวบ้าน แต่เป็นหน้ามรสุมพอดี เกาะเลยปิดค่า เสียใจมาก แต่ไม่เป็นไรคราวหน้ายังมี ต้องกลับมาซ้ำแน่ๆ เราเลยเปลี่ยนแผนไปเล่นน้ำตก แล้วก็แช่บ่อน้ำร้อนกัน
ที่แรกที่เราจะไปคืออุทยานแห่งชาติแหลมสน ห่างจากบ้านไร่ไออรุณไปไม่ไกล (https://goo.gl/maps/FsXo1hpD4F92
font-size: 16.002px;">)
ที่นี่มีต้นสนเยอะมาก ถ่ายรูปมาก็ได้บรรยากาศอีกอารมณ์นึงดีค่ะ




แต่ทะเลที่อุทยานนี้จะเล่นน้ำไม่ได้ในช่วงนี้เพราะเป็นหน้ามรสุมค่ะ

จากนั้นเราก็ขับรถกันต่อไปที่น้ำตกหงาว (https://goo.gl/maps/rz6Hziiu4tu) ที่นับได้ว่าเป็นน้ำตกคู่เมืองระนอง เพราะถ้าขับรถผ่านตัวเมืองระนองจะต้องเห็นสายน้ำสีขาวของน้ำตกหงาวที่ไหลตกลงมาจากหน้าผาสูงแน่ๆค่ะ ทางเดินขึ้นน้ำตกเป็นทางปูหิน เดินง่ายไม่ต้องปีนเขาเหมือนน้ำตกที่อื่นๆ ค่ะ

และที่สำคัญน้ำใสมากกกกกกก แถมมีแอ่งน้ำให้นั่งเล่นน้ำได้ด้วย


จากนั้นเราก็จะไปแช่บ่อน้ำร้อนกันค่ะ วันนี้เราเลือกไปที่บ่อน้ำร้อนพรรั้ง (https://goo.gl/maps/1uQ4Mq184Nq) เพราะว่าอยู่ใกล้น้ำตกหงาวแค่นิดเดียว เสียค่าเข้า 20 บาทค่ะ เปิดตั้งแต่ 8:00-18:00 ค่ะ พอจอดรถแล้วเดินเข้ามาจะเจอกับสระน้ำขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นเพื่อกักน้ำที่ไหลมาจากน้ำตกค่ะ มีชาวบ้านมาเล่นกันเพียบ


น้ำแร่ที่นี่จะใสสะอาด ไม่มีกลิ่นกำมะถัน แช่ได้ง่ายๆเลยค่ะ ร้อนประมาณ 40 องศา ที่พรรั้งมีบ่อน้ำร้อนสำหรับยืนตักอาบ แล้วก็มีบ่อแช่ตัวที่เป็นน้ำแร่ร้อน รวมๆแล้วหลายบ่อเลยค่ะมีห้องให้เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นสัดส่วน


แช่น้ำร้อนเสร็จปุ๊ปก็วิ่งมาแช่น้ำเย็นเจี๊ยบที่ลำธารที่อยู่ข้างๆ บ่อน้ำร้อน เป็นอันครบสูตรการแช่ออนเซ็นแบบญี่ปุ่นเป๊ะ
เมื่อบำรุงสุขภาพด้วยการแช่น้ำแร่แล้ว เราก็ขับรถกันมาที่ภูเขาหญ้า (https://goo.gl/maps/BF8HhHp7obG2) แนะนำว่าให้มาช่วงเย็นๆ อากาศจะดีมาก วิวสวยด้วยค่ะ บางคนอาจจะสงสัยว่ามาทำอะไร เพราะก็เป็นแค่ภูเขาที่ไม่มีต้นไม้มีแต่หญ้าขึ้น แต่ถึงยังไงก็แนะนำว่าควรมาค่ะ เพราะถ่ายรูปออกมาแล้วสวยจริงจัง ตอนเย็นๆจะมีคนมานั่ง picnic มานั่งคุยกันกระหนุงกระหนิง น่าเอ็นดูเชียวค่ะ 555


เที่ยวมาทั้งวัน หิวโซกันทุกคน เราเลยรีบบึ่งกลับมาที่บ้านไร่ไออรุณ ก็เจอกับข้าวรอเราอยู่เต็มโต๊ะ อยากจะน้ำตาไหลพรากๆ




คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่เราพักที่บ้านไร่แล้ว พอตื่นเช้ามาก็ยังเจออาหารเช้าที่จัดเต็มเหมือนเคย

ขอบคุณน้องเบสท์กับพี่เร แล้วก็พ่อแม่ด้วยนะค้าที่ดูแลเราอย่างดี ปีหน้ากลับไปแน่นอนค่า


วันนี้เราจะไปนอนบนกาะพยาม ที่ bluesky resort เกาะพยามกันค่า (http://www.theblueskyresort.com/Payam/) google map -https://goo.gl/maps/XdUXHkv9JX92
เราต้องไปขึ้นเรือข้ามไปเกาะที่ท่าเทียบเรือเทศบาลตำบลปากน้ำที่อยู่ในตัวเมืองระนอง ซึ่งจะมีพนักงานของโรงแรมคอยต้อนรับอยู่


เรือที่จะเดินทางไปเกาะพยามมี 2 แบบคือเรือ speedboat ใช้เวลาเดินทาง 40 นาทีราคาคนละ 350 บาท กับเรือธรรมดาที่ต้องนั่ง 2 ชั่วโมงราคา 150 บาทค่า กรุ๊ปเราเลยเลือก speedboat เพื่อความรวดเร็ว ยังไงเช็ครอบเรือด้วยนะคะ เพราะเรือจะออกเป็นรอบค่า

เมื่อถึงเกาะพยามแล้ว ทางบลูสกายก็จะเอารถกอล์ฟมารับพาไปที่โรงแรมค่ะ


ถึงแล้วจ้า


สระที่นี่เป็นสระน้ำเกลือค่ะ

ที่ bluesky resort มีห้องพักหลักๆ 2 แบบนะคะ คือแบบ villa zone R/L ที่จะเป็นกระท่อมริมป่าชายเลน คล้ายๆ รีสอร์ทที่มัลดีฟท์ที่ทางโรงแรมโฆษณาไว้บ่อยๆค่ะ กับ villa seaview/ maldives view ที่เป็นบ้าน 2 ชั้น คราวนี้เราเลือกพักทั้ง 2 แบบจะได้เห็นบรรยากาศได้หลากหลายค่ะ
สำหรับ villa seaview เราจองห้อง S1 ไว้เป็นห้องที่ติดริมหาดเลยค่ะ แถมใกล้สระว่ายน้ำด้วย ใครมีเด็กแนะนำห้องนี้เลยค่า
หลังทางซ้ายมือนี่หล่ะค่ะ S1





ชั้น 2 จะเป็นระเบียงโล่งๆ ให้นอนดูดาว ดูทะเล ลมพัดเย็นสบายทีเดียวค่ะ


ส่วนเปลญวนนี้อยู่หน้าห้องเราเลยทีเดียว ^ ^

ห้องอีกแบบนึงที่เราพัดคือ Villa Zone R โซนนี้แหล่ะค่ะที่โรงแรมเคลมว่าเป็นมัลดีฟเมืองไทย แนะนำห้อง R6 นะคะเพราะได้มุมของโค้งน้ำพอดี วิวจะสวยกว่าห้องอื่นๆ ค่า ที่นี่จะมีน้ำขึ้นน้ำลง ต้องเช็คดูกับพนักงานที่ reception นะคะ วันที่เราไปน้ำขึ้นสูงสุดตอนบ่าย 3 ซึ่งจะเป็นช่วงที่ถ่ายรูปได้สวยที่สุด แต่พอเย็นๆ น้ำก็จะลงไปไกลเลยค่า เพราะงั้นถ้าอยากพายคายัคจากที่ห้องออกไปด้านหน้าทะเล ต้องพายตอนช่วงน้ำขึ้นไม่งั้นเรือติดแน่ๆ ค่า








เดินดูบรรยากาศรอบๆที่พักจนอิ่มแล้ว ก็ได้เวลาไปเที่ยวรอบเกาะกันแล้วค่ะ ที่เกาะพยามมีแต่ถนนเล็กๆ จึงไม่มีรถยนต์นะคะ การเดินทางที่สะดวกที่สุดบนเกาะนี้คือมอเตอร์ไซค์ค่า เราเลยให้ทางรีสอร์ทเรียกรถมอเตอร์ไซค์ให้เรา เค้าคิดวันละ 250 บาท + ค่าน้ำมันอีก 100 ค่ะ แนะนำให้ขอแผนที่เกาะจากหน้า front นะคะ เพราะจะบอกว่าอ่าวไหนที่ทางดี อ่าวไหนที่เป็นทางลุกรังไม่น่าไปค่ะ
อ่าวแรกที่เราจะไปคือ อ่าวเขาควายค่ะ ซึ่งทางผ่านจะเจอวัดเกาะพยามที่มีเจดีย์อยู่กลางน้ำ มาถึงที่แล้วก็ต้องแวะค่ะ

จากนั้นเราก็มุ่งหน้าต่อไปอ่าวเขาควาย ที่มีจุดเด่นอยู่ที่เกาะทะลุ ถ้าเป็นช่วงน้ำลงจะเดินไปถึงเกาะทะลุได้เลย จะมีชาวบ้านมาขุดหาหอยกัน แนะนำให้มาช่วงเช้านะคะ แต่ตอนที่เรามาเป็นช่วงน้ำขึ้นพอดี อดเดินไปเลยค่า T T



ตอนแรกตั้งใจจะไปเที่ยวอ่าวกลวางปีปกันต่อค่ะ ตอนแรกก็เป็นถนนคอนกรีตดีๆ แต่อีกแป๊ปเดียวกลายเป็นถนนลูกรังเล็กๆ ที่ไม่แน่ใจว่าจะขับไปได้หรือป่าว จึงต้องบายไปค่ะ ส่วนอ่าวอีกอ่าวนึงที่เป็นที่คนชอบไปคือ อ่าวใหญ่ เราก็อดอีกเพราะฝนตก ฮืออ กลับไปเล่นน้ำที่โรงแรมดีกว่า พอกลับมาถึงโรงแรมฟ้าเริ่มใสซะงั้น
ที่โรงแรมมีคายัคกับชูชีพให้เล่นได้ฟรีค่ะ


เล่นน้ำไป เงยหน้ามาอีกที ท้องฟ้าเป็นสีชมพูสวยเชียว คนวิ่งออกมาถ่ายรูปกันเต็มเลยค่า ไม่ค่อยจะเคยเห็นท้องฟ้าสีสวยขนาดนี้มาก่อน

สำหรับคนที่อยากทานข้าวในโรงแรม ห้องอาหารปิด 3 ทุ่ม last order ตอน 2 ทุ่มค่ะ อย่าเล่นน้ำเพลิน ไม่เช่นนั้นอาจอดกิน
เช้าวันสุดท้ายที่ระนอง พอกินข้าวเช้าเรียบร้อยก็ยังพอมีเวลาเล่นน้ำแล้วก็ขับรถเที่ยวรอบเกาะได้อีกพักใหญ่ๆ เพราะเรือออกตอน 12:30 ค่ะ
อันนี้เป็นเรือธรรมดา นั่งสบายๆ ช้าหน่อยแต่ก็ชิวไปอีกแบบ


พอมาถึงท่าเรือที่ระนองแล้ว เราก็ไปเที่ยวกันต่อค่ะ เนื่องจากไฟลท์เราออกตอนทุ่มกว่าๆ เลยมีเวลาเที่ยวอีกสักพัก แต่ดูเหมือนฟ้าฝนจะไม่ค่อยเป็นใจ ฝนตกทั้งวัน ก็เลยเที่ยวได้แต่ที่ใกล้ๆ ค่ะ ไปแช่น้ำร้อนปลอบใจตัวเองดีกว่า คราวนี้เรามาที่บ่อน้ำร้อนรักษะวารินค่ะ อยู่ใจกลางเมืองระนองเลย (https://goo.gl/maps/cExbaE9VmPy)
ที่นี่ป็นบ่อน้ำร้อนซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มีอุณหภูมิสูงประมาณ 65 องศาเซลเซียส รอบๆ จะมีบ่อให้แช่เท้าอยู่ 2-3 บ่อ ซึ่งอุณหภูมิน้ำแต่ละบ่อก็จะร้อนมากน้อยแตกต่างกันค่ะ แล้วแต่ความชอบว่าชอบอุณหภูมิไหน ก็เลือกแช่กันได้ตามสบายเลยค่า



ที่สุดท้ายที่เราจะไปก่อนปิดทริปนี้คือระนองแคนย่อนค่ะ ขับเลยจากบ่อน้ำร้อนขึ้นไปไม่ไกล (https://goo.gl/maps/yzUyQSh2G8o) ตอนแรกได้ฟังชื่อแล้วก็ยังคิดไม่ออกว่าหน้าตาจะเป็นยังไง แต่พอไปถึงก็เป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ ที่แต่เดิมเป็นเหมืองแร่เก่าค่ะ แต่ hiligh ของที่นี่น่าจะเป็นปลาที่เยอะมากกกกกกก เด็กๆ น่าจะชอบน่าดู

สุดท้ายแเล้ว ฟ้าฝนก็ยังไม่เป็นใจให้เรา เลยตัดสินใจไปนั่งรอเครื่องที่สนามบินค่า ยังเหลือที่เที่ยวที่ระนองอีกเต็มเลย เดี่ยวคราวหน้าจัดทริปใหม่ ไปเก็บตกที่ที่เหลือ แล้วจะมารีวิวให้ชมอีกนะคะ
จนกว่าจะพบกัน.....ระนอง
ที่มา Pantip
Cr. เฮียเนี้ยบพาตะลุย
ที่นี่มีต้นสนเยอะมาก ถ่ายรูปมาก็ได้บรรยากาศอีกอารมณ์นึงดีค่ะ
แต่ทะเลที่อุทยานนี้จะเล่นน้ำไม่ได้ในช่วงนี้เพราะเป็นหน้ามรสุมค่ะ
จากนั้นเราก็ขับรถกันต่อไปที่น้ำตกหงาว (https://goo.gl/maps/rz6Hziiu4tu) ที่นับได้ว่าเป็นน้ำตกคู่เมืองระนอง เพราะถ้าขับรถผ่านตัวเมืองระนองจะต้องเห็นสายน้ำสีขาวของน้ำตกหงาวที่ไหลตกลงมาจากหน้าผาสูงแน่ๆค่ะ ทางเดินขึ้นน้ำตกเป็นทางปูหิน เดินง่ายไม่ต้องปีนเขาเหมือนน้ำตกที่อื่นๆ ค่ะ
และที่สำคัญน้ำใสมากกกกกกก แถมมีแอ่งน้ำให้นั่งเล่นน้ำได้ด้วย
จากนั้นเราก็จะไปแช่บ่อน้ำร้อนกันค่ะ วันนี้เราเลือกไปที่บ่อน้ำร้อนพรรั้ง (https://goo.gl/maps/1uQ4Mq184Nq) เพราะว่าอยู่ใกล้น้ำตกหงาวแค่นิดเดียว เสียค่าเข้า 20 บาทค่ะ เปิดตั้งแต่ 8:00-18:00 ค่ะ พอจอดรถแล้วเดินเข้ามาจะเจอกับสระน้ำขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นเพื่อกักน้ำที่ไหลมาจากน้ำตกค่ะ มีชาวบ้านมาเล่นกันเพียบ
น้ำแร่ที่นี่จะใสสะอาด ไม่มีกลิ่นกำมะถัน แช่ได้ง่ายๆเลยค่ะ ร้อนประมาณ 40 องศา ที่พรรั้งมีบ่อน้ำร้อนสำหรับยืนตักอาบ แล้วก็มีบ่อแช่ตัวที่เป็นน้ำแร่ร้อน รวมๆแล้วหลายบ่อเลยค่ะมีห้องให้เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นสัดส่วน
แช่น้ำร้อนเสร็จปุ๊ปก็วิ่งมาแช่น้ำเย็นเจี๊ยบที่ลำธารที่อยู่ข้างๆ บ่อน้ำร้อน เป็นอันครบสูตรการแช่ออนเซ็นแบบญี่ปุ่นเป๊ะ
เมื่อบำรุงสุขภาพด้วยการแช่น้ำแร่แล้ว เราก็ขับรถกันมาที่ภูเขาหญ้า (https://goo.gl/maps/BF8HhHp7obG2) แนะนำว่าให้มาช่วงเย็นๆ อากาศจะดีมาก วิวสวยด้วยค่ะ บางคนอาจจะสงสัยว่ามาทำอะไร เพราะก็เป็นแค่ภูเขาที่ไม่มีต้นไม้มีแต่หญ้าขึ้น แต่ถึงยังไงก็แนะนำว่าควรมาค่ะ เพราะถ่ายรูปออกมาแล้วสวยจริงจัง ตอนเย็นๆจะมีคนมานั่ง picnic มานั่งคุยกันกระหนุงกระหนิง น่าเอ็นดูเชียวค่ะ 555
เที่ยวมาทั้งวัน หิวโซกันทุกคน เราเลยรีบบึ่งกลับมาที่บ้านไร่ไออรุณ ก็เจอกับข้าวรอเราอยู่เต็มโต๊ะ อยากจะน้ำตาไหลพรากๆ
คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่เราพักที่บ้านไร่แล้ว พอตื่นเช้ามาก็ยังเจออาหารเช้าที่จัดเต็มเหมือนเคย
ขอบคุณน้องเบสท์กับพี่เร แล้วก็พ่อแม่ด้วยนะค้าที่ดูแลเราอย่างดี ปีหน้ากลับไปแน่นอนค่า
วันนี้เราจะไปนอนบนกาะพยาม ที่ bluesky resort เกาะพยามกันค่า (http://www.theblueskyresort.com/Payam/) google map -https://goo.gl/maps/XdUXHkv9JX92
เราต้องไปขึ้นเรือข้ามไปเกาะที่ท่าเทียบเรือเทศบาลตำบลปากน้ำที่อยู่ในตัวเมืองระนอง ซึ่งจะมีพนักงานของโรงแรมคอยต้อนรับอยู่
เรือที่จะเดินทางไปเกาะพยามมี 2 แบบคือเรือ speedboat ใช้เวลาเดินทาง 40 นาทีราคาคนละ 350 บาท กับเรือธรรมดาที่ต้องนั่ง 2 ชั่วโมงราคา 150 บาทค่า กรุ๊ปเราเลยเลือก speedboat เพื่อความรวดเร็ว ยังไงเช็ครอบเรือด้วยนะคะ เพราะเรือจะออกเป็นรอบค่า
เมื่อถึงเกาะพยามแล้ว ทางบลูสกายก็จะเอารถกอล์ฟมารับพาไปที่โรงแรมค่ะ
ถึงแล้วจ้า
สระที่นี่เป็นสระน้ำเกลือค่ะ
ที่ bluesky resort มีห้องพักหลักๆ 2 แบบนะคะ คือแบบ villa zone R/L ที่จะเป็นกระท่อมริมป่าชายเลน คล้ายๆ รีสอร์ทที่มัลดีฟท์ที่ทางโรงแรมโฆษณาไว้บ่อยๆค่ะ กับ villa seaview/ maldives view ที่เป็นบ้าน 2 ชั้น คราวนี้เราเลือกพักทั้ง 2 แบบจะได้เห็นบรรยากาศได้หลากหลายค่ะ
สำหรับ villa seaview เราจองห้อง S1 ไว้เป็นห้องที่ติดริมหาดเลยค่ะ แถมใกล้สระว่ายน้ำด้วย ใครมีเด็กแนะนำห้องนี้เลยค่า
หลังทางซ้ายมือนี่หล่ะค่ะ S1
ชั้น 2 จะเป็นระเบียงโล่งๆ ให้นอนดูดาว ดูทะเล ลมพัดเย็นสบายทีเดียวค่ะ
ส่วนเปลญวนนี้อยู่หน้าห้องเราเลยทีเดียว ^ ^
ห้องอีกแบบนึงที่เราพัดคือ Villa Zone R โซนนี้แหล่ะค่ะที่โรงแรมเคลมว่าเป็นมัลดีฟเมืองไทย แนะนำห้อง R6 นะคะเพราะได้มุมของโค้งน้ำพอดี วิวจะสวยกว่าห้องอื่นๆ ค่า ที่นี่จะมีน้ำขึ้นน้ำลง ต้องเช็คดูกับพนักงานที่ reception นะคะ วันที่เราไปน้ำขึ้นสูงสุดตอนบ่าย 3 ซึ่งจะเป็นช่วงที่ถ่ายรูปได้สวยที่สุด แต่พอเย็นๆ น้ำก็จะลงไปไกลเลยค่า เพราะงั้นถ้าอยากพายคายัคจากที่ห้องออกไปด้านหน้าทะเล ต้องพายตอนช่วงน้ำขึ้นไม่งั้นเรือติดแน่ๆ ค่า
เดินดูบรรยากาศรอบๆที่พักจนอิ่มแล้ว ก็ได้เวลาไปเที่ยวรอบเกาะกันแล้วค่ะ ที่เกาะพยามมีแต่ถนนเล็กๆ จึงไม่มีรถยนต์นะคะ การเดินทางที่สะดวกที่สุดบนเกาะนี้คือมอเตอร์ไซค์ค่า เราเลยให้ทางรีสอร์ทเรียกรถมอเตอร์ไซค์ให้เรา เค้าคิดวันละ 250 บาท + ค่าน้ำมันอีก 100 ค่ะ แนะนำให้ขอแผนที่เกาะจากหน้า front นะคะ เพราะจะบอกว่าอ่าวไหนที่ทางดี อ่าวไหนที่เป็นทางลุกรังไม่น่าไปค่ะ
อ่าวแรกที่เราจะไปคือ อ่าวเขาควายค่ะ ซึ่งทางผ่านจะเจอวัดเกาะพยามที่มีเจดีย์อยู่กลางน้ำ มาถึงที่แล้วก็ต้องแวะค่ะ
จากนั้นเราก็มุ่งหน้าต่อไปอ่าวเขาควาย ที่มีจุดเด่นอยู่ที่เกาะทะลุ ถ้าเป็นช่วงน้ำลงจะเดินไปถึงเกาะทะลุได้เลย จะมีชาวบ้านมาขุดหาหอยกัน แนะนำให้มาช่วงเช้านะคะ แต่ตอนที่เรามาเป็นช่วงน้ำขึ้นพอดี อดเดินไปเลยค่า T T
ตอนแรกตั้งใจจะไปเที่ยวอ่าวกลวางปีปกันต่อค่ะ ตอนแรกก็เป็นถนนคอนกรีตดีๆ แต่อีกแป๊ปเดียวกลายเป็นถนนลูกรังเล็กๆ ที่ไม่แน่ใจว่าจะขับไปได้หรือป่าว จึงต้องบายไปค่ะ ส่วนอ่าวอีกอ่าวนึงที่เป็นที่คนชอบไปคือ อ่าวใหญ่ เราก็อดอีกเพราะฝนตก ฮืออ กลับไปเล่นน้ำที่โรงแรมดีกว่า พอกลับมาถึงโรงแรมฟ้าเริ่มใสซะงั้น
ที่โรงแรมมีคายัคกับชูชีพให้เล่นได้ฟรีค่ะ
เล่นน้ำไป เงยหน้ามาอีกที ท้องฟ้าเป็นสีชมพูสวยเชียว คนวิ่งออกมาถ่ายรูปกันเต็มเลยค่า ไม่ค่อยจะเคยเห็นท้องฟ้าสีสวยขนาดนี้มาก่อน
สำหรับคนที่อยากทานข้าวในโรงแรม ห้องอาหารปิด 3 ทุ่ม last order ตอน 2 ทุ่มค่ะ อย่าเล่นน้ำเพลิน ไม่เช่นนั้นอาจอดกิน
เช้าวันสุดท้ายที่ระนอง พอกินข้าวเช้าเรียบร้อยก็ยังพอมีเวลาเล่นน้ำแล้วก็ขับรถเที่ยวรอบเกาะได้อีกพักใหญ่ๆ เพราะเรือออกตอน 12:30 ค่ะ
อันนี้เป็นเรือธรรมดา นั่งสบายๆ ช้าหน่อยแต่ก็ชิวไปอีกแบบ
พอมาถึงท่าเรือที่ระนองแล้ว เราก็ไปเที่ยวกันต่อค่ะ เนื่องจากไฟลท์เราออกตอนทุ่มกว่าๆ เลยมีเวลาเที่ยวอีกสักพัก แต่ดูเหมือนฟ้าฝนจะไม่ค่อยเป็นใจ ฝนตกทั้งวัน ก็เลยเที่ยวได้แต่ที่ใกล้ๆ ค่ะ ไปแช่น้ำร้อนปลอบใจตัวเองดีกว่า คราวนี้เรามาที่บ่อน้ำร้อนรักษะวารินค่ะ อยู่ใจกลางเมืองระนองเลย (https://goo.gl/maps/cExbaE9VmPy)
ที่นี่ป็นบ่อน้ำร้อนซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มีอุณหภูมิสูงประมาณ 65 องศาเซลเซียส รอบๆ จะมีบ่อให้แช่เท้าอยู่ 2-3 บ่อ ซึ่งอุณหภูมิน้ำแต่ละบ่อก็จะร้อนมากน้อยแตกต่างกันค่ะ แล้วแต่ความชอบว่าชอบอุณหภูมิไหน ก็เลือกแช่กันได้ตามสบายเลยค่า
ที่สุดท้ายที่เราจะไปก่อนปิดทริปนี้คือระนองแคนย่อนค่ะ ขับเลยจากบ่อน้ำร้อนขึ้นไปไม่ไกล (https://goo.gl/maps/yzUyQSh2G8o) ตอนแรกได้ฟังชื่อแล้วก็ยังคิดไม่ออกว่าหน้าตาจะเป็นยังไง แต่พอไปถึงก็เป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ ที่แต่เดิมเป็นเหมืองแร่เก่าค่ะ แต่ hiligh ของที่นี่น่าจะเป็นปลาที่เยอะมากกกกกกก เด็กๆ น่าจะชอบน่าดู
สุดท้ายแเล้ว ฟ้าฝนก็ยังไม่เป็นใจให้เรา เลยตัดสินใจไปนั่งรอเครื่องที่สนามบินค่า ยังเหลือที่เที่ยวที่ระนองอีกเต็มเลย เดี่ยวคราวหน้าจัดทริปใหม่ ไปเก็บตกที่ที่เหลือ แล้วจะมารีวิวให้ชมอีกนะคะ
จนกว่าจะพบกัน.....ระนอง
ที่มา Pantip
Cr. เฮียเนี้ยบพาตะลุย